My Empty World

Tuesday, May 31, 2005

ค่ำคืน

ค่ำคืน ฉันยืนอยู่ทำไม
ดึกแล้ว ผู้คนก็หลับไหล
ตีสอง ตีสาม พวกยามเค้ายังหลับใน แล้วทำไมฉันยัง มายืนนับดาว

ถ้าคืนนี้ ได้นอนก็คงดี
พรุ่งนี้ ก็คงตื่นแต่เช้า
ไม่เอา เลิกเหงา ไม่เอาไม่มีประโยชน์ แล้วจะโกรธ โทษใคร ถ้าไปไม่ทันเวลา

คนที่เค้า ไม่ใยดี ป่านนี้เค้าคงหลับไหล
จะคิดถึง ให้ตายเค้าคงไม่รู้
สู้ทำใจ ให้ดี รักตัวเอง บ้างสิ ก็ตัวเรา คือคนหนึ่งคนเหมือนกัน

ถ้าเหงา ก็ควรให้พอดี
สิบวัน เหงาทีก็ดีถม
มัวเหงา ติดกัน สิบวันไม่นอนไม่ข่ม เดี๋ยวเป็นลมล้มไป ไม่เห็นว่าใครจะแล
มัวเหงา ติดกัน สิบวันไม่นอนไม่ข่ม เดี๋ยวเป็นลมล้มไป ไม่เห็นว่าใครจะแล

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

นอนไม่หลับ

ทำยังไงก็นอนไม่หลับ

ค้นหนังสือออกมาอ่าน แต่เมื่อสมาธิมันไม่อยู่กับหนังสือ มันก็ไม่ได้เรื่องอยู่ดี

ออกมานอกบ้าน ยืนมองฟ้าข้างนอก เป็นคืนเดือนแรม ฟ้าไม่มีพระจันทร์ แถมมีแต่เมฆอีกต่างหาก

พยายามนึกถึงเรื่องน่าสนุกในวันรุ่งขึ้น เพื่อจะได้กลับไปนอนต่อ

ที่นึกออกก็มีแค่ ..........

วันพรุ่งนี้เป็นวันแรกที่จะได้ขึ้นรถตู้ไปทำงาน

วันพฤหัสจะลางานไปปฐมนิเทศน์ MBA

วันศุกร์นัดกับพวกที่ทำงานจะไปดูหนังเรื่อง มหาลัยเหมืองแร่ หลังเลิกงาน

ว่าไปก็มีเรื่องอะไรให้รอ ให้ทำอีกเยอะ

แล้วจะมานั่งเหงา นั่งซึมไปทำไม?

Saturday, May 28, 2005

สอบ ไม่สบาย และอีกหลายกิจกรรม

วันนี้สอบเก้าโมง แต่ต้องตื่นมาตั้งแต่ก่อนหกโมง

น้องสาวตัวดีมีสัมมนาที่สวนบัวรีสอร์ท แล้วต้องไปขึ้นรถที่คณะก่อนเจ็ดโมงครึ่ง ผมเลยต้องตื่นมาอาบน้ำและขับรถไปส่งแต่เช้า

ส่งน้องสาวเสร็จก็แวะมา อมช เพื่อจะกินข้าวเช้า แต่กินไปได้นิดเดียวก็กินต่อไม่ไหว สงสัยเมื่อคืนนอนน้อย แถมอากาศเย็นอีก รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว

แล้วอาการก็มาออกตอนสอบ ผมจามตลอดเวลาในห้องสอบ จามและน้ำมูกไหล จนต้องเดินออกมาเข้าห้องน้ำแล้วม้วนเอาทิชชู่เข้าห้องสอบไปนั่งซับน้ำมูก

โชคดีเป็นการสอบแบบโอเพ่นบุ๊ค เลยไม่โดนอาจารย์ตรวจทิชชู่

ข้อสอบเยอะมากจนทำไม่ทัน แต่ถึงจะทำทัน ผมก็ไม่แน่ใจว่าจะทำถูก

สอบเสร็จตอนเที่ยง ออกห้องสอบมา โดนพี่โชคด่าเรื่องจามในห้อง แกบอกรบกวนสมาธิแกทำข้อสอบ

สอบเสร็จแต่เราก็ยังไม่กลับ ตอนบ่ายมีพวก MBA ปีสองมาทำกิจกรรมรับน้องปีหนึ่ง(ซึ่งก็คือพวกผมกัน)

กิจกรรมรับน้องก็ไม่มีอะไรมาก แบ่งกลุ่มเป็นกลุ่มย่อย ๆ ตามสีแล้วก็ไปเข้าฐานต่าง ๆ ที่มีพวกปีสองรออยู่ แต่ละด่านก็ทำกิจกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ทำความรู้จักกัน

แต่กับผมที่สภาพไม่ค่อยเต็มที่เท่าไหร่ รู้สึกมันไม่เล็กน้อย

รู้จักเพื่อนร่วมเรียนมากขึ้น บางคนก็แก่กว่า แต่ส่วนใหญ่จะเด็กกว่า

ทำกิจกรรมกันจนถึงสี่โมงครึ่ง ก็ได้เวลาเลิก พี่โชค พี่ป๋อม พี่เอ๋ ชวนไปกินลูกชิ้นทอดหอแพทย์ ผมก็ตกลงไปด้วย จะขับรถตามไป

แต่ยังไม่ไปถึงไหน ไอ้ก่อก็โทรมาหา บอกวันนี้วันนัดดวล มันรออยู่ที่โรบินสันแล้ว

วันนัดดวลมันเริ่มมาจากเมื่อหนึ่งเดือนที่แล้ว วันที่ผมกับไอ้ก่อไปกินฟูจิกันสองคน แล้วต่างคนก็ต่างรู้สึกว่าตัวเองอืดน่าดู

“มาแข่งกันดีกว่าพี่ ภายในหนึ่งเดือนใครลดน้ำหนักได้มากกว่ากัน คนแพ้เลี้ยงข้าว” ไอ้ก่อท้า
ผมตกลงเอาด้วย ซึ่งจริง ๆ ก็คงไม่ต้องใช้ความพยายามมากนัก คนที่ถูกแฟนทิ้งจะกินอะไรลง?

ขับรถไปที่โรบินสัน หาที่จอดรถได้แล้วก็โทรหาไอ้ก่อ มันรออยู่บนชั้นสี่หน้าร้านฟูจิเรียบร้อยแล้ว ผมเดินไปหาก็เห็นเจี๊ยบยืนรออยู่เหมือนกัน เจี๊ยบบอกรอขิมดูหนังอยู่ – STAR WARS

ผลก็เป็นไปตามคาด ผมชนะใส ชั่งเดือนที่แล้วได้ หกสิบสาม มาเดือนนี้ได้หกสิบกิโล

นี่อาจจะเป็นข้อดีเพียงข้อเดียวของการถูกแฟนทิ้งก็ได้

สรุปว่าไอ้ก่อก็ได้เลี้ยงฟูจิผมตามระเบียบ – เจอวันที่หนัก ๆ มา แล้วได้กินข้าวฟรี ก็เข้าท่าเหมือนกัน

ระหว่างกินข้าวเพิ่งสังเกตว่าขิมก็เป็นคนถนัดมือซ้าย

ผมเองก็ถนัดมือซ้าย เพื่อนที่ทำงานอย่าง พี่ป๋อม จ๋า และพี่เจีย ก็ถนัดมือซ้าย เป็นเรื่องแปลกที่คนถนัดมือซ้ายมารวมอยู่ที่ทำงานเดียวกันได้เยอะขนาดนี้ ถ้านับตามความน่าจะเป็นแล้ว

ไอ้ก่อมีทฤษฎีเพิ่มให้ด้วยว่าคนถนัดมือซ้ายมักจะอายุสั้น – แต่ผมก็มีทฤษฎีอีกอันอยู่ในใจ คนปากเสียจะอายุสั้นที่สุด….

กินข้าวเสร็จพวกเราก็มาเดินดูอะไรสักพัก อาการหวัดของผมยังไม่ดีขึ้นทั้งๆ ที่ตอนกินข้าวจะพยายามกินชาร้อนเข้าไปเยอะ ๆ โดยหวังว่ามันจะช่วยอะไรได้บ้าง

เดินไปแถว ๆ เมเจอร์ซีเนเพล็กซ์ ไปเดินลูบ ๆ คลำ ๆ ของเล่นจากหนังเรื่อง STAR WARS ที่เอามาตั้งบูธขายกันหน้าโรงหนัง ในที่สุดก็เจอสิ่งที่ค้นหามานาน มันคือหมวกของ ดาร์ธ เวเดอร์ ขนาดสเกล 1:1 ที่สามารถเอามาใส่ได้จริง แถมคนขายบอกว่าใส่แล้วเสียงจะเปลี่ยนเป็นเสียง ดาร์ธ เวเดอร์ ด้วย

สนใจเป็นอย่างยิ่ง ถามคนขายไปว่าราคาเท่าไหร่ ได้รับคำตอบมาว่าอันละหกพันห้าร้อยบาทเท่านั้นเอง อืมม… แล้วผมก็เดินถอยฉากออกมา ถึงจะรักจะชอบเรื่องนี้แค่ไหน แต่ถ้าของสะสมมันราคาชิ้นละกว่าครึ่งหมื่นก็คงทำใจลำบากอยู่เหมือนกัน ถ้าผมรวยกว่านี้ก็ไม่แน่

ไอ้ก่อสนใจจะดู STAR WARS ขึ้นมา ผมก็ไม่รังเกียจที่จะดูอีกรอบ สุดท้ายมันกับผมสองคนก็เลยเดินไปซื้อตั๋วดูด้วยกันรอบทุ่มครึ่ง ส่วนเจี๊ยบกับขิม ก็เดินดูอะไรไปเรื่อยแล้วก็ขอตัวกลับเอง
ถึงจะดูเป็นรอบที่สอง แต่ผมว่ามันก็ยังสนุกอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่คราวนี้ร่างกายผมไม่ค่อยพร้อมเท่าไหร่ รู้สึกว่าไข้ขึ้น อากาศในโรงหนังก็หนาวเหลือเกิน

ดูหนังเสร็จจ๋าโทรมาหา ถามเรื่องนัดพรุ่งนี้ว่าจะไปกันกี่โมง พรุ่งนี้เรามีนัดกัน ไอ้ตั้ม ไอ้ก่อ จ๋า และผม พวกเราได้ก่อตั้งชมรมถ่ายภาพประจำบริษัทขึ้นมาอย่างไม่เป็นทางการเมื่อวานนี้เอง โดยมีสโลแกนที่ไอ้ก่อคิดเอง “เพราะมีกล้องจึงท่องเที่ยว”

ผมบอกจ๋าไปว่าไอ้ก่อมันจะมารับผมที่บ้านประมาณแปดโมง กว่าจะไปถึงบ้านจ๋าก็คงแปดโมงครึ่ง

ขับรถกลับบ้าน ง่วงนอนอย่างแรง โชคดีที่บ้านอยู่ไม่ไกลจากโรบินสันเท่าไหร่

อาการไข้รุมเร้า แถมมีกิจกรรมเยอะมาทั้งวันอย่างนี้ คงหลับเป็นตาย

Friday, May 27, 2005

ความเหงา อย่าเข้ามาทักกันบ่อยเลย...

ตื่นมาตีห้าเพื่อมาอ่านหนังสือ

แต่กว่าจะลุกขึ้นมาอ่านได้จริง ๆ ก็เกือบหกโมงเช้า อ่านไปได้หน่อยเดียว ก็ต้องไปอาบน้ำ แต่งตัวไปทำงานซะแล้ว

หอบหนังสือเรียนไปที่ทำงานด้วย ทำเหมือนว่าจะมีเวลาได้อ่านตอนทำงาน แต่อย่างน้อย ก็เป็นกำลังใจอย่างหนึ่งละ

วันนี้ที่ทำงานมี communication meeting ประจำ quarter และเนื่องจากเราเพิ่งสร้างโรงงานใหม่ทางด้านหลัง ทำให้ไม่มีห้องประชุมใหญ่ๆ พอสำหรับมีตติ้ง ทางโรงงานเลยต้องจัดรถบัสมารับเราไปที่ศูนย์การประชุมลำพูน( ไม่แน่ใจว่าเรียกอย่างนี้หรือเปล่า แต่มันอยู่ตรงตัวเมืองลำพูน ตรงสะพานข้ามแม่น้ำ แล้วเลี้ยวขวาเข้าตัวเมืองลำพูนเลย)

ตอนนั่งฟัง พี่โชคกับพี่ต้นมานั่งใกล้ ๆ ทั้งสองคนเอาหนังสือเรียนมาห้องประชุมด้วย แล้วก็มาอ่านต่อหน้าประมาณว่ากะมาไซโคผม(ที่ลืมหนังสือไว้ที่โรงงาน)เต็มที่

แต่พอทอมมารายงานผลประกอบการ ทั้งสองคนก็มัวแต่ฟังจนลืมอ่านหนังสือ

พอประชุมเสร็จผมก็แซวพี่สองคนกลับไปว่า “อุตส่าห์เอาหนังสือมาทำไมอ่านแป๊บเดียว ล่ะครับพี่”
“ไม่เป็นไรหรอกครับน้องฮัท พี่เข้าเรียนทุกครั้งมีคะแนนเก็บไว้เต็มแล้วอ่ะนะ คะแนนสอบน้อยก็ได้” พี่โชคย้อนกลับมา

….ชึ้งงงง….. แซวแกไปเลยโดนตอกกลับมา ไม่น่าโดดเรียนเยอะเลยเรา

เลิกงาน กลับบ้านแล้วผมก็ขับรถออกไปที่มอชอ เพื่อไปติวหนังสือกันอีกครั้ง วันนี้วันศุกร์ที่ทำงานผมเลิกห้าโมง เลยทำให้ไปทันติวตอนหกโมงครึ่ง ไปถึงก็กำลังจัดโต๊ะจัดเก้าอี้กันพอดี วันนี้เราติวเรื่อง การเงิน

โชคดีที่ผมเข้าเรียนวิชานี้เลยดูจะเข้าใจได้ง่ายหน่อย

ประมาณสองทุ่มเราก็ติวกันเสร็จ แต่ผมยังไม่อยากกลับบ้าน คิดว่าจะไปแวะหากาแฟดื่มแล้วอ่านหนังสืออีกหน่อย คืนนี้คงยังอีกยาว

ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน แต่สุดท้ายผมก็ไปจอดรถที่ร้านกาแฟที่เมื่อหนึ่งเดือนก่อนเธอบอกเลิกกับผมที่ร้านนี้

ที่แปลกไปกว่านั้นก็คือ ผมเลือกนั่งโต๊ะเดียวกันกับที่เรานั่งคราวก่อน เป็นโต๊ะที่มองออกไปเห็นถนนด้านนอก

ข้างนอกฝนเริ่มตกหนัก โชคดีที่ผมเข้ามาในร้านก่อน สั่งมอคค่าไปหนึ่งแก้ว

ร้านนี้ยังมีความทรงจำของเธออยู่ ผมนั่งที่เก้าอี้ตัวเดิม เธอเคยนั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวตรงกันข้ามกับผมตอนนี้ ภาพของเธอตอนที่เอ่ยปากบอกเลิกกับผมก็ยังชัดเจนอยู่ในความคิด

แต่ผมก็ขนกระดาษ หนังสือ ปากกา ออกมาวางบนโต๊ะ จดและเน้นเนื้อหาในหนังสือ และก็นั่งอ่านอยู่ตรงนั้นไปเรื่อย ๆ

ไม่ได้คิดว่าตัวเองเข้มแข็งขึ้น เพียงแค่คิดว่าถ้าผมยังพยายามหลีกเลี่ยงสถานที่ที่ผมกับเธอเคยไปด้วยกันอยู่อย่างนี้ ผมคงไม่ต้องใช้ชีวิตอยู่ที่เชียงใหม่แน่ ๆ

อ่านหนังสือที่ร้านจนเกือบสี่ทุ่ม ได้เวลาร้านปิดแล้ว จึงขับรถกลับบ้าน

กลับมาบ้าน อาบน้ำ และมานั่งอ่านหนังสือต่อ เกือบห้าทุ่มแล้ว

แต่พอดูกองหนังสือที่ยังต้องอ่านแล้ว รู้สึกหนักใจขึ้นมาวูบใหญ่ ผมจะอ่านมันหมดหรือเปล่า

วูบนั้นรู้สึกหมดกำลังใจขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว จู่ ๆ ก็คิดถึงเธอขึ้นมาอีกแล้ว คิดถึงอย่างท่วมท้น อยากได้ยินเสียงเธอ เวลาที่อยู่คนเดียวอย่างนี้ อาการที่รู้สึกว่ากำลังดีขึ้นก็แย่ลงอย่างเห็นได้ชัด

ตัดสินใจโทรหาเธอ แค่อยากได้ยินเสียงเธอ แค่เป็นกำลังใจสำหรับคืนนี้

โทรไปครั้งแรก เธอไม่รับสาย
โทรไปอีกที เธอก็ยังไม่รับสาย
โทรไปครั้งที่สาม เข้าสู่ระบบฝากข้อความ เธอปิดเครื่องไปแล้ว

ก็เข้าใจว่ามันควรจะออกมาในรูปนี้…..

ที่ผ่านมาหนึ่งเดือน ลึก ๆ แล้วผมก็ยังคงหลอกตัวเอง หลอกตัวเองไปว่าเธออาจจะยังมีเยื่อใยบ้าง ความเป็นเพื่อนที่เธอพูดถึง ที่เธอเสนอให้ บางทีเมื่อเวลาผ่านไป ถ้าผมยังอยู่รอ เธออาจจะให้โอกาสผมอีกครั้ง

เราเป็นเพื่อนกันเถอะนะ…ความหมายของมันคือ….ออกไปจากชีวิตฉันซะเถอะนะ

แล้วน้ำตาก็ซึมออกมา ถามตัวเองว่า แล้วผมกำลังทำอะไรอยู่นี่

อ่านหนังสือต่อไม่ไหว รู้ว่าต้องอ่านให้จบแต่อ่านไม่ไหว อยากคุยกับใครสักคน

แล้วก็โทรไปหาพี่สาวคนนึง พี่สาวที่เคยทำงานอยู่ที่เดียวกัน พี่คนที่คอยเชียร์ตอนผมจีบเธอใหม่ ๆ รู้ว่าดึกขนาดนี้พี่เค้าคงยังไม่หลับ
เจ๊รับโทรศัพท์ของผมและคงแปลกใจที่ผมพูดเสียงเครือ ๆ แต่เธอก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

ทั้งคุย ทั้งปลอบ จนผ่านไปครึ่งชั่วโมง อาการผมดีขึ้น ขอบคุณและขอโทษเจ๊ที่โทรไปรบกวนเวลาฝึกโยคะของแก

อารมณ์เวิ่นเว้อสงบลงแล้ว ผมก็มานั่งอ่านหนังสือต่อ จนถึงตีสองครึ่ง

Thursday, May 26, 2005

อ่านหนังสือ

เมื่อผมรู้ตัวว่าคงอ่านหนังสือคนเดียวไม่เข้าใจ และไม่ทันเพื่อจะไปสอบในวันเสาร์แน่ ๆ ตอนเย็น ๆ หลังจากเลิกงานแล้วก็เลยขับรถเข้าไปในมอชอ ที่ใต้ตึกบริหารมีพวกที่เรียนด้วยกันติวกันอยู่

วันพฤหัสจะติวกันเรื่องบัญชี วิชาที่ผมโดดพอดี นัดเวลากันไว้หกโมงครึ่ง ผมเลิกงานหกโมง กว่าจะมาถึงเชียงใหม่ เข้าบ้าน และขับรถออกมาที่มอชอ ก็ปรากฏว่าทุ่มครึ่ง ทุกคนเริ่มติวกันไปพอสมควรแล้ว เอาโต๊ะสามตัวมาต่อกัน เอาเก้าอี้มานั่งล้อมวง ด้วยความที่คนเยอะก็เลยนั่งซ้อนกันสองวงรอบโต๊ะ ตอนผมไปถึง ก็ได้เริ่มนั่งเป็นวงที่สามพอดี

โผล่เข้าไปเงียบ ๆ แบบเจียมตัว บางคนก็ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือ และถกปัญหากันอยู่ บางคนเงยหน้าขึ้นมาเห็นผม ผมก็ยิ้มแห้ง ๆ ให้ แล้วก็ยืนบื้ออยู่ตรงนั้นสองสามนาทีเพราะไม่มีเก้าอี้ จนมีคนใจดี(หรือรำคาญก็ไม่ทราบ) ก็เลยบุ้ยปากให้ผมไปลากเก้าอี้จากแถว ๆ ลานกิจกรรมมานั่งด้วยกัน

แล้วก็เริ่มนั่งฟังคนที่มาก่อนถกกันเรื่องบทเรียนและข้อสอบที่คิดว่าจะออก

ประทับใจกับคนที่อุตส่าห์มาติวให้ (เธอเรียนจบบัญชีมา และทำงานอยู่โรงงานที่ลำพูน) เข้าใจว่าเธอมีงานประจำซึ่งก็คงยุ่งพออยู่แล้ว แต่ก็อุตส่าห์เสียสละเวลาหลังเลิกงานมาติวให้พวกเรา

ติวกันจนถึงสองทุ่มครึ่งก็เป็นอันหมดเนื้อหาที่เก็งกันไว้ สลายตัว แยกย้ายกันกลับ ผมซึ่งโดดเรียนวิชานี้ยังคงสับสนกับเนื้อหาอยู่ มารู้ทีหลังว่าที่ไอ้เค้าพูด ๆ กันนี่มันอยู่ในชีทที่อาจารย์แจกในห้องวันที่ผมโดด

เลียบ ๆ เคียง ๆ ไปขอยืมชีทชุดนี้จากน้องคนที่เคยนั่งข้าง ๆตอนเรียน เพื่อเอาไปถ่ายเอกสาร น้องเค้าก็ใจดีบอกว่าหนูก็หาชีทไม่เจอเหมือนกัน ไม่รู้ว่าทำหายไปหรือเปล่า สรุปคือต้องยืมของเพื่อนน้องเค้าอีกที โดยที่น้องคนใจดีฝากผมถ่ายเผื่อเธออีกชุดนึง

ขับรถกลับบ้าน ระหว่างทางแวะถ่ายเอกสารด้วยสองชุด

กลับถึงบ้าน อาบน้ำให้สดชื่น ตั้งใจจะมาอ่านหนังสือต่อ แต่จู่ ๆ กลับนึกพล๊อตเรื่องของเรื่องสั้นได้หนึ่งเรื่อง เป็นเรื่องของคนเหงาสองคน คนนึงเหงา ในขณะที่อีกคนก็เหงาแต่แกล้งทำเป็นไม่เหงา กลัวว่าอ่านหนังสือเสร็จแล้วจะลืมพล๊อตนี้ไป เลยเปิดคอมออกมาว่าจะพิมพ์คร่าว ๆ เก็บไว้ก่อน อยากลองเขียนเรื่องสั้นไร้สาระสักเรื่องดูเหมือนกัน

พิมพ์ไป อ่านไป แล้วก็รู้สึกตัวอีกทีตอนเที่ยงคืนครึ่ง เขียนเพลิน โดยที่ยังไม่ได้อ่านหนังสือเลย แย่แล้ว

ตัดสินใจปิดคอม รีบนอนเอาแรง เอาไว้ตื่นมาแต่เช้ามาอ่านหนังสือก่อนไปทำงานแล้วกัน

Wednesday, May 25, 2005


Just a simple thing Posted by Hello

Just a simple thing

วันนี้ไม่มีอะไรจะเขียนถึงเท่าไหร่

นอกจากขณะเดินกลับบ้าน หลังจากที่พี่โชคมาแวะส่ง

เดินไปตามถนน เพิ่งสังเกตว่าทางเดินที่เดินอยู่ทุกวันมีต้นต้อยติ่งขึ้นด้วย

และตอนนี้มันกำลังออกดอกสีม่วงสวย

แต่ที่ผมสนใจคือฝักมัน

เด็ดเอาฝักต้อยติ่งออกมาสี่ห้าฝักแล้วก็ไปหย่อนลงในลำน้ำข้างทาง ยืนรอสักพักจนมันแตกดัง เปาะ แปะ เปาะ แปะ

มีความสุข....ทำตัวเหมือนเป็นเด็ก ๆ แต่มีความสุข

ไม่ได้เล่นอย่างนี้มานาน กี่ปีมาแล้วก็จำไม่ได้ ตั้งแต่ต้นต้อยติ่งที่เคยขึ้นหน้าบ้านถูกถอนออก เพื่อเว้นที่ไว้วางกระถางต้นไม้

อารมณ์เหงา ทำให้สิ่งธรรมดาไร้สาระ ดูมีสีสันขึ้นมา.....

บางทีพรุ่งนี้ผมจะแวะมาเล่นอีก......

Tuesday, May 24, 2005

วันที่เวิ่นเว้อ

ช่วงนี้กำลังมีคำพูดติดปากในหมู่ผมและเพื่อนที่ทำงานบางคน

เป็นคำพูดติดเฉพาะปาก ไม่ได้ติดนิ้ว เพราะฉะนั้นเวลาคุยกับใครทาง MSN จะไม่ได้ใช้คำนี้พิมพ์ไป

คำนี้คือ “ชึ๊ง..”

เวลาออกเสียงต้องเน้นตรงปลายคำหนัก ๆ แล้วปล่อยกังวาน คล้ายเสียงเวลาตีฆ้อง

ชึ๊งงงงง….

คำนี้จะใช้ในกรณีมีเหตุให้อึ้ง เอ๋อ ทำตาปริบ ๆ และนิ่งไป หาเหตุผลมาต่อสู้ด้วยวาจาไม่ได้

ยกตัวอย่างเช่น เวลาเอางานไปให้หัวหน้าดู หัวหน้าก้ม ๆ ดูงานสักพัก แล้วก็เงยหน้ามาถามว่า “คิดได้แค่นี้เหรอ?”

ชี๊ง……(fade in เข้าสู่ความเงียบ) – อันนี้แค่ยกตัวอย่างมาเล่น ๆ หัวหน้าผมจริง ๆ เป็นคนใจดี

หรืออย่างเช่น ในโรงอาหาร ไอ้มุยสามารถไปเชิญชวน(และล่อลวง) ให้น้องนุ้ยไอทีเข้ามาร่วมโต๊ะกินข้าวได้ ไอ้ก่อก็ได้ทีเก๊กเป็นคนดี มาดนิ่ม สุขุม คัมภีรภาพ ถามไป
“..แล้ว…น้องนุ้ย จบจากไหนเหรอครับ?”

น้องเค้ายังไม่ทันตอบอะไร ไอ้มุยก็จะสวนมาว่า “ว่าแต่แฟนเอ็งสบายดีใช่มั้ยไอ้ก่อ”

ชึ๊งงง…..ความเงียบก็จะเข้าครอบคลุมโต๊ะกินข้าว (ส่วนสองคนนั้น ไอ้มุยกะไอ้ก่อก็ไปเคลียร์กันเองหลังกินข้าวเสร็จ)

(ถ้าเทียบเป็นการ์ตูนญี่ปุ่น ช่องนี้ก็จะเป็นรูปคนทำหน้าเฉยแบบเครียด ๆ แล้วมีบอลลูนเป็นคำพูดมีแต่ จุด จุด จุด)

ช่วงนี้เล่นมุขกันบ่อย ก็เลย ชึ๊งงง ชึ๊งงง กันบ่อย

เลยรู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นคำพูดติดปากไปซะแล้ว

พยายามจะไม่พูด แต่มันก็มีคนมาเล่นมุขทำให้ต้องพูดกันอีกจนได้

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

มีอีกคำที่น่าสนใจคือ “เวิ่นเว้อ”

ตอนแรกนึกว่าเป็นคำศัพท์เฉพาะกลุ่ม แต่เพิ่งมารู้ทีหลังว่ามันเป็นกลุ่มใหญ่ทีเดียว เป็นคำเมือง(ภาคเหนือ)คำหนึ่ง อันนี้ได้มาจากผู้รู้ท่านหนึ่ง

เวิ่นเว้อ เป็นคำบ่งบอกถึง อาการเหม่อลอย คิดกังวล เหงา เศร้า (เพราะรักหรือเปล่าแล้วแต่กรณีไป)

คล้าย ๆ คำว่า “สะเบิ๊กสะเจิ้ง”

สะเบิ๊กสะเจิ้งนี้มีลักษณะอาการคล้าย ๆ เวิ่นเว้อ แต่ส่อเค้าไปในทางรุนแรงมากกว่า มักออกอาการไปทางบ้า จิก ดึง ทึ้งผม ตัวเองอะไรอย่างนั้น

ผมเองตอนถูกเธอบอกเลิกใหม่ ๆ ก็มีอาการสะเบิ๊กสะเจิ้ง ไปพักหนึ่ง ตอนนี้กลายเป็นเวิ่นเว้อแทน
(นาน ๆ ทีก็จะเวิ่นเว้อแบบหนัก ๆ อย่างเช่นเมื่อวานนี้)

คาดว่าสักพักใหญ่ ๆ พอผมหายจากอาการ เวิ่นเว้อ แล้วคงจะกลายเป็น หมึน และ จืน ไปตามลำดับ

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


เมื่อวานนี้ ด้วยอาการเวิ่นเว้อมันกำเริบหนัก คิดถึงเธอเข้าขั้นรุนแรง ผมขี่จักรยานออกจากบ้านตอนเย็น ๆ ขี่ไปโดยไร้จุดหมาย

แล้วเท้าก็พาจักรยานมาถึงมอชอ…มันไปของมันเองอย่างนั้น มันเป็นอย่างนี้เสมอเวลาเราใจลอย ร่างกายเราก็จะพาเราไปที่ ที่คุ้นเคยโดยไม่ได้ตั้งใจเสมอ

ปั่นจักรยานขึ้นเนินไปบนอ่างแก้ว

อ่างแก้วตอนเย็น มีคนมาเยอะมาก(โดยเฉพาะมากันเป็นคู่) หน้านี้น้ำแห้งจนเห็นขอบตลิ่งลึกลงไปชัดเจน อากาศค่อนข้างอบอ้าว แต่ก็มีลมพัดมาแผ่ว ๆ

อาการเวิ่นเว้อกำเริบหนักกว่าเดิม เมื่อคิดว่าผมกับเธอก็เคยมาเดินคุยกันที่นี่สองคน ตอนเรารู้จักกันใหม่ ๆ เราไปกินข้าวด้วยกันเสร็จแล้วก็มาเดินเล่นต่อที่นี่

ปั่นจักรยานลงเนิน ปั่นไปเรื่อย ๆ ปั่นจนเหนื่อย ปั่นเท่าที่หัวใจแห้งเหี่ยวมันจะพอสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงที่ขาให้ปั่นต่อไปได้

เหงื่อออก แต่ลมเย็นก็พัดให้มันแห้งไปอย่างรวดเร็ว

แล้วก็เหนื่อย เหนื่อยจนอาการเวิ่นเว้อลดลง ปั่นต่ออีกไม่ไหว เลยเปลี่ยนทิศกลับบ้าน

มาถึงแถวสวนดอก ก็รู้สึกแปลก ๆ ที่ล้อหลัง เลยจอดเช็คดู

ปรากฏว่ายางแบน….ชึ้งงงง

ค่ำแล้ว สองทุ่มกว่าแล้ว ร้านซ่อมจักรยานก็ปิดหมดแล้ว เลยต้องเดินจูงรถกลับบ้าน

กลับมาเพื่อจะเจอว่าระหว่างทางผมคงเดินกระแทกกับตัวรถ ทำให้หน้าจอมือถือแตก

คนเราเมื่อโชคมันไม่เข้าข้าง อะไรก็ดูแย่ไปหมด

แต่กฎของเมอร์ฟี่บอกไว้ว่า ถ้าคุณคิดว่าคุณโชคร้ายแล้ว อย่าตกใจ เพราะมันจะมีโชคร้ายกว่านี้อีก

ทำใจดี ๆ เอาไว้ ไอ้หนู……

Monday, May 23, 2005

เธอรู้หรือเปล่า....(ว่าผมคิดถึงเธออยู่)

....อาจจะดูว่ามันนาน
ผ่านมานานล่วงเลยไป
อาจจะดูว่าหัวใจ ของฉันมันชินและชา
ดูไม่เป็นทุกข์
เหมือนไม่เสียใจ เหมือนคน ไม่มีน้ำตา
อาจจะดูว่าดีกว่า จากวันนั้น

อาจจะดูเหมือนแข็งแรง
แกร่งกว่าวันที่เธอไป
อาจจะดูเหมือนลืมง่าย คล้ายคล้ายไม่มีอะไร
มันไม่ใช่เลย มันไม่ใช่เลย
ยังไม่เคยลืมเลือนเธอไป
ไม่ว่านานเท่าไหร่

เธอรู้หรือเปล่า
ว่ามันเจ็บปวดรวดร้าว และทรมาน
เมื่อรู้ ว่าไม่มีใคร
เธอรู้หรือเปล่า
ความเหงา กับความว่างเปล่า
ปวดร้าวเพียงใด
เมื่อต้องคอย แต่คน ที่ไม่มีวัน กลับมา


....มันไม่ใช่เลย มันไม่ใช่เลย
ยังไม่เคยลืมเลือนเธอไป
ไม่ว่านานเท่าไหร่
เธอรู้หรือเปล่า
ว่ามันเจ็บปวดรวดร้าว และทรมาน
เมื่อรู้ว่าไม่มีใคร
เธอรู้หรือเปล่า
ความเหงา กับความว่างเปล่า
ปวดร้าวเพียงใด
เมื่อต้องคอย แต่คน ที่ไม่มีวัน กลับมา


....เธอรู้หรือเปล่า
ความเหงา กับความว่างเปล่า
ปวดร้าวเพียงใด
เมื่อต้องคอย แต่คน ที่ไม่มีวัน กลับมา

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

วันนี้หนึ่งเดือนพอดีที่เราเลิกกัน.....
ตลอดเวลาที่ผ่านมา
ไม่มีวันไหน ที่ผมไม่คิดถึงเธอ...

....เหงาจับใจ....

Revenge Of The Sith Posted by Hello

Sunday, May 22, 2005

พบเจอเพื่อน ๆบ้าง

วันนี้มีเรียนแค่ครึ่งวัน แล้วก็เรียนเป็นวันสุดท้ายของคอร์สแล้ว

ตอนข้าเรียน พวกพี่เจ้นเอาลิสต์รายชื่อและเบอร์โทรของเพื่อน ๆ น้อง ๆ ที่เรียน MBA อยู่กลุ่มเดียวกันมาให้ นัยว่าให้มีเบอร์กันไว้ เวลามีอะไรจะได้โทรปรึกษาหารือตามกันมาได้

ด้วยความที่โดดเรียนบ่อย ผมนั่งดูชื่อแต่ละคนแล้ว จากหกสิบกว่าคน รวมพวกพี่โชค พี่ต้น พี่เอ๋ ด้วยแล้ว ผมรู้จักคนในนี้ไม่ถึงสิบคน

เรียนแค่ครึ่งวันก็จบ และก็จะสอบวันเสาร์หน้าแล้ว ก็เลยมีการนัดติวกัน สรุปได้ว่า จะมีการติวแต่ละวิชาในวันพุธ พฤหัส และ ศุกร์ ตอนหกโมง ผมเลิกงานหกโมงพอดี ก็เป็นกังวลอยู่ว่าจะมาติวกับเขา(หรือจริง ๆ แล้วมาให้เขาติว) ได้รึเปล่า ถ้ามาเข้าเรียนทุกครั้งคงไม่กังวลมากขนาดนี้

เลิกเรียน หอบหิ้วเอานิยายฝรั่งที่อ่านไม่จบมานั่งอ่านต่อที่ร้าน Kopi Gusto แรก ๆ ตั้งใจว่าจะอ่านหนังสือเรียน แต่เมื่ออารมณ์ไม่บังเกิดก็นั่งอ่านนิยายไปพลาง ๆ ก่อน ที่ร้านวันนี้แทบไม่มีคน เลยอ่านอย่างเป็นสุขทีเดียว เผลอแผล่บเดียวก็จะจบแล้ว

แต่ยังไม่จบง่าย ๆ หนุ่ม คงศักดิ์ โทรมาหาตอนสี่โมงครึ่ง ชวนไปกินข้าวเย็นด้วยกันกับพวก แอนโดเรมอน ที่โรบินสันแอร์พอร์ท

ขับรถตามไป วันนี้เป็นวันอาทิตย์ ที่จอดรถหายากมาก โชคดีที่มีรถกำลังจะออกพอดีเลยได้ที่จอดสบายหน่อย แต่ก็นั่นแหละ ต้องจอดตากแดดอยู่ที่ลานข้างล่าง ที่จอดรถบนตัวตึกคงไม่ต้องหวัง

วันนี้เหมือนเป็นการรวมรุ่นสมัยมอปลายแบบกลุ่มย่อย ๆ มีผม คงศักดิ์ แอนโดเรมอน ไอ้ม้า(เบียร์) ไอ้แม้ว ไอ้มิว แล้วก็ดาว (ดาวไม่ได้อยู่ยุพด้วย แต่เป็นเพื่อนเรียนเภสัชมากับ แอน และ คงศักดิ์ ตอนนี้ถูกดูดกลืนมาเป็นเด็กยุพด้วยกันเรียบร้อยแล้ว)

เจอเมย์กระต่ายมากับที่บ้าน เลยเข้าไปทักกัน เมย์ยังทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลสวนดอก อยู่เวรมาราธอนมาก เวรเช้า ต่อบ่าย แล้วก็ต่อเช้าอีกที - นั่นคือมีเวลานอน ไม่ถึงเจ็ดชั่วโมงดี – เมย์บอกจริง ๆ แล้วแค่ห้าชั่วโมง นี่นับว่าถือเป็นบุญของพวกเราทีเดียวที่มาเจอเมย์วันนี้ เพราะปกติจะไม่ค่อยว่าง ไม่ได้เห็นหน้ากันเป็นปีได้

แปลกที่คนเราก็ยังทำงานอยู่ใกล้ ๆ กัน ยังอาศัยอยู่ในจังหวัดเดียวกัน แต่กลับไม่ค่อยมีเวลาเจอกัน คงจะเป็นเพราะความยุ่งในเรื่องงาน ครอบครัว ของแต่ละคน

ผมตอนมีแฟน ก็ห่าง ๆ เพื่อน ๆ ไป พอถูกเธอทิ้ง ก็เลยเคว้ง

ตั้งใจว่าจะเอาอีเมล์ และ เบอร์โทรของแต่ละคนออกมาดู ว่าคนไหนไม่ได้ติดต่อมานานบ้าง อาจจะเมล์หา หรือโทหาสักหน่อย - ข้อความจากคนที่ไม่คาดว่าจะได้รับ อาจจะเป็นสิ่งสดชื่นเล็ก ๆ ในวันที่แสนน่าเบื่อ

ไม่รู้จะกินอะไรกัน ผมไม่อยากกินสุกี้เอ็มเค มีความหลังมากเกินไปกับร้านนี้ คงอีกนานกว่าจะเข้าไปกินได้เหมือนเดิม พอดีกับที่ไอ่ม้า เพิ่งมากินกันเมื่อวานนี้ เลยรอดตัวไป

สรุปว่าไปกินพิซซ่า ไปกันเจ็ดคน สั่งมาสองถาดใหญ่ เพิ่งรู้ว่ามีพิซซ่าแบบที่มีกุ้งแม่น้ำเป็นตัว ๆ เบิ้ม ๆ มาให้ด้วย ดูดีมาก แต่ไม่อร่อยเท่าไหร่ ผมว่ารสชาติมันผสมผสานกันไม่ลงตัว

บ่นๆ อย่างนี้ แต่ก็กินหมดไม่เหลือสักชิ้น

อิ่มมาก พวกคงศักดิ์ และ แอนโดเรมอน จะไปร้องคาราโอเกะกันต่อ แต่ผมไม่ไปด้วย กลัวไปร้องไห้ที่นั่นแทนที่จะได้ร้องเพลง แอนหันมาขยิบตา บอกฮัททำตัวเป็นคนดีนะ กลับบ้านตรงเวลา ไปรายงานตัวกับใครหรือเปล่า แอนโดเรมอนยังไมรู้ว่าผมกับเธอเลิกกันแล้ว

คร้านที่จะบอกแอนไป การพูดหรือการคิดถึงเธอยังคงเป็นการกระตุ้นต่อมน้ำตาของผมให้ทำงานอยู่ ถึงมันจะผ่านมาเกือบเดือนแล้ว

โลกของผมยังคงว่างเปล่าอยู่

Saturday, May 21, 2005

เรียนหนังสืออีกแล้ว

วันนี้วันเสาร์ เป็นวันเรียนหนังสืออีกแล้ว

ทำตัวเป็นนักเรียนที่ดีโดยการไปถึงห้องเรียนแต่เช้าก่อนเวลาเรียน ตกใจที่มาเช้าแต่กลับหาที่จอดรถไม่ได้ เกิดอะไรขึ้น

วันนี้ที่คณะบริหารธุรกิจเขามีการสอบข้อเขียนเพื่อรับนักศึกษาปริญญาตรีภาคพิเศษ (ภาคค่ำ)

เป็นการเพิ่มโอกาสทางอีกหนึ่งช่องทางสำหรับคนที่เอ็นทรานซ์ ไม่ติด

หรืออีกนัยหนึ่ง – แบบจริงใจกว่า - ก็คือการหารายได้เข้าคณะนั่นเอง

ถ้าเอ็นทรานซ์เข้ามาด้วยวิธีการปกติ เทอมนึงค่าเทอมจะตกอยู่ประมาณสี่ห้าพันบาท แต่ถ้าคุณสอบเข้ามาเรียนในภาคพิเศษนี้….เทอมละสองหมื่นกว่าบาทครับ

เมื่ออาทิตย์ที่แล้วเรามีการเลือกประธานกลุ่มที่เรียนกัน เนื่องจากปีนี้มีกันทั้งหมดร้อยยี่สิบกว่าคน แบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งและกลุ่มสอง

มีประธานรุ่นคือพี่ดา รุ่นพี่เครื่องกลเกียร์โดด มีรองประธานกลุ่มหนึ่งคือพี่เจ้น รุ่นพี่เกียร์ไหล

วิดวะจะครองเมืองหรืออย่างไร น่าภาคภูมิใจอะไรเช่นนี้


ไปกินข้าวกลางวันที่ อมช วันนี้เหมือนวันรวมญาติ เจอเพื่อน ๆ มอปลายโดยมิได้นัดหมายหลายคน ไม่ว่าจะเป็น อั๋น กอล์ฟ ที่บังเอิญว่างแล้วมากินข้าวด้วยกัน เจอหนุ่ม คงศักดิ์ กับเจี๊ยบวันเพ็ญ ที่มาลงเรียน ปโท เศรษฐศาสตร์ด้วยกัน

เจี๊ยบเปลี่ยนชื่อแล้ว จากวันเพ็ญ เป็นชื่อ อะไรซักอย่างที่ขึ้นชื่อด้วย จ จาน (หวังว่าคงไม่ได้เปลี่ยนเป็น จันทร์เพ็ญ)

นัดกับคงศักดิ์และเจี๊ยบไว้ว่าจะหาเวลาไปกินข้าวกลางวันด้วยกันสักวัน


เลิกเรียนแล้วก็ไปแวะที่ร้าน Kopi Gusto ตามเคย

คิดว่าคงไปบ่อยจนคนขายจำได้แล้ว แค่ก้าวเท้าเข้าร้าน น้องคนขายก็บอกว่า “ชาแก้วใหญ่ทานในร้านนะคะ”

คงไปเวลาเดิมๆ สั่งแบบเดิม ๆ เพิ่งรู้ตัวว่าผมเป็นคนน่าเบื่ออะไรอย่างนี้ – มิน่า ที่เธอทิ้งผมไป – คนน่าเบื่อ…


กลับมาบ้าน โทรหาไอ้ก่อจะแซวเรื่องมันไปเที่ยวปาย สุดสัปดาห์นี้ (หยุดติดต่อกันสามวัน)

อาทิตย์ก่อนไป มันพยายามมาก่อกวน ด้วยการชักชวนให้ผมไปเที่ยวกะพวกมันด้วย

“ไปด้วยกันเหอะพี่ อาทิตย์ นี้พี่เรียนวันครึ่ง ถ้าโดดตอนบ่ายวันเสาร์ ก็เท่ากับพี่โดดแค่วันเดียวเองนะ” มันบอก
“ไม่ได้ว่ะ พี่โดดมาแล้วสองที เกิดโดดอีก เวลาเรียนไม่พอ สอบไม่ผ่านกันพอดี” ผมหมายถึงการสอบวัดผลการเรียนปูพื้นที่จะมีในอาทิตย์หน้า ซึ่งรวมทั้งคะแนนสอบ และคะแนนเข้าห้องเรียนด้วย

“ก็ไม่เป็นไรไงพี่ สามหมื่นเอง ค่าเทอม ขำ ขำ…”

ขำมากนะเอ็ง

โทรไปหามัน ตอนนี้มันถึงปายแล้ว แต่…ฝนตก ออกไปไหนไม่ได้ ผมหัวเราะเยาะมัน ไปเที่ยวตอนฤดูนี้ ปายไม่น่าจะหนาวอย่างที่คาด และ ที่ไม่คาด..มันดันไปเจอฝน

ผมฝากมันถ่ายรูปฝนมาให้ดูด้วย

Friday, May 20, 2005

Revenge Of The Sith

เพิ่งกลับจากไปดูหนังมา

หนังอันดับหนึ่งในดวงใจ

หนังที่ผมและใครหลายคนรอคอยมาเป็นปี

มันคือ STAR WARS EPISODE III : REVENGE OF THE SITH (ภาษาไทยตั้งชื่อว่า “ ซิธชำระแค้น” – จริง ๆ ผมว่าเห่ยไปหน่อยนะชื่อภาษาไทยแบบนี้)

เป็นภาคสุดท้ายของไตรภาคแรก เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่าง STAR WARS ภาคแรกที่มีการสร้าง (A New Hope) และจุดกำเนิดของมัน

เป็นภาคเฉลยจุดผกผันอันเป็นที่มาของ ดาร์ธ เวเดอร์ เป็นภาคที่เริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงจากสมาพันธ์ เป็น จักรวรรดิ์กาแลคติค เป็นภาคกำเนิดของ ลุค และ เลอา

เป็นอะไรอีกหลาย ๆ อย่างที่สมควรจะไปดูอีกรอบเป็นอย่างยิ่ง

อยากบอกว่าเป็นแฟนตัวจริงของ STAR WARS มาตั้งนานแล้ว ถึงจะไม่ขนาดแฟนพันธุ์แท้ แต่ก็ไม่น้อยหน้าใครทีเดียว

คำจำกัดความของ STAR WARS อย่างง่าย ๆ มันก็คือเทพนิยายแห่งกาแลคซี่ มีอัศวินผู้กล้าจิตใจคุณธรรม ขี่ม้าขาว(ยาน X Wing) กวัดแกว่งดาบวิเศษ ( Light Saber) มากอบกู้โลกจากอำนาจโหดของจักรพรรดิร้าย

แต่แทนที่มันจะเริ่มต้นว่า “Once upon a time… - กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว” อย่างนิทานหรือ เทพนิยายเรื่องอื่น ก็เปลี่ยนเป็น

“ A long long time ago in the galaxy far far away..”

ประโยคสุดคลาสสิค แค่ตอนเริ่มต้นเรื่อง มีประโยคนี้ขึ้นมาบนสกรีน ก็มีฝรั่งนั่งแถวหน้าทั้งหลาย ปรบมือเป่าปาก กันเป็นแถว ฮากันมาก

หนังยาวสองชั่วโมงครึ่ง

อิ่มเอม อิ่มเอม ใครจะวิจารณ์ว่าหนังยังไงก็ช่าง แต่สำหรับแฟนหนังอย่างผมแล้ว ประทับใจมาก (ที่ประทับใจที่สุดคือภาคนี้แทบจะไม่มี จาจาบิง โผล่ออกมาเลย – ถึงโผล่ก็ไม่มีบทพูด มีซ่า มีซ่า)

ได้เห็นการพัฒนาของทหารโคลนในภาคนี้ที่จะกลายเป็น Sand troopers และ Storm Troopers ในภาค A New Hope.

ได้เห็นยานต้นแบบที่จะพัฒนาไปเป็น Tie fighter และ X Wing ในภาคถัดไป

ได้เห็นอวสานของเหล่าอัศวินเจได (เข้าตำรา น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ)

หนังเรื่อง Starwars นี้นับได้ว่ามีอิทธิพลต่อหลาย ๆ วงการมาก

ง่าย ๆ ก็วงการการ์ตูน การ์ตูนญี่ปุ่น คนเขียนเรื่อง เรื่องดรากอนบอลล์ และ อาราเล่ ยานพาหนะส่วนใหญ่ในเรื่องได้รับอิทธิพลการออกแบบมาจาก STARWARS ทั้งนั้น (บางทีถึงกับมียาน Tie fighter ออกมาให้เห็นกันจะ ๆ ทีเดียว)

จอมมารพิกโกโล่ และ ชาวนาเม็ก ตัวเขียว ๆ นี่ก็น่าจะได้ไอเดียมาจากปรมาจารย์โยดา

หอคอยคาริน กับ วิหารพระเจ้า ก็น่าจะได้ไอเดียมาจาก เมืองลอยฟ้าในภาค The Empire Strikes Back.

มาถึงเรื่องคอบร้าบ้าง ฉากบาร์ในอวกาศของเรื่อง ก็ได้มาจากเรื่อง STARWARS เต็ม ๆ ไม่ว่าจะเป็นลักษณะของบาร์ หรือพวกมนุษย์ต่างดาวที่อยู่ในบาร์

ดาบเลเซอร์ของตำรวจอวกาศเกียร์บัน – ชาลีบัน และ จีบัน (ที่มักจะเอาออกมาใช้ตอนใกล้จบเป็นท่าไม้ตายพิฆาตสัตว์ประหลาด) นี่คงไม่ต้องบอกว่าได้มาจาก กระบี่แสง (light saber) ของอัศวินเจได ตรง ๆ

แต่ก็แปลก พอญี่ปุ่นยืมไอเดียฝรั่งมาเขียนการ์ตูน ฝรั่งเองก็ยืมไอเดียญี่ปุ่นมาทำหนังบ้างเหมือนกัน

เรื่องโรโบคอบ นี่ก็ได้ไอเดียมาจากตำรวจอวกาศเกียร์บัน – แค่โรโบคอบไม่มีดาบเลเซอร์ – และดูเป็นจริงเป็นจังมากกว่า

หรือเรื่อง Total Recall (คนทะลุโลก)ที่พี่บึ๊ก อาร์โนลด์ แสดง พล็อตเรื่องก็เอามาจากคอบร้า เลย ประมาณว่าพระเอกทำให้ความจำตัวเองหายไปเพื่อกลับมาใช้ชีวิตธรรมดา ๆ ในโลกอนาคต แต่แล้วก็มีคนคอบตามล่า ทำให้พระเอกได้ความทรงจำเก่ากลับมา

อะไรทำนองนี้

ไปดูที่เมเจอร์ซีเนเพลกซ์ เหมือนจะรู้งาน ตรงกลางลานมีของเล่นเกี่ยวกับสตาร์วอร์ส มาขายเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นหุ่นโมเดลขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ ยานอวกาศ กระบี่แสง หรือแม้แต่กระทั่งหน้ากากของ ดาร์ธ เวเดอร์ ละลานตาไปหมด

ถ้าไม่ติดว่ายังยากจนอยู่ ผมก็คงเข้าไปเหมาแล้ว

ตอนนี้ STAR WARS สร้างมาสองไตรภาค หกตอน แล้ว

Episode I : Phantom Menace
Episode II : Attack of the clones
Episode III : Revenge of the Sith
Episode IV : A New Hope
Episode V : The Empire Strikes back
Episode VI : Return of the Jedi

น่าจะมีโรงหนังซักโรงจัดเทศกาลคนรัก STAR WARS โดยเอาทั้งหกภาคมาฉายติด ๆ กัน ดูกันมาราธอนไปเลย ผมก็เป็นคนนึงที่จะไปยืนต่อคิวซื้อบัตรดูด้วย

กำลังลุ้นให้สร้าง Episode VII, VIII และ IX ไตรภาคสุดท้ายอยู่ ไม่รู้จะมีโอกาสได้ดูหรือเปล่า

กลัวมิสเตอร์ จอร์จ ลูคัส แกอยู่ทำต่อไม่ไหว

วันนี้เขียนมาแต่เรื่อง STAR WARS ก็ขอจบแบบ STAR WARS

May the Force be with you…ขอพลังจงอยู่คู่คุณ

-- แต่จะมีใครอยู่คู่ผม --

Thursday, May 19, 2005

กลับบ้าน

ตื่นมาเช้ากว่าปกติสำหรับวันนี้

เพราะว่าไม่ได้นอนที่โรงแรม Orchad hotel เหมือนอย่างเคย ซีซี ก็เลยขับรถแวะมารับที่โรงแรมไม่ได้เหมือนเคย วันนี้เลยต้องนั่งแท็กซี่ไปหาลูกค้าเอง นัดกับซีซี และ ซิลเวียไว้ที่หน้าบริษัทลูกค้า

เมื่อคืนกลัวไม่ตื่นเลยตั้งเวลาปลุกเอาไว้ทั้งปาล์ม และ มือถือ แต่พอเอาเข้าจริง ก็ตื่นมาก่อนเวลาที่ตัวเองปลุกไว้ซะอีก

เดินเข้าห้องน้ำ ด้วยความที่ห้องพักมีขนาดเล็ก เขาจึงประหยัดเนื้อที่โดยการทำประตูห้องน้ำเป็นประตูแบบเลื่อน และยิ่งไปกว่านั้นเพื่อความประหยัดเนื้อที่กำลังสอง ก็เลยทำประตูเลื่อนบานนี้ติดเป็นกระจกเงาเต็มบานไปอีก

ตอนเช้า ขณะเดินงัวเงีย งัวเงีย เข้าห้องน้ำ เลยเจอผีพุงพลุ้ย แบบเต็มตัว


ตกใจมาก อึ้งไปสักพัก จนสามัญสำนึกบอกกับตัวเองว่าผีพุงพลุ้ยที่อยู่ข้างหน้านี่มันคือเงาของผมเอง


อาบน้ำ แต่งตัว เก็บกระเป๋า ลงมาเช็คเอาท์ข้างล่าง แล้วก็โบกแท็กซี่

ด้วยความที่โรงแรมนี้เป็นโรงแรมเล็ก ๆ ไม่ได้อยู่ติดถนนใหญ่ เลยไม่ค่อยมีรถแท็กซี่ผ่านเข้ามามากนัก ทางโรงแรมเลยแก้ปัญหาโดยการติดไฟหมุน (คล้าย ๆ ไซเรนบนหลังคารถพยาบาล)ไว้ที่หลังคาทางเดินเข้าโรงแรม เวลาเรามายืนรอแท็กซี่ก็กดปุ่ม ไอ้เจ้าไฟไซเรนนี้ก็จะทำงาน โดยการหมุน ๆ กระพริบ ๆ ไปมา (ไม่มีเสียง) แท็กซี่ที่ขับผ่านปากซอยเมื่อเห็นไฟกระพริบ ๆ นี้ก็จะรู้ว่ามีผู้โดยสารอยู่ แล้วเลี้ยวรถเข้ามารับ

ได้แท็กซี่แล้วก็บอกให้เขาขับไปส่งที่บริษัทลูกค้า แต่ก็ต้องไปยืนรอ ซีซี ซิลเวีย และทอม อีกสักพัก เนื่องจากผมไปเช้าเกินไปหน่อย (นัดไว้เก้าโมง ผมไปถึงแปดโมงยี่สิบ)

จากนั้นสองชั่วโมงแห่งนรกก็เริ่มขึ้น

โดนยำอีกตามเคย แต่ก็แก้ตัวอธิบายให้ท่านลูกค้าเข้าใจไปได้หลายเรื่อง มีตติ้งจบลงด้วยมี follow up actions มาให้ตามซะเยอะแยะอีกตามเคย ที่แย่คือส่วนใหญ่ action จะใส่เป็นชื่อผม เจ๊ไอรีน(ลูกค้า) บอกว่าผมคุยง่ายดี เลยให้งานไปทำเยอะ ๆ

ท่านลูกค้ามีการบอกผมตบท้ายว่าอย่าเพิ่งลาออกจากบริษัทนะ เธอยังมีอะไรต้องทำอีกตั้งเยอะ

อยากบอกว่า เพราะพวกท่านนั่นแหละ ทำให้ผมต้องมาทำงานช่วงสงกรานต์ และก็มาลงเอยโดยการที่ผมต้องเลิกกับแฟน ทำให้ผมต้องไปจีน ทำให้กระเป๋าผมหาย ทำให้..

จริง ๆ ก็ไม่เกี่ยว….แต่พาล

เสร็จจากมีตติ้ง พวกเราก็มาแวะกินข้าวกลางวันกัน

ตอนบ่ายซีซี กับทอม ต้องไปมีตติ้งกับฮิตาชิต่อ ผมกับซิลเวีย เลยกลับไปที่ออฟฟิศก่อน

พอกลับมาที่ออฟฟิศ ผมก็ไม่สามารถเข้าเว็บแอคเซสของเอาท์ลุค ได้อีกแล้ว สรุปปัญหาน่าจะอยู่ที่เซิร์ฟเวอร์ที่สิงคโปร์นี่มากกว่า

นั่งดูโน่นดูนี่ ออนไลน์คุยกับไอ้ก่อ กับ เจี๊ยบจนถึงสามโมงครึ่งก็ออกจากออฟฟิศ โบกแท็กซี่มาที่สนามบิน เครื่องออกห้าโมง แต่ต้องมาเช็คอินก่อน

พอขึ้นเครื่อง โรเบิร์ต แลงดอนก็เข้ามาช่วยผมจากความเหงาไว้ได้อีกครั้ง งัดเอา Angels & Demons ออกมาอ่านจนจบบนเครื่อง สรุปคนที่ผมคาดว่าน่าจะเป็นคนร้าย ก็เป็นคนร้ายจริง ๆ ซะด้วย หลังจากที่เนื้อเรื่องทำให้สับสน วนไปวันมาจนเดาไขว้เขวไปสักพัก

ผมคิดว่าเรื่องนี้สนุกกว่า Davinci code ซะอีก ด้วยตัวเนื้อเรื่องเอง แต่ที่ Davinci code ดังกว่าคงจะเป็นเพราะว่าเอาเนื้อเรื่องไปผูกกับตำนานและหลักฐานที่คนอ่านเชื่อได้อย่างสนิทใจมากกว่า จะว่าไป โรเบิร์ต แลงดอน ก็คล้ายอินเดียน่า โจนส์ภาคอยู่ในเมืองหลวง

ถึง กทม ตอนทุ่มนึง ก็ต้องมานั่งหง่าวต่อ เพราะว่ารอไฟลท์มาเชียงใหม่ที่จะออกตอนสี่ทุ่มครึ่ง

หนังสือก็อ่านจบแล้ว เลยต้องเอาบันทึกออกมาเขียนต่อระหว่างที่นั่งรอเครื่องออก เหงาอีกแล้ว

กลับถึงเชียงใหม่ห้าทุ่มครึ่ง อากาศเย็น

เป็นความเคยชินอีกแล้วเวลานั่งเครื่องบินไฟลท์ดึกกลับบ้าน เป็นความเคยชินที่ว่าจะมีใครคนนึงยังไม่นอนและกำลัง รอโทรศัพท์จากผมอยู่ รอแค่ให้ผมโทรไปบอกว่ากลับมาถึงแล้ว และให้เธอหลับฝันดี

แต่วันนี้คงไม่มีใครรอผมโทรไป

และที่สำคัญ…เธอก็คงหลับฝันถึงคนอื่นอยู่

Wednesday, May 18, 2005

อยู่สิงโปร์

… แล้ว โรเบิร์ต แลงดอน ก็ช่วยผมจากความเหงาเอาไว้ได้

ไม่ได้มาเขียนบันทึกหลายวัน

เหตุเนื่องจากมัวแต่อ่าน Angels & Demons เทวากับซาตาน

เป็นความตั้งใจตั้งแต่แรกเริ่มว่าจะไม่ซื้อหนังสือเล่มนี้มาอ่านเอง กะจะยืมชาวบ้านเค้าเอา แต่จนแล้วจนรอดก็ยังหาคนให้ยืมไม่ได้ คนที่ซื้อมาแล้วอย่างไอ้น้อย ไอ้เจมส์ มันก็ยังอ่านกันไม่จบ – หรือกั๊ก ไม่ให้ผมยืมก็ไม่รู้ สุดท้ายก็เลยต้องไปซื้อมาอ่านเองจนได้

หรือจะเป็นเพราะว่าเล่มก่อนหน้านี้ที่ออกมาผมก็ซื้อไว้หมดแล้ว ( Davinci code, Digital Fortress). พวกมันก็เลยเรียกร้องเพื่อน ๆ ให้มาอยู่ด้วย

ซื้อมาเมื่อวันจันทร์ ด้วยความที่เวลาช่างน้อยนิดเลยไม่ค่อยมีเวลาอ่าน แต่ถึงกระนั้นก็อ่านไปได้ค่อนเล่มแล้ว

ตอนนี้เห็นมีเล่มใหม่ออกมาอีกแล้ว เริ่มเครียด อยากอ่าน แต่ไม่อยากเสียเงิน

ตอนนี้อยู่ที่สิงคโปร์ บินมาเรื่อง QBR meeting กับลูกค้าแมกซตอร์ ออกจากเชียงใหม่ แปดโมงครึ่ง มาถึงกรุงเทพเพื่อต่อเครื่องมาสิงคโปร์ต่อ (ด้วยนโยบายประหยัด ผมไม่เคยได้นั่งไฟลท์ตรงจากเชียงใหม่มาสิงคโปร์เลย)

คราวนี้กระเป๋าไม่หาย เพราะผมไม่ได้ได้เช็คอินไว้ใต้เครื่อง ถือมันขึ้นมาบนเครื่องเลย

วันนี้รู้สึกว่าอาหารการบินไทยอร่อย คงเพราะหิว และไม่ได้กินอะไรมาแต่เช้า อาหารที่เคยไม่อร่อยก็กลับมาอร่อยได้อย่างไม่น่าเชื่อ

มาถึงสิงคโปร์ก็นั่งแท็กซี่จากสนามบินไปที่ออฟฟิศ ซิลเวียรออยู่ที่นั่นแล้ว พร้อมกับบอกว่าสุดท้ายแล้วก็จองโรงแรมให้ผมได้ เป็นโรงแรมเล็ก ๆ ชื่อ Robertson Quay Hotel.

เครียดเหมือนกันเพราะเมื่อวาน คอมเฟิร์มไฟลท์ให้เจ๊แกช้าไปหน่อย แกเลยจองโรงแรมที่เคยพักประจำให้ไม่ทัน โทรถามที่ไหนก็เต็มหมดแล้ว ช่วงนี้ที่สิงคโปร์มีสัมนาเรื่อง Tax Free ก็เลยมีคนมาเยอะ ทำให้ทุกโรงแรมเต็ม ก็ไม่รู้ว่าสัมมนาเรื่องงนี้มันฟรีอย่างชื่อด้วยหรือเปล่า คน(ชอบของฟรี) เลยมากันเยอะ

ซิลเวียบอกว่าถ้ายังจองโรงแรมไม่ได้ก็จะให้ไปนอนบ้านเจ๊แกละ มีห้องว่างอยู่อีกห้อง

สุดท้ายก็มาได้โรงแรมนี้ โรงแรมทรงกระบอก ราคาคืนละ เก้าสิบเหรียญ ห้องเล็กมาก

เล็กขนาดที่ว่าเดินจากประตูห้องเข้ามาหนึ่งก้าว ก็ถึงประตูห้องน้ำ และอีกสองก้าวจากประตูห้องน้ำก็ถึงหน้าต่างห้องแล้ว โดยที่ระหว่างสองก้าวนั้น มีเตียงนอนคั่นอยู่

ในห้องมีโต๊ะเครื่องแป้งมีกระจกเงาบานใหญ่ ซึ่งที่ๆ ควรจะเป็นลิ้นชักกลับดึงยืดออกมาได้เหมือนเอาไว้สำหรับวางคีย์บอร์ดในโต๊ะคอม ผมลองเอา laptop ไปวางไว้ ปรากฏว่าวางไม่ได้เพราะมันยื่นออกมาไม่พอ ก็เลยยังเป็นปริศนาว่ามันมีเอาไว้ทำอะไร ที่สำคัญยังมีสายแลน กับปลั๊กไฟเอาไว้ให้อีกต่างหาก

เปิดคอม อ่านเมล์ แปลกที่ผมพยายามต่อเข้า เว็บแอคเซสของเอาท์ลุคที่ออฟฟิศ(ที่สิงคโปร์) วันนี้ แต่ทำไม่ได้ ตอนแรกคิดว่าเป็นเพราะว่าเซอร์ฟเวอร์ที่เมืองไทยไม่ดี แต่ปรากฏว่าพอมาเปิดที่โรงแรมกลับอ่านได้ฉลุย เน็ตเร็วซะด้วย

เข้าไปดูเว็บของโรงแรมนี้ รูปที่ถ่ายออกมาโชว์ในเว็บดูหลอกลวงมาก ห้องดูกว้างกว่าปกติ แต่ก็นั่นแหละ มันเป็นมุมกล้อง

อ่านเมล์ไป ก็เปิดเว็บอะไรไปเรื่อยเปื่อยพร้อมกับเตรียมแพคเกจสำรองเอาไว้พรีเซนต์พรุ่งนี้อีกที เพิ่งรู้ว่า สตาร์วอร์ส ภาคล่าสุด กำลังจะเข้าวันพรุ่งนี้แล้ว น่าเสียดาย ถ้าอยู่เมืองไทยคงรีบไปดูแล้ว เป็นแฟนคนสำคัญของหนังเรื่องนี้ทีเดียว กำลังสงสัยว่าพอ จอร์จ ลูคัส ทำภาคนี้ (ซึ่งเป็นภาคสุดท้ายของไตรภาคแรก)ออกมาแล้ว จะไปทำอีกไตรภาคหลังต่ออีกหรือเปล่า เพราะป่านนี้ ลุค กับ เลอา สกายวอร์คเกอร์ก็คงหง่อมน่าดูแล้ว (ดูจากอายุของแฮริสัน ฟอร์ด ตอนนี้)

นอนพลิกไปพลิกมาบนเตียง มองเพดาน ไม่เคยชินกับการนอนโรงแรมที่ห้องเล็ก ๆ (ทั้ง ๆ ที่บ้านตัวเองก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไร) คงเป็นเพราะเคยชินกับการที่มีคนจองห้องใหญ่ ๆ (แบบที่มีเก้าอี้รับแขกในห้อง มีทีวีจอโต ๆ) ให้ละมัง

ความเคยชินเป็นสิ่งที่ไม่ดีเลย

เคยชินที่ก่อนนอนจะต้องโทรหาใครบางคนเพื่อบอกให้เธอนอนหลับฝันดี พอมาถึงวันหนึ่งที่ผมทำอย่างนั้นไม่ได้อีก เลยกลายเป็นเรื่องลำบากที่ต้องหาอย่างอื่นมาทำ

บันทึกนี่ก็คงเป็นอีกทางเข้ามาช่วยผมให้หายคุ้นกับความเคยชินอันนั้น

Sunday, May 15, 2005

กาแฟเที่ยงคืน

ตื่นมาเกือบแปดโมง

อาบน้ำ แต่งตัว ออกไปเรียน

วันนี้เรียนเรื่อง financial management ดูเข้าท่ากว่าบัญชีที่เรียนไปเมื่อวาน คงเป็นเพราะว่าอาจารย์สอนเข้าใจมากกว่า โดยเฉพาะเรื่อง Role of time value money ดูเป็นบทเรียนที่เอามาใช้ได้เห็นเป็นตัวเป็นตนมากกว่า
ชักเริ่มสนุกที่ได้มาเรียน

เรียนเสร็จมานั่งเรื่อยเปื่อยอยู่ที่ร้าน Kopi Gusto ที่คณะวิศวะอีกแล้ว

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

ไอเดียเรื่องร้านกาแฟแบบเฉพาะกิจเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง

ผมจะให้ชื่อร้านว่า “กาแฟเที่ยงคืน”

เป็นร้านกาแฟสำหรับคนเหงา คนที่พิสมัยอ้อยอิ่ง เสียดายอยู่กับความสงบมีเสน่ห์ของยามราตรี และรีบเร่งที่จะข้ามผ่านช่วงทิวาวันไป

คงมีใครหลายคน ที่อยากใช้เวลายามค่ำคืนสนทนาอย่างออกรสกับเพื่อน ๆ ที่รู้ใจ แต่ก็ไม่จำเป็นจะต้องสนทนากันในวงเหล้าเสมอไป – ถ้าอย่างนั้นก็เชิญมาดื่มกาแฟสักแก้วแล้วสนทนากันเถิด

กาแฟจะมีหลายสูตร ขึ้นอยู่กับดีกรีความอยากอยู่ดึกของแต่ละคน

อาจจะเป็นชานมอุ่น ๆ ให้สบายท้องสำหรับคนอยากนอนก่อนเที่ยงคืน

เป็นกาแฟลาเต้เข้มขนาดกลางเพื่อยืดความสดชื่นให้อยู่ถึงสักตีสาม

หรืออาจจะเป็นเอสเปรสโซ่รสเข้มข้น สำหรับคนอยากอยู่จนฟ้าสาง ชมพระอาทิตย์ขึ้น

ในตัวบ้านจะจัดเป็นชุดโต๊ะ เก้าอี้หวาย นั่งสบาย ๆ สักสี่ห้าชุด บุด้วยผ้าฝ้ายเนื้อนุ่ม มีชั้นหนังสือให้เลือกหยิบมาอ่าน

ด้านข้างก็จะเป็นประตูเลื่อนเปิดออกไปสู่เฉลียง ตีพื้นไม้ เปิดโล่ง เห็นท้องฟ้ายามค่ำคืน สำหรับผู้ชื่นชอบการจิบกาแฟแล้ว ชมความงามของดวงจันทร์ มีบริการผ้าห่มยามน้ำค้างแรง อาจจะปลูกดอกราตรีสักสองสามต้นไว้เพื่อเพิ่มเสน่ห์ความหอมของกลางคืน

สำหรับคนที่เพิ่งเศร้าโศกเสียใจกับเรื่องร้าย ๆ มา เราก็มีมุมเงียบ ๆ ให้จิบกาแฟ และปลดปล่อยความเศร้าออกมาให้พอ เราคิดว่าคุณคงจะผ่านคืนนี้ – และช่วงเวลาอันเลวร้ายนี้ไปได้ไม่ยาก

สำหรับลูกค้าประจำที่อยู่ถึงเช้า เราก็มีบริการพาไปใส่บาตรเพื่อความอิ่มเอมจิตใจ

คิดไปคิดมาก็เจอปัญหาเพียงสองข้อ คือ ผมยังไม่มีทำเล และไม่มีเงินทุน

ไม่หวงถ้าใครบังเอิญมาอ่านเจอแล้วไปเปิดร้านกาแฟเที่ยงคืนบ้าง

เพียงแต่อย่าว่ากันถ้าผมจะขอตามไปเป็นลูกค้าประจำ…

Saturday, May 14, 2005

สังสรรค์กับวันเก่า ๆ

สะดุ้งตื่นมาตอนเช้า

นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ทำการบ้าน MBA เลย

เป็นการบ้านที่อาจารย์สั่งไว้ในวันที่ผมโดดพอดี ไม่มีหนังสืออ่านประกอบด้วย(เพราะโดด) ดีที่พี่โชคแกส่ง file data ที่เป็นการบ้านมาให้ (ซึ่งก็มีเพื่อนร่วมชั้นเรียนด้วยกันส่งมาให้พี่แกอีกทีนึง)

พยายามทำการบ้านด้วยความรู้อันจำกัด และเวลาที่ยิ่งจำกัดกว่า สุดท้ายก็ไม่เสร็จ แต่ไม่มีเวลาแล้ว สั่งพรินท์ออกมาก ปรากฏว่าเครื่องพรินเตอร์ผมไม่ดีอีกแล้ว พิมพ์ไม่ออก

ต้องsave ใส่ handy drive แล้วเอาไปพิมพ์ออกที่ใต้ตึกบริหาร หน้าละหนึ่งบาท

ผมโดดไปสองวัน ทำให้แทบไม่รู้จักใครในห้องเลย เนื่องจากในทั้งสองวันที่ผมโดดไป ในห้องมีกิจกรรม(เห็นพี่โชคเรียก กิจกรรมละลายพฤติกรรม) ทำให้ทุกคนรู้จักกัน

คนที่(ดัน)โดด ทั้งสองวันอย่างผมก็เลยกลายเป็นคนแปลกหน้าไป

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

เลิกเรียน กลับบ้าน

เสียงมือถือดัง เป็นเธอที่โทรมา…

งง ไม่คิดว่าเธอจะโทรมาหา แต่ก็อาจจะแค่โทรมาบอกเบอร์ใหม่ แค่นั้นเอง

ผมขอโทษเธอที่วันก่อนส่งเมล์แปลก ๆ ไปหา เธอบอกไม่เป็นไร ไม่ได้ว่าอะไร

เราคุยกันด้วยเรื่องเรื่อยเปื่อยอีกแล้ว เกือบจะหลุดปากถามเธอไปอย่างที่ในฝันวันก่อน เกือบจะถามเธอว่าเราจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีกหรือเปล่า

แต่ในเมื่อก็รู้คำตอบอยู่แล้ว จะถามไปอีกทำไม

สักพักก็วางหู

พรุ่งนี้ก็จะครบสามอาทิตย์ที่เธอบอกเลิกกับผม….

- - - - - - - - - - - - - - - - - - -


หกโมงกว่า ไอ้ก่อโทรมาเตือนว่าวันนี้พี่อู๊ดมา อย่าลืมที่นัดไว้

พี่อู๊ดเป็นหัวหน้าตอนผมอยู่ที่ทำงานเก่า เป็นหัวหน้าที่กันเองมาก ชอบเข้ามาคลุกวงในกับลูกน้อง แต่อาจจะไม่ค่อยเข้าตาญี่ปุ่นเท่าไหร่ – เรียกว่าคนละสไตล์

ตอนนี้แกย้ายไปอยู่อีกบริษัท มีความสุขดี เพิ่งได้ลูกคนที่สาม ลูกชาย

ผมเจอแกคราวก่อน แฟนแกยังท้องคนที่สองอยู่เลย….เวลาผ่านไปเร็วจริง ๆ (หรือไม่พี่อู๊ดก็เก่งจริง ๆ )

ไปที่ร้านเก๋ากึ๊ก (อยู่ใกล้บ้านผมเอง) เจอพี่อู๊ด ตาเบิ้ม พี่จิ๊บ เอก ไอ้ก่อ และ ไอ้ตั้ม นั่งกินรออยู่แล้ว กับข้าวเต็มโต๊ะ เหล้าเปิดไว้แล้ว กำลังได้ที่

พี่จิ๊บ กับ ตาเบิ้ม เพิ่งถูกโปรโมทเป็น แอสซิสเมเนเจอร์ ก้าวหน้าขึ้นทุกที

ตาเบิ้ม เล่าเรื่องวีรกรรมของแกตอนตะลุยเมืองจีน(ไปทำงาน) ออกจากโรงแรม เดินหลงไปเดินคนเดียวตามถนนใหญ่ แล้วโดนหลอกไปคาราโอเกะแบบมีน้อง ๆ มานั่งด้วย

โดนฟันไปหลายพัน พออิดออดจะไม่ยอมจ่าย ก็มีนักเลงสามสี่คนออกมายืนกอดอกคุมอยู่ ทำหน้าตาถมึงทึง แกบอกนาทีนั้น คิดถึงแต่ลูก เมีย กลัวไม่ได้กลับไปเจออีก

พวกผมได้แต่มองหน้ากัน (แล้วก็นินทาแกว่า ทีก่อนเข้าไปไม่รู้จักคิดนะพี่นะ)

กินกันจนห้าทุ่มกว่า ก็แยกย้ายกันกลับ

Friday, May 13, 2005

วันศุกร์ที่สิบสาม

วันนี้วันศุกร์ที่สิบสาม

ก็เป็นแค่เดือนที่มีวันอาทิตย์ตรงกับวันที่หนึ่ง เลยทำให้วันศุกร์มาตรงกับวันที่สิบสาม

คงจะแค่นั้นเอง ถ้าวันนี้ผมไม่บังเอิญได้รับเมล์จากเธอ

เป็นเมล์ที่ตอบผมกลับเมล์ของผมที่ส่งไปหาเธอในเช้าวันที่จิตใจว้าวุ่น ตอนอยู่ที่จีน

เนื้อหาของมันมีความยาวแค่ห้า หก บรรทัด ไม่มีอะไรมาก แค่ถามผมว่าสบายดีหรือเปล่า ตอนนี้อยู่ที่ไหนแล้ว ช่วงนี้งานเธอยุ่งมาก และให้เบอร์โทรใหม่ของเธอไว้ ลงท้ายไว้ว่าแล้วค่อยคุยกัน…

ผมอ่านข้อความห้าหกบรรทัดนี้รอบแล้ว รอบเล่า ไม่ได้คาดหวังว่าเธอจะตอบเมล์กลับมา รู้ว่าที่ผมเมล์ไปหาเธอมันเป็นเรื่องไร้สาระของอีกวันที่คิดถึงเธอแทบบ้า คิดอยู่ว่าจะตอบเมล์เธอดีหรือเปล่า

ก็บังเอิญได้เมล์จากพี่ที่ทำงาน เป็น forward เมล์ที่มีเพลงแนบมาด้วย ชื่อเพลง “เรื่องบนเตียง” เป็นเพลงที่ชื่อชวนให้คิดแปลก ๆ แต่เนื้อหาเศร้ามาก แทบจะเป็นความรู้สึกของผมในเช้าวันที่ฝันถึงเธอเลย

“….ภาพที่ฉันได้เป็นอย่างคนที่เธอรัก ช่างเป็นอะไรที่ประทับใจ
อยากซึมซับนาน ๆ และเก็บไว้….ไม่ให้มันผ่านไป

….อยากหลับตาอยู่อย่างนั้น ทำอยู่อย่างนั้น ฝันถึงเธอเรื่อยไป
เพราะว่าความจริง ไม่มีทางใด ทำให้เราได้รักกัน
ทำได้แค่นั้น ทำได้แค่นี้ ทำได้เพียงแค่ฝัน
ต้องหลอกตัวเอง ฝันไปวัน วัน ไม่มีทางที่ฝันมัน เป็นจริง…”

อ่านเมล์ของเธอ แถมฟังเพลงนี้เข้าไปอีก พาลจะฟุ้งซ่านไปใหญ่ โชคดีที่วันนี้งานยุ่งพอสมควร เลยปลีกตัวออกจากอารมณ์เศร้า ๆ นี้ได้

แต่สุดท้ายผมก็ส่งเมล์ไปหาเธออีกจนได้ บอกเธอว่าผมสบายดี กลับมาถึงเมืองไทยแล้ว บ่นถึงโชคร้ายนิดหน่อย แล้วเอาไว้จะโทรหา

บอกไปอย่างนั้น ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้จะกล้าโทรหาเธอหรือเปล่า
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

เย็นนี้เลิกงานแล้วไอ้ก่อชวนไปดูหนังเรื่อง Kingdom of Heaven

ไอ้ก่อกับไอ้มุยพยายามเล่นมุขเป็นเรื่อง Condom is Heaven แต่ก็เรียกเสียงหัวเราะแบบฝืด ๆ จากคนแถว ๆ นั้นได้ ขำ ขำ

ตอนนี้แก๊ง ดีไซน์ได้ไอ้มุยมาเพิ่มอีกคน ก็น่าจะแกร่งพอที่จะเปิดคณะตลกของตัวเองได้แล้ว – จะขาดก็แต่ถาดสังกะสี กับ กระดาษแข็งม้วน เอาไว้ตีหัวกันเองเท่านั้น

ทั้ง ๆ ที่วันนี้ตั้งใจว่าจะไปอ่านหนังสือ ทำการบ้าน MBA (ที่ผมโดดเรียนไปเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา) เพราะต้องส่งวันพรุ่งนี้ตอนเช้าแล้ว แต่ก็เหมือนคนใจง่าย ใครชวนไปไหนก็ไปหมด

สรุปก็ไปกันสามหน่ออีกตามเคย ไอ้ก่อ พี่เอก และผม มีจ๋าติดรถไปสนามบินด้วย

หนังดำเนินเรื่องได้ค่อนข้างอืดทีเดียว ไม่สนุกอย่างที่คาดเอาไว้ หนังพูดถึงเรื่องราวของสงครามครูเสด เป็นการรบระหว่างพวกคริสต์ และ มุสลิม เพื่อเป็นเจ้าของดินแดนเยรูซาเล็ม ที่มีความสำคัญถือเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของทั้งสองศาสนา

ทั้งสองฝ่ายรบกันไปกันมา มีผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ แต่ก็มีการสงบศึกและพยายามที่จะอยู่ร่วมกันเหนือดินแดนนี้อย่างสันติ

แต่เมื่อมีผลประโยชน์มาเกี่ยวข้อง ก็ย่อมมีคนที่อยากจะก่อสงครามละเมิดสัญญานี้

สุดท้ายสงครามก็เกิดขึ้นอีกจนได้ ทั้ง ๆ ที่ทั้งสองฝ่ายพยายามหลีกเลี่ยงแล้ว

หนังพยายามไม่เข้าข้างทั้งฝ่ายคริสต์ และ มุสลิม โดยพยายามชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นของทั้งสองฝ่าย
สาระใหญ่ใจความของหนังคือพยายามจะบอกว่า “จะมาสู้กันทำไมเพื่อดินแดนผืนนี้”

คำตอบมีอยู่ในตอนหนังเกือบจบ เมื่อผู้ชนะสงครามตอบว่า มันเป็นทั้ง nothing และ everything..

- - - - - - - - - - - -

หนังจบตอนสามทุ่ม เรายังไม่ได้กินข้าวเลยออกไปหาอะไรกิน พี่เอกแนะนำร้านบะหมี่เกี๊ยวเจ้าอร่อยของแกแถว ๆ ถนนช้างคลาน ผมนั่งรถมากับพี่เอก ไอ้ก่อขับรถตามออกมาจากโรงหนัง ขับลัดเลาะกันมาตามถนน

พอมาจอดหน้าร้าน ปรากฏว่า ร้านปิดแล้ว

อารมณ์หิว ทุกคนมองหน้ากัน เอาร้านไหนดี

ผมชี้ไปที่ฝั่งตรงข้าม ชื่อร้าน ยอดอร่อย เคยมากินกับที่บ้านครั้งนึง อาหารอร่อยมาก แต่ราคาน้อง ๆ เหลา ไฟยังเปิด หมายความว่าร้านยังไม่ปิด

เราสั่งต้มยำปลากระพง หอยลายผัดน้ำพริกเผา และมะระผัดไข่ มากินกับข้าวสวยคนละจาน ด้วยความอร่อยของกับข้าว และด้วยความหิวของท้อง อาหารหมดไปอย่างรวดเร็ว

เราคุยกันแต่เรื่องเก่า ๆ อีกแล้ว คราวนี้คุยถึงสมัยเรียน ป ตรี เรื่องการเรียน การสอบ และการโกงข้อสอบ (รวมไปถึงการมาขอสอบแก้ตัว และการมาลงเรียนใหม่อีกรอบ)

คิดถึงสมัยเป็นนักศึกษา – อันที่จริงตอนนี้ผมก็เป็นนักศึกษาแล้ว (ป โท) แต่มันก็ให้ความรู้สึกไม่เหมือนตอนนั้น

อาหารหมด ท้องอิ่มตื้อ จ่ายเงิน แล้วเราก็แยกย้ายกันกลับ พี่เอกไปส่งผมที่บ้าน

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

ถึงบ้านแล้ว อดใจไม่ไหว โทรหาเธอที่เบอร์ใหม่จนได้

ที่ปลายสายไม่มีคนรับ…ไม่เป็นไร

อิ่มขนาดนี้ อย่างน้อยคืนนี้ ผมคงหลับยาวไม่ฝัน

Thursday, May 12, 2005

กรุ่นกลิ่นกาแฟ

กำลังมีความคิดเกี่ยวกับรูปแบบของร้านกาแฟอยู่ในหัว

จริงๆ ผมเชื่อว่าหลายคน(รวมทั้งผมเอง) ก็คงมีความคิดที่จะเปิดร้านกาแฟเป็นของตัวเอง ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงอยากเปิดจังร้านกาแฟ

คงเป็นเพราะว่ามันดูเก๋ ดูมีสไตล์ ดูมีระดับ ดูไม่หนักเกินไปเหมือนร้านอาหาร และคงดูมีสไตล์กว่าร้านขายของชำ

(อันที่จริงมารู้ทีหลังว่าการขายกาแฟ นี่กำไรต่อแก้ว มันมหาศาลจริง ๆ ) – กรณีที่คุณขายได้หลาย ๆ แก้วนะ

ตอนผมไปแวะกรุงเทพเรื่องงาน เคยนัดไอ้เบนซ์ออกมาเจอกันข้างนอก นั่งกินข้าว คุยสารทุกช์สุขดิบไปเรื่อย จนกินข้าวเสร็จ ไม่รู้จะไปไหน แต่มีเรื่องอยากคุยต่อ

ตกลงผมกับมัน ก็ไปนั่งจมอยู่สตาร์บั๊ค แถว ๆ สยาม
นั่งกันอยู่สองคน กาแฟแก้วละเกือบร้อย นั่งในห้องแอร์ มีกระจกบานใหญ่เป็นผนังกั้นระหว่างตัวร้านกับทางเดินริมถนน เราดื่มกาแฟ ดูคนเดินไปเดินมา ดูรถรา คุยกันเรื่อยเปื่อย กาแฟแพง บรรยากาศดี มีเรื่องราวอยากจะคุย ก็นั่งคุยต่อได้เป็นชั่วโมง

คราวก่อนไอ้เบนซ์มาที่เชียงใหม่ ผมขับรถแวะไปรับที่ท่ารถอาเขตตั้งแต่หกโมงเช้า ด้วยความที่ไม่รู้จะพาไปไหนก็เลยพามันไปหน้ามอ หากาแฟดื่ม แต่มันเช้านัก ยังไม่มีร้านไหนเปิด

สุดท้ายก็มาหยุดที่ รถเข็นขายกาแฟ ข้างถนนห้วยแก้ว แถว ๆ คิวรถสี่ล้อที่ขึ้นดอยสุเทพ
กาแฟแก้วละสิบบาทคนละแก้ว (แถมน้ำชาให้อีกป้านหนึ่ง – เติมน้ำร้อนได้) มีปาท่องโก๋เป็นออพชั่น เรานั่งดื่มกาแฟบนเก้าอี้สังกะสี ใต้ร่มต้นหางนกยูงที่ปลูกไว้ข้างทาง อากาศตอนเช้ายังไม่ร้อนเกินไป รถราผ่านวิ่งผ่านไปมา เราก็นั่งคุยต่อเรื่องนั้นเรื่องนี้ได้อีกเป็นชั่วโมงเช่นกัน

รสชาติของกาแฟ ราคา และทำเล แน่นอนย่อมแตกต่าง

แต่บางที ถ้ามีเพื่อนดื่ม(กาแฟ)ที่ดี มีเรื่องราวที่อยากคุย

มันก็ทำให้เราลืมข้อแตกต่างของสิ่งเหล่านี้ไปได้เลย

Wednesday, May 11, 2005

เมื่อความคิดตกตะกอน

เดินทางกลับเมืองไทยวันนี้

ออกจากโรงแรมตอนเก้าโมงแล้วก็นังรถยนต์จากเสิ่นเจิ้น มาที่ฮ่องกง ระหว่างทางนั่งฟังเพลง(ผ่านทางปาล์ม) คิดอะไรไปเรื่อย จนรู้สึกว่าความคิดที่ฟุ้งซ่านอยู่ตอนนี้กำลังจะตกตะกอน ผมคงต้องยอมรับความจริง

จากเมื่อวานตื่นมาฟุ้งซ่านแต่เช้า วันนี้ได้มีเวลาอยู่กับตัวเองสักพัก แน่นอนว่ามันคงต้องคิดถึงเธอ แต่ก็นั่นแหละ ความจริงคือเธอไม่ได้เป็นของผม ส่วนหนึ่งของชีวิตผมที่เคยเป็นเธอมันหายไป แต่ส่วนของชีวิตที่เหลือของผมก็ยังต้องดำเนินต่อไป

เมื่อวานที่โรงแรมตอนก่อนออกไปกินข้าว ขณะที่กำลังออนไลน์เช็คเมล์ก็พอดีเจอพี่อัจเข้ามาทัก

ไม่ได้เจอพี่อัจตั้งนานทั้ง ๆ ที่ต่างคนต่างก็อยู่เชียงใหม่เหมือนกัน เจอกันคราวก่อนผมยังกระดี๊กระด๊าร่าเริง แต่คราวนี้เงียบ ๆ ไปพี่อัจคงสงสัย

พอพี่อัจรู้เรื่อง คำแรกที่พี่แกบอกคือ คิดไว้ คนที่สวยไม่ใช่ของเรา

ผมบอกว่าตอนนี้มันไม่ได้อยู่ที่สวยหรือไม่สวยหรอกครับ มันอยู่ที่เค้าเป็นเค้า และตอนนี้เค้าไม่ได้รักผม

คำถามของพี่อัจคือ ถ้าตอนนี้เธอเปลี่ยนใจกลับมาบอกผมว่า เธอรักผมแล้ว ผมยังจะคบกับเธออยู่หรือเปล่า แน่นอนคำตอบของผมคือใช่

แต่พี่อัจกลับบอกว่า ฮัท ถึงเค้ากลับมาจริง แล้วฮัทยังคบกับเค้าต่อ มันจะเป็นเหมือนกับคบกันด้วยความระแวง ว่าสักวันเค้าจะไปอีกรึเปล่า

สำหรับคำถามนี้ผมตอบไม่ได้ – แต่นาทีนี้ผมก็ยังมั่นใจว่าผมรักเธอพอ

จากนั้นก็คุยกับพี่อัจตั้งนาน ด้วยเรื่องมีสาระบ้าง ไร้สาระบ้าง แต่สรุปรวบยอดโดยรวมแล้ว แกบอกผมว่า นางเอกของผมจะเข้ามาแก้สถานการณ์ทุกอย่างให้เอง

นางเอกของผมชื่อ “เวลา”

คุยกับพี่อัจเมื่อวานแล้วรู้สึกสบายใจขึ้นมาอีกระดับ

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

สองสามวันนี้อยู่กับซีซี และ อัลฟ่า นอกเหนือจากเรื่องงาน ส่วนมากเราจะคุยกันเรื่องเรื่อยเปื่อย ซีซีบอกผมว่าถ้าตอนนี้มีเงินพอจะลงทุน (หมายถึงในเรื่องหุ้น) ที่ที่น่าลงทุนที่สุดคือประเทศไทย และ ประเทศจีน

ยังบอกอีกว่าตอนนี้เขาพยายามทำให้ตัวเองออกจากวงจร (circle) เข้าใจว่าเขาคงหมายถึง วงจรของมนุษย์เงินเดือน (อย่างผมและใครอีกหลายคน) เป็นวงจรที่ ทำงาน รับเงินเดือน เอาเงินเดือนมาผ่อนบ้าน ผ่อนรถ เลี้ยงลูก จ่ายค่าประกันชีวิต ประกันสังคม โอเค คุณอาจจะมีเหลือเก็บ แต่คุณจะไม่มีวันรวยจากวงจรนี้ – ถึงแม้คุณจะได้เงินเดือนเยอะแค่ไหนก็ตาม –

เหมือนจะเล็คเช่อร์ เศรษฐศาสตร์ กับ บริหารธุรกิจ ให้ผมกลาย ๆ แต่ซีซีบอกว่าถ้าผมมีเงินเก็บ ควรจะเอาไปลงทุนมากกว่าแช่ไว้ในธนาคาร

ผมบอกซีซี ไปว่าการลงทุนระหว่าง คนทุนน้อย(อย่างผม) และคนทุนมาก ยังไง คนทุนมากก็ชนะวันยังค่ำ (โดยเฉพาะตลาดหุ้นในเมืองไทยในขณะนี้) การทำเงินหนึ่งล้านให้เป็นห้าล้าน ยังไงก็ง่ายกว่า การทำเงินหนึ่งร้อยให้เป็นห้าร้อย (ถึงแม้สัดส่วนมันจะเท่ากันก็ตาม)

นั่นก็ถูก เพราะฉะนั้น สิ่งที่ยากที่สุดคือการหาหนึ่งล้านแรกนั่นแหละ ซีซีบอกผม คนเราทุก ๆ ต่างรอคอยแค่โอกาสเดียวในชีวิต ที่จะผันชีวิตตัวเองให้มีโอกาสได้มาซึ่งหนึ่งล้านแรก อยู่ที่ว่าใครจะมองเห็นและไขว่คว้ามันมาได้ก่อน

และทุกวันนี้เขาก็ยังจับตามองหาโอกาสนี้อยู่

(เพียงแต่หน่วยของหนึ่งล้านของแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน ผมอาจจะคิดในสเกลบาท แต่ซีซีอาจจะคิดในสเกล ดอลล่าร์)

เราออกจากเสิ่นเจิ้น (อัลฟ่าอยู่ทำธุระต่อที่เสิ่นเจิ้น และจะไปฉางอานต่อ) ผมกับซีซี ข้ามมาฮ่องกง แล้วก็นั่งรถต่อมาที่สนามบินฮ่องกง เครื่องผมออกเวลาเที่ยงสี่สิบห้า ของซีซีออกเวลาบ่ายสี่สิบห้า ตอนนี้เพิ่งสิบโมงครึ่ง ยังพอมีเวลา เราก็นั่งจิบกาแฟที่สนามบิน คุยกันต่อ

ม็อคค่าอุ่น ๆ แก้วโต กับ ครัวซองอุ่นเสร็จใหม่ ๆ ทำให้การรอเครื่องออกไม่น่าเบื่อ

ที่ร้านกาแฟเก๋มาก มีกระดานสีเขียวแขวนไว้ด้านบนของหน้าร้าน บนกระดานมีชอล์กเขียนไว้เป็นประมาณ “ประโยคเด็ดของวันนี้” วันนี้เขียนว่า ‘The Leader is the person who do the right thing without anyone looking at” ผมกะว่าเขียนประมาณนี้นะ คงแปลได้คร่าว ๆ ว่า “ผู้นำ คือบุคคลที่ทำสิ่งที่ถูกต้องโดยไม่ต้องให้ใครจับตามอง” นับเป็นประโยคที่น่าสนใจทีเดียว

นั่งคุยกันด้วยเรื่องเรื่อยเปื่อยสักพัก ผมกับซีซีก็แยกกันไปขึ้นเครื่อง ก่อนขึ้นเครื่องผมเดินไปแวะหาซื้อของฝาก ก่อน

แล้วก็ไปหยุดที่ร้านขายของที่ระลึก

ร้านเดิมที่เมื่อสองเดือนก่อนหน้านี้ผมเข้ามาซื้อตุ๊กตาเซรามิกสองตัว เป็นตุ๊กตาเซรามิกประจำปีเกิด ปีม้าสำหรับผม และปีงูสำหรับเธอ ทุกอย่างในร้านยังวางอยู่ที่เดิม ตุ๊กตายังมีแบบเดิม ๆ แต่ใครจะรู้ว่าตุ๊กตาสองตัวที่ผมซื้อไปนั้นมันคงไม่ได้กลับมาวางอยู่คู่กันอีก

ทำใจยืนอยู่ที่ร้านนานไม่ได้

นั่งเครื่องจากฮ่องกง ตลอดเวลานั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยมาตลอดทาง คิดถึงเรื่องเธอบ้าง คิดถึงเรื่องงานบ้าง อยากจะนอนระหว่างทางแต่ก็นอนไม่หลับ ม็อคค่าแก้วอร่อยเมื่อตอนสาย ๆ คงมาออกฤทธิ์ตอนนี้

อาหารบนเครื่องไม่อร่อยเลย จำได้ว่าการบินไทยเคยแจกอาหารที่อร่อยกว่านี้ แต่เดี๋ยวนี้รู้สึกว่าไม่อร่อย จะว่าเป็นเพราะเดินทางบ่อยหรือเปล่าก็ไม่ใช่ อาหารค่อนข้างชืด และดูแหยะ ๆ เลยกินไปได้นิดเดียวเท่านั้นเอง อีกอย่างไม่รู้สึกหิวด้วย

เครื่องมาลงที่ดอนเมืองตรงเวลา ผมไปแวะซื้อเหล้าให้พี่เอก ตรง duty free พี่เอกฝากซื้อเหล้าชีวาสบ่มสิบห้าปี แล้วให้ผมออกเงินไปก่อน

เดินไปเดินมาเจอแต่แบบสิบสองปี ( 1,040บาท) กับแบบสิบแปดปี (2,610) บาท ตัดสินใจซื้อแบบสิบสองปี เพราะเกิดพี่แกไม่เอา จะได้ไม่เข้าเนื้อตัวเองมาก

เดินกระเตงถุงขวดเหล้า และ ถุงของฝาก ไปนั่งรอเครื่องออกที่หน้าประตูทางออก เมื่อไม่มีอะไรทำก็เหงาอีกแล้ว หยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน เป็นหนังสือที่อ่านค้างไว้นานระดับโอลิมปิคมาก อ่านมาเกือบสองเดือนแล้วยังไม่จบ

เหตุผลข้อแรกคือหนังสือเรื่องนี้เป็นภาษาอังกฤษล้วน ซื้อมาสามเล่มตอนลดราคาสัปดาห์หนังสือ ตกเล่มละ 99 บาท อ่านจบไปเล่มนึงแล้วเมื่อต้นปี อันนี้เล่มที่สอง
เหตุผลข้อสองคือ เนื้อเรื่องไม่ค่อยสนุกมากเท่าไหร่ (มิน่าเอามาขายได้ถูก) เป็นเรื่องเกี่ยวกับแฮกเกอร์ แต่เป็นแฮกเกอร์รุ่นโบราณหน่อย (แฮกเครื่อง IBM XT)

ก็เลยยังอ่านไม่จบสักที

เครื่องออกจากดอนเมืองตรงเวลาแล้วก็มาถึงเชียงใหม่ตรงเวลาตอนสี่โมงครึ่ง ท้องฟ้าใส ไร้ฝนตก

ถึงบ้านซะที

Tuesday, May 10, 2005

หนักใจ

ตื่นสาย แต่ก็ไม่อยากลุกจากเตียง

เมื่อคืนผมฝันถึงเธอ เราเดินไปถามถนนด้วยกัน คุยกันด้วยเรื่องเรื่อยเปื่อย เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในฝันผมถามเธอไปว่า เป็นไปได้หรือเปล่าที่เราจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม

เธอพูดอะไรออกมาคำนึง แล้วเธอก็เดินหายไป

ในฝัน ผมโทรหาเธอ แต่พยายามโทรเท่าไหร่ก็ไม่ติด

แล้วผมก็ลืมตาตื่น

นอนอยู่บนเตียง ในห้องพักที่โรงแรม ในประเทศที่แทบไม่รู้จักใคร

อยู่ไกลจากเธอทั้งร่างกาย และจิตใจ

นอนน้ำตาซึมอยู่บนเตียง ไม่อยากลุกไปไหน ไม่อยากเชื่อว่าเมื่อกี๊เธอยังอยู่ข้าง ๆ ผม อยู่ในฝัน ไม่อยากตื่นมาเจอความจริงแบบนี้ มันแย่ที่คนเราเลือกความฝันไม่ได้

ลุกมาเปิดคอม อ่านเมล์ แล้วก็ห้ามตัวเองไม่อยู่ เมล์ไปหาเธอ บอกเธอไปว่าเมื่อคืนนี้ผมฝันถึงเธอ

รู้ว่าทำแบบนี้มันไร้สาระ และมันคงไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น แต่อารมณ์เมื่อเช้ามันเหงาสุด ๆ บางทีในโอกาสแบบนี้มันก็ยากที่จะควบคุมการกระทำตัวเองได้ – ได้แต่สัญญากับตัวเองว่าคงไม่ทำอะไรอย่างนี้อีก

อาบน้ำ แปรงฟัน แต่งตัว (ด้วยเสื้อผ้าที่ได้มาเมื่อคืน) เก็บกระเป๋า แล้วก็ลงไปเช็คเอาท์ กินข้าว

นั่งรถออกจากตงกวนมาที่เสิ่นเจิ้น เพื่อไปพบกับลูกค้าอีกเจ้าในตอนบ่าย ฝนตกอีกแล้ว ตกหนักมาตลอดทาง วันนี้การประชุมค่อนข้างดี ดูเหมือนไม่มีปัญหาอะไร

ประชุมเสร็จตอนห้าโมงกว่าก็กลับมาที่โรงแรม นั่งเช็คเมล์ อีกที คุย MSN กับหัวหน้า update ที่มีตติ้งกับลูกค้าเล็กน้อย มี follow up action อีกบาน

หกโมงตรงนัดกับซีซี และอัลฟ่าออกไปกินข้าวเย็น เป็นอาหารจีนอีกแล้ว อุดมไปด้วยน้ำมัน แต่ก็อร่อย ทำไงดี กลับไปเมืองไทยอาจแซงหน้าไอ้ก่อ(เรื่องน้ำหนัก)แล้วก็เป็นได้

ช่วงนี้รู้สึกต้องฝืนตัวเองแปลงร่างสลับไปสลับมาบ่อย ๆ อยู่ต่อหน้าซีซี กับ อัลฟ่าก็ต้องทำตัวร่าเริง โฟกัสไปที่งาน แต่พออยู่คนเดียวเมื่อไหร่…ก็เฉาอีกตามเคย

หลังอาหารเย็น อัลฟ่า กับ ซีซี ก็ลากผมไปคาราโอเกะ (จากที่หมายมั่นปั้นมือมาตั้งแต่เมื่อวานแต่ก็ชวด)จนได้ เป็นคาราโอเกะแบบที่มีน้อง ๆ มานั่งด้วยนั่นแหละ อัลฟ่ากับซีซีก็เล่นเกมกับน้อง ๆ ไป (เป็นเกมที่น่าจะเคยเห็นในหนังจีนฮ่องกง แบบที่ทอยลูกเต๋าแล้วทายแต้ม ใครแพ้ก็ดื่มเหล้า) ผมก็ร้องเพลงไปแบบแกน ๆ ส่วนมากเป็นเพลงฝรั่งเก่า ๆ (แน่นอนว่าไม่มีเพลงไทย)

จริง ๆ แล้วอารมณ์นี้ เพลงนี้อาจเหมาะกว่า

ฉันรู้ว่ารักของเราจบลง และคงไม่มีหนทาง
ที่จะคว้าเธอกลับมา ฉันรู้ว่าฉันต้องทนอ่อนล้า
เหนื่อยต่อการห้ามใจ ไม่ให้รักเธออีกเลย

ความจริงไม่คิดว่า......มันยากเย็นเท่าไหร่
จะทำใจให้เหมือนว่าไม่มีเธอเช่นเดิม แต่กลับต้องหนักใจ

เมื่อใจหนึ่งฉันพร้อมจะลืมทุกอย่าง...
และพร้อมจะไปให้ห่าง ให้ภาพความหลังลบเลือนออกไป
แต่ใจหนึ่งก็รู้ว่าทำไม่ได้ ไม่พร้อมให้ใจทรมาน
เมื่อยามที่คิดถึงเรื่องที่แล้วมา

ฉันรู้ว่าฉันต้องทำอย่างไร แต่ทำไมถึงจำและยังรักเธอเรื่อยไป
ทั้งๆ ที่รู้ว่าผลสุดท้าย เธอก็คงไม่มา ไม่อยากคิดมากอีกเลย

ความจริงไม่คิดว่า......มันยากเย็นเท่าไหร่
จะทำใจให้เหมือนว่าไม่มีเธอเช่นเดิม แต่กลับต้องหนักใจ

เมื่อใจหนึ่งฉันพร้อมจะลืมทุกอย่าง...
และพร้อมจะไปให้ห่าง ให้ภาพความหลังลบเลือนออกไป
แต่ใจหนึ่งก็รู้ว่าทำไม่ได้(ทำไม่ได้) ไม่พร้อมให้ใจทรมาน
เมื่อยามที่คิดถึงเรื่องที่แล้วมา

Monday, May 09, 2005

Meet the Customers

เนื่องจากเมื่อคืนนอนดึก เพราะมัวแต่ทำอะไร ๆ ไร้สาระอยู่ (อ่านเมล์ ดูเว็บอะไรเรื่อยเปื่อย) กว่าจะนอนก็ปาเข้าไปตีสอง(ของที่นี่ – ตีหนี่งของเมืองไทย)

เช้านี้ก็เลยตื่นสาย ตื่นมาแปดโมง(ของที่นี่ – เจ็ดโมงของเมืองไทย)

ขี้เกียจเขียนวงเล็บ () บ่อย ๆ เอาเป็นว่า เวลาที่นี่เร็วกว่าเมืองไทยหนึ่งชั่วโมง

โชคดีที่วันนี้นัดลูกค้าเอาไว้ตอนบ่าย – เพิ่งมารู้จากอัลฟ่าอีกทีว่าเป็นบ่ายสาม ก็เลยค่อย ๆ อาบน้ำ แปรงฟัน แต่งตัว(ด้วยเสื้อผ้าที่ซื้อมาตั้งแต่เมื่อวานยังไม่ได้ซัก ไม่ได้รีด) เพิ่งรู้ตัวว่าเมื่อคืนไม่ได้ซื้อถุงเท้ามาด้วย วันนี้ก็เลยต้องยอมเท้าเน่าหนึ่งวัน ไปหาลูกค้าเขาคงไม่ต้องให้ถอดรองเท้าหรอกน่า

ซีซี โทรมาที่ห้อง บอกว่าไม่ต้องรอกินข้าวเช้า ให้ผมไปกินก่อน เสร็จแล้วค่อยมารีวิวแพ็คเกจที่จะไปพรีเซนต์ให้ลูกค้ากันต่อ

ลงลิฟท์ไปที่ล๊อบบี้ ด้วยความที่ไม่เคยพักที่โรงแรมนี้ ( Dongguan Exhibition International Hotel) ก็เลยเดินไปผิด ไปร้านอาหารญี่ปุ่นเฉยเลย พนักงานต้อนรับ ก็หนีห่าว หนีเจ่า กันใหญ่

พอยื่นคูปองอาหารเช้าให้ดูก็หน้าแตกกันทั้งแขก ทั้งพนักงานต้อนรับ

กินข้าวเช้าเสร็จก็กลับมาที่ห้อง เปิดคอม อ่านเมล์ เตรียมแพคเกจต่อ

โรงแรมที่เมืองจีนสะดวกมาก มีบอร์ดแบนด์อินเตอร์เน็ตให้ทุกห้อง แค่เสียบสายแลนต่อกับโน้ตบุ๊ค ก็ใช้ได้แล้ว รู้สึกว่าเดี๋ยวนี้เมืองจีนพัฒนาไปมาก พัฒนาอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ ทุกครั้งที่ผมมาเมืองจีนจะต้องมีสิ่งก่อสร้าง(ขนาดใหญ่) ใหม่ ๆ กำลังสร้างอยู่เสมอ

ยังไม่มีข่าวคราวคืบหน้าจากสนามบินเรื่องกระเป๋าที่หายไปของผม ตอนเช้าอัลฟ่าลองโทรถามอีกทีก็ยังไม่ได้เรื่อง

ออนไลน์ MSN เจอพรรคพวกที่โรงงาน เลยฝากเจี๊ยบช่วงโทรเช็คกับทางการบินไทยให้หน่อย สรุปว่าเป็นไปตามที่คาด(กรณีเลวร้ายสุด ๆ) กระเป๋าผมติดไปที่เกาหลีจริง ๆ ด้วย

เจี๊ยบบอกว่าเค้าจะส่งกระเป๋ากลับมาให้ที่ฮ่องกงกับเครื่องที่บินกลับมาจากเกาหลี จะมาถึงฮ่องกงตอนประมาณหกโมงเย็น แต่ก็นั่นแหละ ตอนนี้ผมอยู่เมืองตงกวน (สามชั่วโมงจากฮ่องกงโดยทางรถยนต์) คงค่ำ ๆ กว่าจะได้

ผู้โดยสายหลายร้อยคนที่นั่งมาด้วยกัน ทำไมเป็นผมที่กระเป๋าหาย

คู่รักหลายร้อยคู่ที่รักกันนานเป็นปี ๆ จนแต่งงานกัน ทำไมเป็นผมที่ผิดหวัง

คุยกะพี่โชค พี่โชคบอกเมื่อวาน (ที่ผมโดดเรียนเพื่อเดินทางมาที่นี่) อาจารย์มีเก็บคะแนนในห้องอีกแล้ว 10% ใครขาดก็หักไป ให้มันได้อย่างนี้สิ

รีวิวแพคเกจกับซีซี และ อัลฟ่า อีกที แล้วก็ไปกินข้าวกลางวัน

จากนั้นตอนบ่ายก็ไปหาลูกค้า

ผมเดินทางจากเชียงใหม่มาดอนเมือง ดอนเมืองมาฮ่องกง ฮ่องกงข้ามมาจีน (มีผลข้างเคียงคือกระเป๋าหาย) เพื่อมาประชุมที่กินเวลาสองชั่วโมง

แต่ก็เป็นสองชั่วโมงที่น่าอึดอัด ตอบคำถามลูกค้า เรื่องคุณภาพสินค้า ความล่าช้า….. รับฟังคำบ่น แพคเกจที่เตรียมไปก็มีคำถามกลับมาแทบจะทุกสไลด์ ส่วนใหญ่จะตอบได้ แต่ก็มีบางอันที่ไม่ได้จริง ๆ ต้องจดเป็น action ไปตาม follow up อีกที รู้สึกผิดเหมือนกันที่ไม่เตรียมตัวให้ดีกว่านี้

เคยเครียดมาก ๆ ตอนพรีเซนท์โปรเจคตอนจบปริญญาตรี เทียบกับตอนนี้นี่คนละเรื่องเลย โลกแห่งความจริงมันไม่ง่ายเลย

กลับมาโรงแรมตอนห้าโมงกว่า ๆ ขึ้นมาบนห้อง เช็คเมล์อีกที

หกโมงกว่า อัลฟ่าโทรมาเรียกไปกินข้าวกับลูกค้า ก็ลูกค้าพวกเดิมที่อัดเราในห้องประชุมวันนี้แหละ

ไปกินข้าวด้วยกัน บรรยากาศตอนกินข้าวเฮฮามาก ความเครียด ความกดดันที่มีในห้องประชุมเมื่อตอนเย็นละลายหายไปหมด แต่ก็ยังไม่วายโดนลูกค้าแอบบ่นอยู่ดี ครับผมผิดไปแล้วครับ

ทุกคนเป็นคนจีนหมด(มีซีซี ที่เป็นคนสิงคโปร์แต่ก็เชื้อจีน) มีผมเป็นคนไทยคนเดียว(เป็นลูกครึ่งจีน แต่พูดจีนไม่ได้เลย) ตอนกินข้าวก็เลยคุยกันแต่ภาษาจีน ผมเลยรู้สึกเหงาแปลก ๆ เหมือนนั่งกินข้าวอยู่คนเดียว

เคยดูเรื่อง Lost in translation ก็เพิ่งเข้าใจความรู้สึกของพระเอก นางเอกตอนนี้แหละ ผู้คนมากมาย แต่เหมือนเราอยู่ตัวคนเดียว

โดยเฉพาะเมื่อผมกำลังคิดถึงใครอยู่…..

อาหารที่มาเสิร์ฟก็เป็นจำพวกอาหารทะเล พาลคิดไปถึงเธอ อีก เธอชอบอาหารทะเล กินไปก็คิดไปว่าถ้าเธอมากินด้วยคงชอบไอ้นู่น ไอ้นี่มาก แล้วก็พาลคิดไปว่าเรื่องของผมกับเธอทำไมมันจบลงง่ายดายอย่างนี้

นั่งทำตาแดง ๆ กลางวงข้าว

กินข้าวเสร็จ ร่ำลาลูกค้าเรียบร้อย กลับมาที่ห้องอีกที อ่านเมล์ มีเมล์ forward มา

มีพระรูปหนึ่งออกบิณฑบาตรผ่านบนสะพานข้ามแม่น้ำใหญ่พระรูปนั้นเห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังนั่งร้องไห้บนราวสะพานและกำลังจะกระโดดลงไปในน้ำที่เชี่ยวกราก
พระสงฆ์รูปนั้นเดินไปแล้วถามหญิงสาวด้วยน้ำเสียงแห่งความเมตตาว่า ..."สีกา....ทำไมสีกาจึงคิดสั้นเล่า"ผู้หญิงคนนั้นกลั้นสะอื้นแล้วจึงตอบว่า..."เพราะดิฉันโดนผู้ชายคนหนึ่งที่ดิฉันรักมากที่สุดบอกเลิกเจ้าค่ะพระคุณเจ้า"พระสงฆ์รูปนั้นยืนสงบนิ่งเพียงครู่แล้วกล่าวอย่างช้า ๆ ว่า ..."สีกา....จงดีใจที่สีกาสูญเสียคนที่ไม่ได้รักสีกา แต่โยมคนนั้นควรจะเสียใจ ที่เค้าสูญเสียคนที่รักเขาไป"


…..โดน…..

ผมก็ไม่รู้ว่าเมื่อคนสองคนเลิกกัน คนที่เป็นฝ่ายบอกเลิกจะรู้สึกเสียใจบ้างหรือเปล่า (เพราะผมเองก็ไม่เคยบอกเลิกใคร)

และบางที ผมก็ยังสงสัยว่า เมื่อคนที่เคยเป็นคนรักกันมาบอกกับเราว่า “….เราเป็นเพื่อนกันเถอะนะ….” เขาหมายความตามนั้นจริง ๆ หรือเปล่า

อาจจะเป็นคำพูดที่ทำให้ดูดี ซึ่งความหมายที่แท้จริงของมันอาจจะเป็น “…ออกไปจากชีวิตชั้นซะ…”

สิ่งที่ยากคือ ผมยังไม่พร้อมที่จะออกไปจากชีวิตเธอ ขอยืนตรงขอบ ๆ ริม ๆ อย่างนี้ไปก่อน

ไม่ต้องรักผม แต่อย่าเพิ่งเกลียดผม

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
มี update มาจากอัลฟ่าสักครู่ กระเป๋าของผมมาถึงฮ่องกงแล้ว และกำลังถูกขนมาที่โรงแรมที่ผมอยู่ กระเป๋าจะมาถึงโรงแรมภายใน…..เที่ยงคืน

จะพยายามไม่หลับก่อนเที่ยงคืนครับ…

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -- -

มา update อีกทีตอนเที่ยงคืน
กระเป๋ามาถึงห้องแล้วครับ มาถึงตอนห้าทุ่มห้าสิบเอ็ดนาที นับว่ารักษาเวลาได้ค่อนข้างดี

แต่กระเป๋ามาในสภาพค่อนข้างเปียก คงเพราะข้างนอกฝนตกหนัก ก็ไม่รู้ว่าเขาขนมายังไงนะ

ตอนนี้ผมเลยต้องเอาไดร์เป่าผมเป่ากระเป๋าไปพลาง ๆ ก่อน

Sunday, May 08, 2005

ทุกอย่างย่อมมีครั้งแรกเสมอ

อย่างที่ใครเคยบอกเอาไว้ ว่า “ทุกอย่างย่อมมีครั้งแรกเสมอ”

เรื่องของเรื่องคือ กระเป๋าเดินทางผมหาย

บินไปต่างประเทศมาสองสามปี ปีละหลาย ๆ เที่ยว ในที่สุดก็ถึงคราวผมจนได้ กระเป๋าเดินทางหาย

ผมเช็คอินกระเป๋ารวดเดียวตั้งแต่สนามบินเชียงใหม่ เพราะต้องบินจากเชียงใหม่มาลงดอนเมืองแล้วต่อเครื่องมาฮ่องกงอีกที แล้วมารับเอากระเป๋ารวดเดียวไปเลย บินแบบนี้มาหลายเที่ยวแล้วก็ไม่เคยจะเกิดปัญหา

ก็ต้องกลับไปอ้างอิงประโยคข้างบนอีกครั้ง “ทุกอย่างย่อมมีครั้งแรกเสมอ”

ไปทำเรื่องแจ้งกระเป๋าหายที่สนามบินฮ่องกงเอาไว้ เขามีเคาน์เตอร์เอาไว้รับแจ้งเรื่องนี้โดยเฉพาะ คาดว่าคงเจอเหตุการณ์แบบนี้เป็นประจำ

หลังจากออกเอกสาร และขอพาสปอร์ต ผมไปกรอกอะไรสักครู่ เจ้าหน้าที่ก็ยื่นสลิปมาให้ผม มีเบอร์โทรกลับ และหมายเลขอ้างอิงเอาไว้ให้ บอกว่าถ้าเจอจะโทรไปบอกและจะจัดส่งกระเป๋าให้ตามที่อยู่

ผมให้เบอร์โทรของอัลฟ่า ( staff ของเราที่ฮ่องกง)กับเจ้าหน้าที่ไป กะว่าจะให้อัลฟ่าช่วยโทรตามหน่อย

เคยมีเหตุการณ์แบบเดียวกันนี้เกิดขึ้นเมื่อเกือบสองปีที่แล้ว ที่ฮ่องกงนี่แหละ (ตอนนั้นผมก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย)

ตอนนั้น มาร์ค แบรด แล้วก็ผม เดินทาทงจากเชียงใหม่มาฮ่องกงด้วยกัน (รู้สึกจะเป็นการมาเยี่ยมลูกค้าโปรเจคนึง) ตอนเช็คอินที่เชียงใหม่ มาร์คบอกว่าให้เช็คอินกระเป๋า พร้อมเขาไปได้เลย เพราะมาร์คมีบัตรทองรอยัล ออร์คิดพลัส สัมภาระจะถูกทรีตเป็น first priority ผมกับแบรดก็เอาด้วย ฝากกระเป๋าเช็คอินไปกับมาร์ค

พอมาถึงฮ่องกง ปรากฏว่ามีกระเป๋าของมาร์คคนเดียวที่หายไป

ตอนนั้นขำมาก หัวเราะกันท้องคัดท้องแข็งกับแบรด

พอมาเจอกับตัวเองแล้วมันไม่ขำเลย

คราวก่อน กว่ามาร์คจะได้กระเป๋าคืนก็สองสามทุ่มของวันนั้น แต่คราวนี้ผมไม่โชคดีอย่างนั้น

เพราะ flight ที่ผมนั่งมาจากดอนเมืองมันมาแวะที่ฮ่องกงเฉย ๆ จุดหมายจริง ๆ มันอยู่เกาหลี (กรุงโซล) ถ้าโชคดี กระเป๋าค้างอยู่ที่ดอนเมือง หรือ ฮ่องกง ก็ยังมีหวังได้คืนภายในวันนี้ ถ้าโชคร้าย กระเป๋าติดไปที่โซลด้วย ผมก็คงได้เน่าไปอีกหลายวัน

เราออกจากฮ่องกง แล้วข้ามมาจีน โดยหวังว่าจะได้กระเป๋าคืนมา

อัลฟ่าเพิ่งโทรไปถามที่สนามบินให้เมื่อสองทุ่ม ได้ความว่า ยังหากระเป๋าผมไม่เจอ

สรุปก็เลยต้องออกไปเดินหาซื้อเสื้อผ้าไว้ก่อน ใครว่าเสื้อผ้าที่จีนถูก แค่เสื้อเชี๊ต กางเกงแสล็ค (แล้วก็อันเดอร์แวร์ ) นี่ก็กว่าสองร้อยหยวนแล้ว (ประมาณพันบาทหน่อย ๆ) ดีที่เฉลียวใจแลกเงินมาก่อน

ทำไงได้ ไม่มีทางเลือก ซีซี บอกว่าคราวก่อนสายการบิ นเคยทำกระเป๋าเดินทางเขาหาย แล้วเขาต้องไปซื้อเสื้อผ้าใหม่ สามารถเอาใบเสร็จมาเรียกเงินคืนจากสายการบินได้ โทษฐานทำให้เขาเสียเงินโดยไม่จำเป็น ผมน่าจะทำอย่างนี้ได้บ้าง

เพียงแต่ตอนนั้นไม่ใช่สายการบินไทย และไม่ใช่สนามบินอ่องกง

แต่กระเป๋าหายครั้งนี้รู้สึกเฉย ๆ มาก ไม่ค่อยตื่นตกใจเท่าไหร่ อาจจะเพราะเคยเห็นกรณีของมาร์คมาก่อน หรือ จริง ๆ แล้วอาจจะเป็นเพราะว่าผมเพิ่งมีเรื่องใหญ่กว่านั้นที่เพิ่งเสียใจไป

เรื่องนี้มันเลยเล็กน้อย

Saturday, May 07, 2005

เดอะ แดนเซอร์ คอมพานี

เพิ่งกลับบ้าน หลังจากไปแวะดูการเแสดงของ เดอะแดนเซอร์คอมพานี ที่กาดเธียร์เตอร์ กาดสวนแก้วมา

เรื่องมันเริ่มจากหลายวันก่อน เดฟ ริง เอาโปสเตอร์ เดอะแดนเซอร์คอมพานี ( The Dancers’s Company) มาแปะไว้ที่หน้าห้องของแก ซึ่งก็อยู่หลังที่นั่งผมนี่เอง ดูจากโปสเตอร์แล้ว คิดว่าเป็นบัลเล่ต์ ผมไม่ได้สนใจอะไรมาก แต่ก็ไม่วาย จดวันและเวลาการแสดงเอาไว้ในปาล์ม

วันนี้หลังจากเลิกเรียนแล้ว ก็ไม่รู้จะทำอะไร ฝนที่ตกพรำ ๆ มาตั้งแต่ตอนเช้าก็ยังไม่ยอมหยุด ด้วยความเหงาปนความเคยชิน ผมก็แวะไปที่ร้าน Kopi Gusto อีกตามเคย ไปนั่งจิบน้ำชาอ่านหนังสือ ท่ามกลางฝนตกปรอย ๆ
แต่แล้วก็มีเสียงเตือนออกมาจากปาล์ม ถึงได้รู้วันนี้มีการแสดงที่กาดสวนแก้ว

ด้วยความที่ไม่รู้ว่าจะทำอะไรกับอารมณ์เหงา ก็เลยขับรถไปคนเดียว

ไปถึงที่กาดสวนแก้วเกือบ ๆ หกโมง แวะซื้อบัตร บัตรมีราคา 100, 400, 500 และ 1,000 บาท แน่นอนว่าผมเลือกราคา 100 บาท

ไปถึงหน้าโรงละครกาดเธียร์เตอร์ มีคนมารอเยอะแล้วเหมือนกัน ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเป็นฝรั่งมากกว่าคนไทย เหมือนผมหลงเข้ามาในงานรวมรุ่นขององค์กรอะไรสักอย่าง เพราะดูทุกคนจะรู้จักกันหมด ต่างคนต่างทักทายกัน มีผมคนเดียวที่เข้าไปแล้วไม่รู้จักใคร เลยต้องนั่งแอบ ๆ อยู่ในหลืบริม ๆ

คณะเดอะแดนเซอร์คอมพานี เป็นนักแสดงที่เป็นนักศึกษาจากภาควิชาเต้นรำ คณะสุขศึกษา พลศึกษา มหาวิทยาลับ บริคัม ยัง โพรโว, ยูท่าห์ สหรัฐอเมริกา เป็นนักเต้นที่ออกตระเวนแสดงไปได้กว้างไกลที่สุดในสหรัฐ (ข้อมูลอ้างอิงจากสูจิบัตรที่แจกหน้างาน) ซึ่งปีนี้มาแวะเยี่ยมที่ประเทศ ไทย เวียตนาม และไต้หวัน

จนเกือบหนึ่งทุ่ม ทางโรงละครเปิดประตูให้เข้า

การแสดงชุดแรกเป็นของคณะ เชียงใหม่บัลเล่ต์เพอร์ฟอร์มมิ่งกรุ๊ป (The ChiangMai Ballet Performing Group – The ChiangMai Ballet Academy) แสดงเรื่อง ลูกเป็ดขี้เหร่

เป็นเรื่องราวของลูกหงส์ที่บังเอิญไปอยู่ในฝูงเป็ด ด้วยความที่ไม่เหมือนใครเลยโดนเรียกว่าลูกเป็ดขี้เหร่ และไม่ให้เข้าพวกด้วย

ลูกเป็ดขี้เหร่ขอไปอยู่กับพวกกระต่าย ก็เข้ากับเขาไม่ได้

ลูกเป็ดไปเจอฝูงกวาง ก็เข้าพวกกับเขาไม่ได้

แต่สุดท้ายลูกเป็ด ก็เติบโตมาเป็นหงส์ที่สวยงาม และ เจอฝูงหงส์ด้วยกัน จึงใช้ชีวิตอยู่กับหงส์ฝูงนั้นอย่างมีความสุข


ชุดต่อมาเป็นการแสดงของจริงจาก เดอะแดนเซอร์คอมพานี สักที ลูกเป็ดขี้เหร่เมื่อกี๊เหมือนเป็นของเรียกน้ำย่อย

ผู้จัดออกมาเกริ่นถึงการแสดง เขาให้คำจำกัดความของการแสดงของตัวเองว่าเป็น Contemporary Dance หรือการเต้นร่วมสมัย โดยนักแสดง(นักเต้น) แต่ละคนจะเต้นด้วยเท้าเปล่า

การแสดงแบ่งออกเป็นเก้าชุด

ชุดแรกมีชื่อว่า ปฐมกาล มีโทนของการแสดงออกไปทางสีเขียว น้ำเงิน (ตามคำบรรยายของสูจิบัตรเขียนว่า เป็นจินตภาพแห่งแสงสว่าง น้ำ แผ่นดิน โลก) มีคนออกมาเต้น วนไปวนมา รวมตัว แล้วก็แยกกลุ่ม โทนของสีออกมาเย็น ๆ แต่มีการเคลื่อนไหวแบบไม่หยุดนิ่งตลอดเวลา ให้ความรู้สึกเหมือนมีสิ่งมีชีวิตกำลังก่อเกิดขึ้น ดุแล้วทำให้นึกถึงเวลาเราเห็นเซลล์เกิดการแบ่งตัวใต้กล้องจุลทรรศน์ มันเป็นความรู้สึกคล้าย ๆ กันอย่างนั้น

ชุดที่สองมีชื่อว่า มามะ ไปด้วยกัน เป็นการแสดงที่ผู้จัดอุทิศให้แก่สามีของเธอ (ไม่ได้บอกว่าล่วงลับไปแล้วหรือเปล่า) ชุดนี้เป็นชุดที่ผมชอบมาก มีนักเต้นเพียงสองคน ชายกับหญิงในชุดขาว แต่ด้วยลีลาการเต้นที่เป็นการกอดเกลียวเกี่ยวกระหวัด แสดงถึงความรักที่ทั้งคู่มีต่อกัน เพลงประกอบเป็นเพลงช้า ๆ คล้ายเพลงแนวแจ๊ส แต่จังหวะกระชับกว่า และการจัดแสงสีที่ดูเย็น ๆ แต่แฝงความอบอุ่น ผมอาจจะบรรยายออกมาในนี้ได้ไม่ดีนัก แต่มันให้ความรู้สึกซึ้งกับนักเต้นสองคนนี้มาก พวกเขาสามารถสื่อถึงความรักที่คนสองคนมีต่อกันได้ดีจริง ๆ ดู ๆ แล้วก็สะท้อนใจถึงเรื่องของตัวเอง การแสดงชุดนี้ได้รับเสียงปรบมือจากผู้ชมมากทีเดียว (มีเสียงเป่าปากด้วย)

ชุดที่สามมีชื่อว่า ล้ม ๆ ลุก ๆ แต่น่ารัก เป็นการเต้นล้อเลียนพวกบัลเล่ต์คลาสสิก เพียงแต่ …นักแสดงออกมาเต้น พร้อมไม้ค้ำยัน เป็นการเต้นที่ตลกและเรียกเสียงหัวเราะจากผู้ชมได้เยอะมาก โทนของการแสดงชุดนี้ออกไปทางสีสันสดใส นักแสดงใส่ชุดสีเหลือง พร้อมไม้ค้ำยันสีลูกกวาด การแสดงชุดนี้ ดูจากสูจิบัตรแล้ว ต้องการสื่อถึง “ความสามารถในการสร้างสรรค์ และฟื้นคืนดีดังเดิมของมนุษยชาติ”

ชุดที่สี่มีชื่อว่า แตกกลุ่ม เป็นการเต้นที่ออกจะน่าเบื่อสำหรับผม เป็น “ภาพสะท้อนของสังคมที่แตกสลาย” โทนของการแสดงชุดนี้ออกไปทางสีแดง ร้อนแรง ทั้งแสงไฟละเสื้อผ้า ให้ความรู้สึกตึงเครียดมากกว่าจะจรรโลงจิตใจ

ชุดที่ห้ามือชื่อว่า จากห้วงหุบเหว การแสดงชุดนี้ผู้จัดบอกว่า อุทิศให้กับ “ผู้ที่ต่อสู้เพื่อความอยู่รอดจากช่วงเศรษฐกิจตกต่ำของอเมริกาในทศวรรษที่ 1930 และแด่ใครก็ตามที่เอาชนะความยากลำบากไดด้วยจิตศรัทธาและความกล้าหาญ” การแสดงชุดนี้ นักเต้นชายออกมาในชุดแบบโบราณหน่อย ๆ (กางเกงผ้าแบบมีสายคล้องไหล่) นักเต้นหญิงก็ใส่กระโปรงแบบกระโปรงตัวเดียว ผ้าพริ้ว ๆ (ถ้าใครเคยดูเรื่อง Cold Mountain คงนึกออก เป็นกระโปรงคล้าย ๆ กันอย่างนั้น) การแสดงแบ่งเป็นสามช่วง ช่วงแรก แสดงถึงภาวะแห้งแล้ง ปลูกต้นไม้ไม่ขึ้น แสงบนเวทีเป็นโทนร้อน ดูแห้งแล้ง ช่วงที่สองบอกเรื่องราวการออกเดินทางหาแหล่งทำกินใหม่ของชาวบ้าน ช่วงสุดท้ายแสดงถึงความหวังของชาวบ้านที่จะพบกับที่ทำกินใหม่ที่อุดมสมบูรณ์กว่านี้ เพลงประกอบการเต้นเป็นเพลงแบบประสานเสียง (คล้าย ๆ ที่เคยได้ยินในโบสถ์ฝรั่ง) เพราะมาก โดยเฉพาะในช่วงสุดท้ายที่แสดงออกถึงความหวังของที่ยังมีอยู่ของทุกคน นี่เป็นอีกชุดที่ผมชอบมาก

ชุดที่หกชื่อ 2005มาแล้ว เป็นการผสมผสานของการเต้นโดยใช้จังหวะอัฟริกัน เป็นการเต้นที่ไม่มีเสียงเพลงประกอบ ใช้แค่เสียงตบมือ ตบไหล่ ตบขา ของนักแสดงแต่ละคน นักแสดงออกมาในชุดคล้าย ๆ ชุดพรางของทหาร แต่เป็นชุดพรางที่มีสีสันสดใส ออกเหลืองๆ ส้มๆ การแสดงชุดนี้ผมคิดว่าเป็นการแสดงออกถึงความพร้อมในการซักซ้อมกันอย่างมาก ทุกคนตบมือ ตบขาเป็นจังหวะที่เข้ากันได้อย่างดีมาก ไม่มีหลุด ไม่น่าเชื่อว่าคนแค่สิบหกคนบนเวทีจะสามารถใช้เสียงตบมือ กระทืบเท้า และจังหวะการเต้น สะกดเอาคนทั้งโรงละครเงียบกริบไปกับการแสดงของพวกเขาได้ พอจบชุดนี้ ผู้ชม(รวมทั้งผม) ก็พากับปรบมือกันดังก้อง เป่าปากแสดงความชื่นชมกันทั้งโรงละคร เป็นอีกชุดที่ผมประทับใจ

ชุดที่เจ็ดชื่อ ฉันเชื่อ เป็นการแสดงเดี่ยวของนักเต้นหญิง บอกถึง “ ศรัทธาและความหวังใจในอนาคต” เป็นนักแสดงหญิงคนเดียวออกมาเต้น จุดโคมไว้หนึ่งดวงข้างเวที (คงจะบอกถึงความหวังขอกเธอ) แสงไฟบนเวทีหรี่มืด เป็นการแสดงสั้น ๆ แต่ชุดนี้ก็ได้รับเสียงปรบมือไปไม่น้อยเหมือนกัน

ชุดที่แปดชื่อ ระบำฟูก ขอบอกว่าการแสดงชุดนี้เป็นชุดที่ผมชอบที่สุดแล้ว เป็นการแสดงที่นักแสดงเลียนแบบพฤติกรรมของเด็ก ๆ ที่มักจะถูกพ่อแม่ ห้ามไม่ให้กระโดดโลดเต้นบนที่นอน ในการแสดงชุดนี้ เลยเป็นเหมือนการปลดปล่อยอารมณ์เด็ก ๆ ภายในตัวเองออกมาอย่างเต็มที่ มีการกระโดดลงมาบนที่นอนในท่วงท่าต่าง ๆ (เหมือนจะประกวดประชันกัน) มีการเอาที่นอนมาพันรอบตัวแล้วกลิ้งไปรอบเวที เอาที่นอนออกมาตีกัน เป็นการบ่งบอกถึงจินตนาการของเด็ก ๆ ที่เอาของธรรมดา ๆ อย่างที่นอนมาเป็นเครื่องเล่นได้อย่างไม่รู้จบ โทนสีของการแสดงชุดนี้(ทั้งชุดนักเต้น ฟูกที่นอน และ แสงไฟ) ออกไปทางสีสดใส เหลือง ฟ้า ม่วง แดง ส้ม เขียว เพลงประกอบ ก็มีความสนุกสนาน เรียกเสียงหัวเราะจากคนดูได้ไม่รู้จบ

ชุดสุดท้าย ชื่อ สู่สวรรค์ ชุดนี้ก็เป็นการเต้นอีกเหมือนกัน แต่มีอุปกรณ์เสริม คือ ผ้าพริ้ว ๆ สีฟ้าม่วง (ขนาดผืนใหญ่กว่าผ้าเช็ดหน้าเล็กน้อย - เป็นผ้าสีเดียวกับที่ใช้เป็นรูปประกอบสูจิบัตร) นักแสดงออกมาในชุดผ้าสีขาว หลวม ๆ ดูสบาย ๆ แต่ก็เด่นบนเวที ที่มีแสงสีฟ้า น้ำเงิน สาดส่องอยู่ การแสดงชุดนี้ จะเน้นถึงความพลิ้วไหวของลายผ้า เมื่อมันถูกโบกไปรอบ ๆ เวทีโดยนักแสดง แต่ละคน ดูเพลิน ๆ ดีเหมือนกัน ไฮไลท์ของการแสดงชุดนี้คือมีการนำผ้าผื่นใหญ่(ที่ยึดไว้กับแกนอะไรสักอย่าง) ออกมาสวมกับแขนของนักแสดงหญิงคนหนึ่งแล้วเธอก็ออกเต้นไปรอบเวทีพร้อมกับกางแขน(ที่มีผ้าพลิ้วผืนใหญ่นั้น) คล้ายดูเหมือนเธอมีปีกงอกออกมา แล้วพร้อมจะบินสู่สวรรค์ (สมชื่อชุดการแสดง)

จบการแสดง มีพิธีมอบดอกไม้ ให้กับนักแสดง และผู้ประสานงาน ผู้อำนวยการ ฝ่ายต่าง ๆ (ที่ค่อนข้างจะอืดอาดและน่าเบื่อหน่ายสำหรับผม – แต่ก็ลุกไปไหนไม่ได้เพราะมีลุง และ ป้า ฝรั่งสองคนนั่งกันอยู่ )

รู้สึกคุ้มค่ากับเงิน 100 บาท และเวลาสองชั่วโมงกว่า ๆ ที่เสียไป เหมือนเป็นการได้เปิดมุมมองอะไรแปลก ๆ ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ก็มีเรื่องที่เสียดายอยู่บ้าง

เสียดาย ที่ทางโรงละครไม่อนุญาตให้บันทึกภาพขณะทำการแสดง

เสียดายที่มีแค่รอบเดียว

เสียดายที่ผมมาดูแค่คนเดียว

เสียดาย ที่วันนี้ไม่มีเธออยู่

Friday, May 06, 2005

คืนฝนตก

ฝนตก
ฝนตกอีกแล้ว มันเริ่มมาตั้งแต่ตอนเย็นตอนเรากำลังกลับบ้าน จากตกปรอย ๆ แถว ๆ ลำพูน มันก็เริ่มหนักขึ้นเมื่อมาถึงเชียงใหม่

พี่โชคจอดรถให้ลงที่เดิม โชคดีที่วันนี้ผมติดเอาร่มมาด้วย กางร่มแล้วก็เดินกลับบ้านต่อ

ฝนตกเปาะแปะ เปาะแปะ เดินกางร่มอยู่ข้างถนนคนเดียว

อีกแล้ว เธอมาอยู่ในสมองผมอีกแล้ว

คิดถึงตอนลอยกระทง คืนที่ฝนตก เราก็ยังอุตส่าห์กางร่มเดินฝ่าฝน ย่ำบนถนนเปียก ๆไปลอยกระทงด้วยกัน ตอนลอยกระทงผมขอให้ความรักของเราเป็นอย่างนี้ตลอดไป ผมไม่รู้เธอขออะไร แต่พอเราปล่อยกระทงออกไป มันลอยไปติดกอวัชพืชน้ำ ฝนตก เทียนในกระทงดับ เธอบ่นอุบ แต่ผมบอกเธอว่า อย่างน้อยเราก็ติดอยู่ด้วยกันไปตลอดไง

คิดถึงตอนคืนวันงานแต่งงานพี่เจีย หลังเลิกงาน ผมขับรถไปส่งเธอที่ลำพูน ฝนตกหนัก ผมขับรถ เธอม่อยหลับไป ผมขับรถไป กุมมือเธอ ผลัดกับชำเลืองมามองดูหน้าเธอตอนหลับ ทั้งรถเงียบ มีแต่ฝนตก เสียงที่ปัดน้ำฝนทำงาน เป็นช่วงเวลาแห่งความสุข ตอนนั้นนึกอยากให้บ้านเธออยู่ซักลำปาง จะได้มีเวลาอยู่ด้วยกันอย่างนี้นาน ๆ

จริง ๆ ผมเป็นชอบเวลาฝนตก แต่มีข้อแม้ว่าผมต้องอยู่ในที่ร่มและแห้ง ที่สำคัญต้องไม่มีธุระไปไหน แล้วผมก็จะปล่อยเวลานั่งดูเม็ดฝนกระทบใบไม้ กระทบกระจก หรืออะไรก็แล้วแต่ เสียงฝนตกเหมือนเป็นท่วงทำนองทำให้ใจสงบดีพิลึก

เพียงแต่คืนนี้ ท่วงทำนองนี้มันทำให้ผมย้อนคิดไปถึงวันเก่า ๆ อย่างช่วยไม่ได้

ห้าทุ่มกว่าแล้ว

ฝนเพิ่งหยุดตกไปเมื่อสักพัก อากาศเย็นขึ้นมาทีเดียว คืนนี้คงนอนห่มผ้าอุ่นพิลึก หยิบหนังสือที่อ่านค้างไว้มาอ่านต่อ คงช่วยอะไรไม่ได้มาก แต่ก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย

พรุ่งนี้ก็ต้องไปเรียนอีกแล้วสิ

Thursday, May 05, 2005


Move Move Move Posted by Hello

Move Move Move

วันนี้ย้ายที่นั่งในออฟฟิศ

เนื่องจาก BU (Business Unit) ของเราได้รับ CSO (Customer Service Officer) เข้ามาใหม่สองคน แล้วเค้าต้องการให้หมู่ CSO ทั้งหลายได้นั่งด้วยกัน ผมก็เลยถูกอัปเปหิออกมานั่งในอีกบล๊อคนึง

ตอนย้ายออฟฟิศช่วงปีใหม่ครั้งแรกแล้วเราเริ่มมีพาร์ทิชั่นกั้น ผมรู้สึกว่าที่ของนั่งของผมฮวงจุ้ยดีมาก ขณะที่คนอื่นมีปัญหาให้วิ่งกันเป็นลิง สามเดือนแรกของปีผมแทบไม่มีอะไรทำนอกจากตามรายงานส่งให้ลูกค้า

สามเดือนผ่านไป ไม่รู้ว่าใครเอาอะไรไปวางขวางทิศทางลม หรือทำให้เจ้าที่เจ้าทางไม่พอใจ ผมเจอแต่ปัญหาใหญ่ ๆ มาตลอด ต้องกลับบ้านดึก ต้องมาทำงานช่วงสงกรานต์ สุดท้ายก็โดนแฟนบอกเลิก ถึงตอนนี้ก็ยังมีปัญหาเรื่องงานค้างคาอยู่ ต้องเดินทางไปหาลูกค้าอาทิตย์หน้า

วันนี้ได้ย้ายโต๊ะ เลยพยายามคิดว่าจะเป็นนิมิตหมายอันดี

แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นอย่างที่คิด

ที่นั่งใหม่ของผม ทางซ้ายมือเป็น Assistant Engineer ลิ่วล้อผมเอง ใช้งานง่าย แต่ตัวเธอใหญ่ไปหน่อย ลุกนั่งทีอึดอัดนิดนึง

ทางด้านข้างขวามือ เป็นเลขาของโปรดักชั่น ไดเรคเตอร์ เธอก็ต้องนั่งทำรายงานอัพเดตหัวหน้าเธอทุกวัน เนื่องจากต้องตามข้อมูลมาทำรายงานให้เจ้านาย ก็เลยมีแต่พวกโปรดักชั่นมาวนเวียนแถวนี้เยอะ ไม่ว่าจะเป็นเมเนเจอร์ ซูเปอร์ไวเซอร์ มาอัพเดตงานกันตลอด

มาไม่มาเปล่า ก็มาแซวกัน เฮฮา ตอนบ่ายโต๊ะของน้องเธอก็จะกลายเป็นโต๊ะของว่าง มีคนแวะเวียนมากินกันเรื่อย ๆ

ด้านหลังของผมเป็นเลเซอร์พรินเตอร์ ไม่ว่าใครสั่งพรินท์อะไรก็มาออกเครื่องนี้หมด นั่งทำงานแบบไม่ค่อยมีความสุข เดี๋ยวคนนั้นคนนี้เดินมาเก็บเอกสารที่สั่งพรินท์ไว้ ผมจะเปิดเว็บอะไรไร้สาระก็ไม่ค่อยสะดวก

สรุปแล้วที่นั่งตรงนี้ ผู้คนพลุกพล่าน การหมุนวนของพลังชวี่มีมากเกินไป นับเป็นฮวงจุ้ยที่ไม่ค่อยดี

แต่จะมาบ่นขอเปลี่ยนตอนนี้ก็สายไปแล้ว อีกอย่างไม่มีที่นั่งที่อื่นว่างแล้วด้วย

อาจเป็นไปได้ว่าช่วงนี้มีทัศนะคติที่ไม่ดีต่อชีวิต เลยเห็นอะไรขวางหูขวางตาไปหมด

แต่อย่างน้อย วันนี้ก็ได้รู้ว่ามีคนสองคนแอบมาอ่านบันทึกของผม แล้วพวกเขาเป็นห่วงเป็นใยผมแค่ไหน ขอบคุณสำหรับคำแนะนำและกำลังใจจริง ๆ ครับ


วันนี้ตอนเย็นเพิ่งมีโอกาสเอากล้องถ่ายรูปไปให้แอน

กล้องถ่ายรูปนี้มีประวัติการเดินทางยาวไกลมาก แอนไปอเมริกาเมื่อปีที่ แล้วไปซื้อกล้องถ่ายรูปที่นั่น พอจะเดินทางกลับเมืองไทยช่วงประมาณสงกรานต์ จะด้วยความรีบร้อนหรืออะไรก็ไม่ทราบ แอนลืมกล้องไว้ที่นั่น

แต่เมื่อรู้ว่า วารุณี กำลังจะมาเมืองไทย แอนก็ให้เพื่อนเอากล้องไปให้วารุณีถือมาเมืองไทยด้วย

บังเอิญวารุณีนั่งเครื่องมาไฟลท์เดียวกับ แบรด ก็เลยฝากแบรด ต่อมาอีกทอด

แล้วแบรดก็เอามาฝากผมต่ออีกที ทิ้งไว้ที่บ้านผมหนึ่งคืน วันนี้ก็เลยเพิ่งจะได้ฤกษ์ เอาไปให้แอน


เพิ่งนึกเรื่องตลก ๆ (แบบขมขื่นออก)

ตอนผมกับเธอคบกันใหม่ ๆ เธอชวนผมไปดูดวงด้วยกัน
ผมไม่ไป บอกเธอไปว่า ถ้าหมอดูว่าดวงเราไม่สมพงศ์กัน แล้วจะยังไง จะเลิกกันเหรอ ถ้าผลออกมาดี ก็ดีไป ถ้าออกมาแย่ ถึงเราไม่มีเรื่องทะเลาะกันในตอนนี้ แต่ถ้าวันไหนมี มันก็พร้อมจะเป็นอีกแฟคเตอร์นึงที่ทำให้ความสัมพันธ์มันยิ่งบานปลายกันไปใหญ่ อยากให้ความสัมพันธ์ของเราอยู่ที่การกระทำมากกว่าดวง

สรุปวันนั้น เราไม่ได้ไปดูหมอ

เรื่องตลกอันแรกคือ วันที่เธอบอกเลิกกับผม ตอนเช้าเธอไปดูหมอกับเพื่อนมา

เรื่องตลกอันที่สองคือ พอเธอบอกเลิกกับผม ด้วยสติอันเคว้งคว้าง ผมเอาวันเดือนปีเกิดของเธอกับผม ไปดูดวง(แบบออนไลน์) ปรากฏว่าดวงเราสมพงศ์กัน เข้าคู่กันได้อย่างดี

เป็นเรื่องตลกที่ขมขื่นทีเดียว

ความรัก และ ดวงชะตา เป็นสิ่งที่ลึกลับนัก

Wednesday, May 04, 2005

เนื้อย่าง เนื้อย่าง

วันนี้เลิกงานแล้วพี่เอกชวนกันไปกินหมูกระทะ

หลังจากชวนกันไปชวนกันมาหลายคนก็มาจบลงที่สมาชิกสามคน พี่เอก ผม และไอ้ก่อ

ตอนแรกเข้าใจว่าจะเป็นหมูกระทะทั่วไป ๆ หัวละแปดสิบ เก้าสิบบาท แต่พี่เอกพาไปกินเนื้อกะทะซูซูรัน เป็นร้านขายเนื้อกระทะที่อยู่แถว ๆ โรบินสัน แอร์พอร์ทพลาซ่า

เคยมีคนหลายคนไปกินที่ร้านนี้แล้วกลับมาบ่นว่าไม่อร่อย แถมยังแพงเกินเหตุ(หัวละร้อยกว่าบาท) แต่พอพี่เอกพาไปลองกินวันนี้แล้ว อยากบอกว่า น่าสงสารผู้คนเหล่านี้ มีโอกาสมายืนอยู่บนสวรรค์ แต่กลับไม่มีปัญญาเปิดประตูสวรรค์เข้าไป

คิดว่าคนส่วนใหญ่เข้ามาแล้วคงสั่งบุฟเฟต์หัวละร้อยบาท ที่จะมีเนื้อแดงบริการฟรี และก็คงตักพวก เนื้อไก่ เนื้อปลา ไส้กรอก หอยแมลงภู่ ผัก และอื่น ๆ เข้าไปด้วย แต่สำหรับพวกเรา ยอมจ่ายแพงกว่าอีกนิด (คนละร้อยแปดสิบ) ก็จะได้กินเนื้อคัดแบบพิเศษ (ที่ร้านเรียกว่าเนื้อลาย) เป็นเนื้อที่มีมันแทรกกระจายอยู่ในชั้นเนื้อ ลองนึกสภาพเนื้อแดง ๆ ที่มีริ้วของไขมันสีขาว ๆ สลับอยู่กระจัดกระจาย เอามาแล่บาง ๆ ใช้ตะเกียบคีบวางแหมะลงไปบนเตาเหล็กที่ร้อนฉ่า ไขมันก็ละลายอย่างรวดเร็วออกมาเคลือบผิวเนื้อที่กำลังสุกได้ที่ส่งกลิ่นหอมฉุย วางเนื้อลงไปบนผิวเตา พลิกเนื้อกลับไปกลับมาสักสองที ก็จะได้กินเนื้อย่างสุดอร่อย จะกินพร้อมน้ำจิ้ม หรือ กินเปล่า ๆ ก็อร่อยไม่แพ้กัน
(คนไม่กินเนื้อคงนึกภาพตามไม่ออก)

ขอบคุณครับพี่เอกที่แนะนำสิ่งดี ๆ ให้กับผม
เรากินกันไปสามจานใหญ่ ๆ (ตกว่ากินกันคนละจาน) ก็เริ่มอิ่ม เพราะเน้นแต่เนื้อ ไม่เน้นผัก ไม่เน้นเครื่องเคียงที่จะมาตัดกำลัง

กินกันไป เราก็คุยกันไปเรื่องเรื่อยเปื่อย ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องที่ทำงาน เรื่องนู้นเรื่องนี้ ลามไปถึงเรื่องที่ทำงานเก่า เพราะเราสามคนเคยทำงานอยู่ที่เดียวกัน ต่างคน ต่างความเห็น ต่างมุมมอง

เสร็จจากเนื้อกระทะ ก็แวะไปที่หอไอ้ก่อต่ออีก ไปนั่งจิบอะไรเย็น ๆ คุยกันต่อสามคนบนห้องไอ้ก่อ เนื้อหาก็ยังคงเป็นเรื่องเดิม ๆ คุยกันถึงเรื่องเก่า ๆ ที่ทำงานเก่า แต่ก็นั่นแหละ ช่วงเวลาแห่งความสุขในวันเก่า ๆ มันผ่านไปแล้ว ทำได้อย่างดีก็แค่จดจำและเก็บเอามาพูดถึงในวันที่ผ่านไป

กว่าผมและพี่เอกจะออกจากห้องไอ้ก่อก็สี่ทุ่มครึ่งกว่า ๆ แล้ว พี่เอกขับรถแวะไปส่งผมที่บ้าน

เข้าบ้านมา เหลือบดูนาฬิกา ห้าทุ่มสิบห้าแล้ว ใจผมมันเรียกร้องให้โทรหาเธอ แค่อยากได้ยินเสียง แค่อยากรู้ว่าเธอเป็นอย่างไรบ้าง ป่านนี้เธออาจจะนอนและปิดโทรศัพท์ไปแล้วก็ได้

สุดท้ายสมองก็แพ้หัวใจ ผมโทรหาเธอ เธอยังไม่ปิดเครื่อง แต่ก็ไม่ได้รับสาย

ไม่อยากคิดว่าเธอกำลังเปิดเครื่องไว้รอเขาโทรมา หรือตอนนี้กำลังโทรคุยกับเขาอยู่ ก็ได้แต่บอกตัวเองว่าวันนี้มันไม่เหมือนวันที่ผ่านมาแล้ว

ทำใจนะ…ทำใจ…..

MyGIANT Posted by Hello

Tuesday, May 03, 2005

My Giant

วันก่อนดูหนังเรื่องหนึ่ง My Giant

เป็นหนังปี 1998 ที่หน้าปกก็ดูงั้น ๆ แต่คงเป็นเพราะผมชอบในตัวนักแสดงนำ Billy Crystal, (When Harry Met Sally, Analyst This, America’s Sweet Heart, Analyst That.. ) ก็เลยเลือกหยิบจากชั้นบนร้านเช่ามาดู

หนังมีธีมของเรื่องคล้ายกับ Jerry McGuire (ตามความคิดของผม) แซม(Billy) มีอาชีพเป็นเอเจนต์นักแสดง ที่กำลังตกอับ ลูกค้าคนสุดท้ายซึ่งเป็นนักแสดงวัยรุ่นที่กำลังมีอนาคตก็ไล่เขาออกจากการเป็นเอเจนต์ เพราะคิดว่าพ่อของเขาทำได้ดีกว่า

สถานภาพสมรสก็กำลังย่ำแย่ เขาแยกกันอยู่กับภรรยาและลูก ซึ่งภรรยาของเขากำลังพาลูกชายย้ายกลับไปบ้านเกิดเพราะเธอได้งานสอนการแสดงที่นั่น ที่สำคัญคือเธอกำลังเริ่มไปสนิทสนมกับเพื่อนชายสมัยมัธยม (ซึ่งตอนนี้ทำงานเป็นครูสอนเลขของลูกชายเขา)

เรียกได้ว่าอยู่ในสถานะเดียวกันกับนาย Jerry ตกงาน แฟนทิ้ง เพียงแต่ว่าเขาไม่หล่อ และมีสาวแอบปลื้มแบบนาย Jerry

สิ่งที่แซมต้องการคือใครสักคน ที่จะมาเป็นลูกค้ารายใหม่ ที่จะทำให้เขามีกำลังต่อรองกับคนสำคัญในวงการ และก้าวกลับมาทวงความสำคัญคืนได้

สิ่งที่แซมรอ อยู่ไกลถึงโรมาเนีย

แมกซ์เป็นชายที่เป็นโรคมีการเจริญเติบโตทางร่ายกายผิดปกติ หรือที่เรียกว่าโรค Giant Syndrome (ถ้าผมจำไม่ผิด) เขาเริ่มมีการเจริญเติบโตของร่างกายผิดปกติตั้งแต่อายุสิบสี่ปี ผ่านมาจนอีกยี่สิบสองปีให้หลัง เขามีความสูงแปดฟุต

ด้วยรูปร่างอันน่ากลัว เขาถูกพ่อและแม่นำมาฝากไว้ที่โบสถ์ตั้งแต่อายุสิบห้า แล้วพ่อแม่ก็ไม่เคยกลับมารับเขาอีกเลย เวลาแมกซ์เดินออกไปตามถนนในหมู่บ้านเขามักจะถูกเด็ก ๆ เอาก้อนหินขว้างปา และเรียกเขาว่า ปีศาจจากนรก

แมกซ์ยอมรับกับสภาพนี้ เขาไม่เคยย่างกรายออกจากโบสถ์อีกเลยตั้งแต่นั้น อย่างไรก็ตาม เขาเกลียดที่คนพากันเรียกเขาว่าปีศาจจากนรก สำหรับเขาแล้ว เขาก็เป็นคนเหมือนกับคนทั่วไป มีความรัก ความรักที่มั่นคงต่อ ลิเลียอาน่า เด็กผู้หญิงที่เป็นความรักครั้งแรกและครั้งเดียวของเขา ตอนอายุสิบสี่เขาและเธอจูบกันครั้งแรกที่น้ำพุหลังโบสถ์ หลังจากนั้นไม่กี่วัน ลิเลียอาน่าก็ย้ายไปอยู่ที่อเมริกา แต่แมกซ์ไม่เคยลืมเธอ

แมกซ์อาศัยอยู่ในโบสถ์ ด้วยร่างกายที่ใหญ่โต และเรี่ยวแรงอันมหาศาล เขาช่วยงานในโบสถ์ได้มาก และเมื่อเขาบังเอิญไปเจอรถของแซมที่พุ่งลงมาจากถนนจมลงไปในบ่อน้ำ แมกซ์ได้ใช้กำลังดึงทั้งรถ ทั้งแซมไปที่โบสถ์เพื่อรักษา

เมื่อแซมฟื้นขึ้นมาจากการสลบไสล เขาก็เกิดความคิดขึ้นมาอย่างหนึ่งทันที เขารู้ว่าเขาพบคนที่จะช่วยให้เขาทวงอำนาจ และความสำคัญกลับมาได้แล้ว แมกซ์คือคนที่แซมต้องการ ด้วยร่างกายอันใหญ่โตและท่าทางอันน่ากลัว เขามั่นใจว่าต้องมีผู้กำกับหลายคนต้องการแมกซ์ไปอยู่ในหนังของพวกเขาแน่นอน

แซมพยายามโน้มน้าวให้แมกซ์ออกจากโบสถ์แล้วไปอเมริกากับเขาเพื่อไปเป็นนักแสดง แต่แมกซ์ไม่รู้จักว่าภาพยนตร์คืออะไร เขารู้จักแต่เพียงกวีของเช็คเสปียร์ บุคคลที่เขาชื่นชม แมกซ์ยังได้แต่งกวีไว้สำหรับลีเลียอาน่าที่รักของเขาด้วย ตลอดเวลายี่สิบสองปีที่ผ่านมา แมกซ์เขียนจดหมายถึงเธอแทบทุกวัน แม้จะไม่เคยได้รับจดหมายตอบจากเธอเลยก็ตาม

เมื่อแซมบอกกับแมกซ์ว่าถ้าหากแมกซ์ยอมไปอเมริกา เขาสามารถพาแมกซ์ไปหา ลิเลียอาน่าได้ ด้วยความรักของแมกซ์ที่มีต่อลิเลียอาน่า สุดท้ายแมกซ์ก็ยอมออกจากโบสถ์และติดตามแซมไปอเมริกา

แน่นอนว่าก่อนที่แซมจะพาแมกซ์ไปหาลิเลียอาน่า เขาต้องหาทางให้แมกซ์เซ็นต์สัญญากับผู้กำกับดังๆ หรือได้เล่นในหนังดัง ๆ ทุนสร้างสูง ๆ สักเรื่อง แซมจึงต้องพาแมกซ์ตระเวนขึ้นเหนือล่องใต้ เพื่อพบกับผู้กำกับและผู้สร้างหนังเพื่อแนะนำแมกซ์

การเดินทางด้วยกันทำให้แซมได้เรียนรู้และเข้าใจถึงจิตใจอันบริสุทธิ์ของแมกซ์ แน่นอนว่ามันทำให้เขาต้องย้อนกลับไปคิดถึงความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวของเขาด้วย แมกซ์เป็นความหวังเดียวที่จะทำให้เขามีหน้ากลับไปหาครอบครัวได้

สุดท้ายด้วยความตื๊อ และคารมของแซม แมกซ์ก็ได้เซ็นต์สัญญาในหนังของ สตีเว่น ซีกัล แต่เมื่อแซม พาแมกซ์ไปตรวจร่างกายเพื่อทำประกันภัยตามกฎของการเซ็นต์สัญญา เขากลับพบว่าแมกซ์กำลังจะตาย

ด้วยร่างกายที่ใหญ่เกินไป ทำให้หัวใจต้องทำงานหนัก แมกซ์(และอีกหลาย ๆ คนที่เป็นโรค Giant Syndrome) เป็นโรคหัวใจ และจะมีอายุไม่ยืนยาว
แมกซ์เองก็ดูเหมือนจะรู้ว่าตัวเองกำลังจะตาย เขาเขียนในประวัติของแพทย์ว่าเป็น โรคหัวใจป่วย (sick heart)

แซมถึงกับช็อคเมื่อรู้เรื่อง เขาถามแมกซ์ว่าในเมื่อตัวแมกซ์เองก็รู้อยู่แล้ว ว่ามีอาการป่วยและกำลังจะตาย ทำไมยังยอมออกจากโรมาเนีย และเดินทางระเหเร่ร่อนมากับเขาถึงอเมริกา การเดินทางมีแต่จะยิ่งทำให้อาการกำเริบ

คำตอบของแมกซ์สั้น ๆ….ลิเลียอาน่า

แซมไม่สนใจเรื่องสัญญา หรือ ค่าตัวของแมกซ์(ซึ่งจะกลายเป็นเปอร์เซ็นต์ที่เขาจะได้รับ)อีกต่อไป เขาพาแมกซ์ออกเดินทางตามหาลิเลียอาน่าทันที

หนังมีหักมุมตอนจบเล็กน้อย

สุดท้าย แซมพาแมกซ์กลับไป โรมาเนีย กลับไปหาพ่อกับแม่ของแมกซ์ที่เคยทิ้งเขาไปยี่สิบกว่าปีมาแล้ว

(แมกซ์ไม่ได้ตายตอนหนังจบเรื่อง)

หนังเรื่องนี้ตอนต้นมีธีมคล้าย ๆ Jerry McGuire แต่พยายามจะเล่นกับความรู้สึกมากกว่า

ขณะที่ลูกค้าของ Jerry พยายามพร่ำบอกว่า “Show me the money” (ผมถือเป็นอมตะวลีเลยสำหรับคำนี้) แต่แมกซ์กลับไม่ได้เรียกร้องอะไร เขาขอแค่ได้เจอ ลิเลียอาน่า คนที่เขารักและคิดถึงมาตลอดเวลายี่สิบสองปีเท่านั้นเอง

----------------------------------------------------------------------

ผมไม่ได้เขียนถึงหนังเรื่องนี้เพราะว่ามันเป็นหนังที่ยอดเยี่ยม จริง ๆ ค่อนข้างธรรมดาและดูน่าเบื่อในบางช่วงด้วยซ้ำไป เพียงแต่มันทำให้ผมนึกถึงอะไรบางอย่างระหว่างผมกับเธอ

ไม่ได้เขียนถึงหนังเรื่องนี้เพื่อจะบอกว่าผมก็จะรอเธอไปอีกยี่สิบสองปี

แค่พยายามจะบอกว่า สำหรับบางคน การรอคอยเป็นสิ่งที่คุ้มค่า แม้ว่าวันนี้ผมยังไม่มีหวังกับการรอคอยก็ตาม

Monday, May 02, 2005


Along the road.. Posted by Hello

Spores Posted by Hello

ÊѺ»ÐôÊÕ Posted by Hello

Leaves & Rain Posted by Hello

¡Ãк͡ྪàPosted by Hello

เหงา

วันนี้อยู่บ้านทั้งวัน ขนหนังสือที่อ่านค้างไว้ออกมาอ่าน

ออกไปพันธ์ทิพย์ไปดูไอ้ก่อซื้อกล้องดิจิตอลที่เล็งไว้มานาน แวะกินข้าวแล้วก็กลับเข้ามาบ้านใหม่

อยู่บ้านคนเดียว อากาศร้อน เหงา

ตอนเย็น พาหมาไปเดินเล่น แล้วฝนก็ตก

ฝนตกหนัก ไฟฟ้าดับ

จุดเทียน เอาหนังสือมาอ่านใต้แสงเทียน มีฉากหลังเป็นเสียงฟ้าร้อง และเม็ดฝนกระทบหลังคา กับใบไม้

ยิ่งเหงาเข้าไปใหญ่

ใครก็ได้ช่วยผมที

Sunday, May 01, 2005

วันนี้โดดเรียน

วันนี้โดดเรียน

โดดเรียนเพื่อไปเที่ยวกับพวกไอ้ก่อ ผมมาถึงมอชอตอนแปดโมงครึ่งแวะไปกินข้าวเช้าที่ อมช แล้วก็ขับรถต่อมาที่ตึกบริหาร เดินขึ้นไปเซ็นชื่อเรียน แล้วก็เดินลงมาเปลี่ยนเสื้อ เปลี่ยนรองเท้าที่รถ อ่านหนังสือ ฟังเพลงรอสักพักไอ้ก่อ ก็ขับรถมารับ พร้อมสมาชิกคนอื่น ๆ อันได้แก่ แต แฟนไอ้ก่อ น้องตูนน้องสาวแต แล้วก็น้องที่ทำงานอีกสองคน เจี๊ยบกับขิม

พวกเราออกจากมอชอแล้วขับรถแวะไปกินข้าวเช้าที่ร้านข้าวซอยเสมอใจ แถว ๆ ฟ้าฮ่าม เนื่องจากผมกินมาเรียบร้อยแล้วก็เลยนั่งเฉยๆ ร้านนี้เคยได้ยินชื่อมานานแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้มีโอกาสมากินสักที พอได้มา ผมก็ดันกินข้าวมาก่อนแล้วซะอีก เลยไม่หิว

กินข้าวซอยเสร็จเราก็ออกจากร้านขับวนกลับมาตรงแยกข่วงสิงห์ แล้วเลี้ยวซ้ายไปทางแม่ริม สรุปว่าเปลี่ยนจุดหมายจากไร่ชาป่าเมี่ยงที่คิดกันไว้อาทิตย์ที่แล้ว มาเป็นสวนพฤกศาสตร์ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตต์แทน ใช้เวลาไม่นานเลยก็มาถึง ผมเพิ่งเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรก ที่ป้อมหน้าปากทางเก็บค่าเข้าคนละยี่สิบบาท ค่ารถคันละสามสิบบาท

เพิ่งรู้ว่าที่นี่มีต้นไม้ให้ดูเยอะมาก แบ่งเป็นโซน ๆ เช่น โดมของป่าแห้งแล้งที่มีแต่พืชจำพวกกระบองเพชรและทราย โดมป่าดิบชื้นที่มีแต่ไม้อวบน้ำ ไม่ยืนต้นลำต้นสูง เป็นต้นไม้ที่ผมรู้จักบ้าง ไม่รู้จักบ้าง มีน้ำตกเทียม และยังมีท่อเล็กๆ คอยพ่นละอองน้ำออกมาอีกด้วย อยู่ในโดมนี้แล้วเย็นสบายจนไม่อยากออกไปข้างนอก แต่ไอ้ก่อบอกว่าอึดอัด มันคงกลายเป็นคนเมืองไปแล้วผมว่า

อากาศร้อนมาก แต่เราก็ยังเดินต่อไปตามโดมต่าง ๆ ถ่ายรูปไปเรี่อย ๆ จากนั้นก็ไปแวะพักผ่อนกินน้ำที่ตึกที่ขายของที่ระลึก ระหว่างแวะกินกาแฟ เราก็คุยกันด้วยเรื่องเรื่อยเปื่อย แล้วก็มาสู่เรื่องเรียนของผม (เพราะวันนี้ผมโดดเรียนมาเที่ยว) เจี๊ยบถามผมว่าคิดยังไงถึงมาเรียน ประมาณว่ามีเหตุผลอะไรถึงมาเรียน ผมก็นิ่งไป จะตอบไปได้อย่างไร ว่าเธอคนนั้นคือเหตุผลที่ผมมาเรียน เธอที่วันนี้ผมกลายเป็นแค่เพื่อนคนนึงไปแล้ว และผมก็เลือกไม่ตอบ เอาไว้ผมสบายใจก่อนแล้วกัน ท้องฟ้าใส อากาศสวย คนเยอะแยะ แต่ผมกลับเหงาแปลก ๆ
แวะพักผ่อนเสร็จ เราก็ไปเดินดูโน่นดูนี่ต่อ ไปเดินทางเส้นทางศึกษาธรรมชาติ สวนกล้วยไม้ สวนหิน จากนั้นอากาศก็เริ่มครึ้มเหมือนฝนจะตก เราก็เลยตัดสินใจออกจากสวน พฤกษ์ศาสตร์ แล้วก็ขับรถไปต่อ กะว่าจะไปกินข้าวกลางวันกันที่โป่งแยงแอ่งดอย แต่กลายเป็นว่าเหมือนจะมีคนคิดอย่างเดียวกับพวกเราเพราะมีรถจอดเยอะมาก เยอะจนเรามองไม่เห็นว่าจะขับรถเข้าไปได้อย่างไร สรุปก็เลยกลับรถแล้วก็ย้อนกลับมาเชียงใหม่โดยมองหาร้านอาหารระหว่างทาง

สุดท้ายก็มาหยุดที่ร้านปลาเผาข้างทาง คนเยอะเหมือนกัน แต่ก็พอมีที่จอดรถ เราต้องเดินข้ามลำห้วยเล็ก ๆ ไปยังร้าน ระหว่างที่เรากำลังเดินเข้าร้าน ได้ยินเหมือนมีเสียงตะโกนโหวกเหวกของคนหลายคน คิดว่าคงเป็นพวกนักศึกษามารับน้อง ก็ได้แต่หวังว่าคงไม่มารับกันถึงแถว ๆ นี้ การกินข้าวฟังเสียงน้ำไหลก็เพลินดี แต่คงจะไม่ค่อยดีถ้าต้องมีเสียงตะโกนซ้ายหัน ขวาหัน หมอบ มาเป็น เสียงประกอบเพิ่มอีก

เราสั่งปลาเผา ยำไข่ดาว (อันนี้ไอ้ก่อสั่งแล้วก็โดนพวกเรารุมประณาม) ต้มยำปลาบึก ไอ้ก่อถามว่าจะรู้ได้ยังไงว่าเป็นปลาบึกจริงหรือเปล่า ผมบอกให้ดูที่กล้าม
มีใครคนหนึ่งสั่งผัดยอดฟักแม้ว แล้วมันก็นำไปสู่หัวข้อสนทนาเกี่ยวกับหนังเรื่องจดหมายรัก (The Letter) เป็นหนังที่เศร้าน่าดู เหมือนพยายามกดดันบีบคั้นให้คนดูร้องไห้ ผมคิดถึงหนังเรื่องนี้ทีไรก็เศร้า ยิ่งตอนนี้ก็ยิ่งเศร้าไปใหญ่ เพราะเรื่องนี้เป็นหนังเรื่องแรกที่ผมและเธอไปดูด้วยกัน เธอล้อที่ผมน้ำตาไหลในตอนจบของหนัง แต่ก็นั่นแหละ วันคืนเหล่านั้นมันคงไม่ย้อนคืนมาอีกแล้ว ผมก็ได้แต่อยู่แต่ในโลกแห่งความจริง

ระหว่างกินข้าว ฝนตกหนัก อากาศเย็น เราก็ยังคุยกันต่อจนอิ่มหนำสำราญกันดีก็ออกจากร้าน มุ่งตรงกลับมาที่เชียงใหม่

ยังไม่กลับมอชอทันที เราแวะกันที่กาดคำเที่ยงก่อน แวะดูดอกไม้ ต้นไม้ไปตามเรื่องตามราว เห็นดอกกล้วยไม้บางดอกเหมือนกับที่เราเพิ่งขึ้นไปดูมาบนสวนพฤกษ์ศาสตร์ เดินไปเดินมา ขิมกับเจี๊ยบได้ไม้กระถาง(เล็ก ๆ)มาคนละกระถาง แล้วก็ไปได้หมอนอีกสองใบที่ เจ เจ

จากนั้นไอ้ก่อก็มาส่งผมที่ตึกบริหาร ผมบอกมันว่าคืนนี้ผมคงไม่ออกไปกินด้วย เพราะข้อแรก ไม่อยากกินเหล้าในตอนอารมณ์ไม่ค่อยปกติ และข้อสอง แน่นอนว่าในวงเหล้าคงต้องแซวและถามผมว่าตอนนี้ความสัมพันธ์ของผมกับเธอไปถึงไหน ผมคงทำใจลำบากที่จะตอบทุกคนไป
ขับรถกลับบ้าน พาหมาไปเดินเล่น ออกไปปั่นจักรยานเล่นสักพัก กลับมากินข้าว กำลังจะโหลดรูปที่ถ่ายไว้วันนี้ออกมาดู ก็พอดีไอ้ก่อโทรมาอีก บอกว่ามันอยู่ที่ร้านแล้ว และยังไม่มีใครมาเลย โทรหาใครก็ไม่ติด ถ้าไม่มีใครมาเลยอีกสักพักมันจะกลับแล้ว อยากให้ผมมานั่งเป็นเพื่อนหน่อย ผมเห็นว่าไม่มีใครมา คงไม่เป็นไร ก็เลยอาบน้ำแต่งตัวแล้วขับรถไปหามันที่ร้าน กลายเป็นว่าพอไปถึงมีคนมากันแล้วเยอะแยะ พี่เบ พี่นกแฟนพี่เบ ไอ้ตั้ม แล้วก็ไอ้ก่อ

พี่เบคงเห็นผมเงียบ ๆ ไปเลยแหย่มาว่าเป็นไงมั่ง เลิกกับแฟนแล้วเหรอ ถึงซึมๆ ไป ผมก็บอกใช่ครับพี่ ซีเรียส ด้วย ดูแกตกใจที่แหย่มาตรงใจดำผมพอดี แกถามว่าเรื่องมันเป็นมาอย่างไร แต่ผมบอกแกไปว่ารอให้ผมสบายใจกว่านี้ก่อนแล้วจะเล่าให้ฟังอีกที บอกไปน้ำตาก็คลอ ไอ้ตั้มเอาข้อศอกมาสะกิดบอกกูขอโทษ กูไม่รู้ ไม่น่าถามเลย

ไอ้ก่อก็พยายามหาทางออกด้วยการชวนคุยเรื่องอื่น แต่พี่เบก็ยิ่งพยายามจะบอกผมว่า ไม่เป็นไร ผู้หญิงแค่คนเดียว ตัดเลย ไม่เอากูกูก็ไม่ต้องง้อ คนขี้เหร่อย่างผมน่าจะหาได้ดีกว่านี้ ท่าทางพี่แกคงเมามาก่อนแล้ว (แล้วก็มารู้จากพี่นกอีกทีว่าแกกินกับพ่อแกมาก่อนแล้ว) แต่ก็เอาเถอะ เห็นพี่เป็นเดือดเป็นร้อนแทน ผมก็ซึ้งใจ

สักพักพี่เบก็กลับบ้าน(เพราะเมา) พอดีกับพวกพี่ป๋อม พี่โชค พี่เอก มาถึงร้าน เราก็คุยกันเรื่องอื่นต่อไป แต่คืนนี้จะหนักไปทางหุ้น พี่เอก พี่โชค และพี่ป๋อม พยายามจะหว่านล้อมให้ผมกะไอ้ก่อลองกระโจนลงมาเล่นหุ้น นัยว่ามาเป็นพวกเดียวกัน (แมงเม่า?)

พี่โชคด่าว่าวันนี้ผมเลือกโดดเรียนได้ถูกวันมาก(ประชด) อาจารย์เช็คชื่อ แถมมีกิจกรรมเก็บคะแนนในห้องอีกต่างหาก ยังไม่พอยังมีการบ้านอีกด้วย อืมม คนเราพอมีเคราะห์แล้ว มันก็จะชวนเคราะห์ด้านอื่นให้เข้ามาหาอีกด้วย

นั่งที่ร้านถึงห้าทุ่มกว่า ๆ ผมก็ขอตัวกลับก่อน วันนี้คุยสนุก แต่ไม่รู้สึกสนุกไปกับเรื่องราวเลย ขับรถไป น้ำตาไหลอีกแล้ว วันนี้หนึ่งอาทิตย์พอดีที่เธอบอกเลิกกับผม เป็นหนึ่งอาทิตย์ที่ยาวนานเหลือเกิน ไม่รู้อีกกี่อาทิตย์ที่ผมจะเป็นอย่างนี้

คืนนี้ผมไม่ได้กินเหล้าซักแก้ว