My Empty World

Sunday, May 01, 2005

วันนี้โดดเรียน

วันนี้โดดเรียน

โดดเรียนเพื่อไปเที่ยวกับพวกไอ้ก่อ ผมมาถึงมอชอตอนแปดโมงครึ่งแวะไปกินข้าวเช้าที่ อมช แล้วก็ขับรถต่อมาที่ตึกบริหาร เดินขึ้นไปเซ็นชื่อเรียน แล้วก็เดินลงมาเปลี่ยนเสื้อ เปลี่ยนรองเท้าที่รถ อ่านหนังสือ ฟังเพลงรอสักพักไอ้ก่อ ก็ขับรถมารับ พร้อมสมาชิกคนอื่น ๆ อันได้แก่ แต แฟนไอ้ก่อ น้องตูนน้องสาวแต แล้วก็น้องที่ทำงานอีกสองคน เจี๊ยบกับขิม

พวกเราออกจากมอชอแล้วขับรถแวะไปกินข้าวเช้าที่ร้านข้าวซอยเสมอใจ แถว ๆ ฟ้าฮ่าม เนื่องจากผมกินมาเรียบร้อยแล้วก็เลยนั่งเฉยๆ ร้านนี้เคยได้ยินชื่อมานานแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้มีโอกาสมากินสักที พอได้มา ผมก็ดันกินข้าวมาก่อนแล้วซะอีก เลยไม่หิว

กินข้าวซอยเสร็จเราก็ออกจากร้านขับวนกลับมาตรงแยกข่วงสิงห์ แล้วเลี้ยวซ้ายไปทางแม่ริม สรุปว่าเปลี่ยนจุดหมายจากไร่ชาป่าเมี่ยงที่คิดกันไว้อาทิตย์ที่แล้ว มาเป็นสวนพฤกศาสตร์ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตต์แทน ใช้เวลาไม่นานเลยก็มาถึง ผมเพิ่งเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรก ที่ป้อมหน้าปากทางเก็บค่าเข้าคนละยี่สิบบาท ค่ารถคันละสามสิบบาท

เพิ่งรู้ว่าที่นี่มีต้นไม้ให้ดูเยอะมาก แบ่งเป็นโซน ๆ เช่น โดมของป่าแห้งแล้งที่มีแต่พืชจำพวกกระบองเพชรและทราย โดมป่าดิบชื้นที่มีแต่ไม้อวบน้ำ ไม่ยืนต้นลำต้นสูง เป็นต้นไม้ที่ผมรู้จักบ้าง ไม่รู้จักบ้าง มีน้ำตกเทียม และยังมีท่อเล็กๆ คอยพ่นละอองน้ำออกมาอีกด้วย อยู่ในโดมนี้แล้วเย็นสบายจนไม่อยากออกไปข้างนอก แต่ไอ้ก่อบอกว่าอึดอัด มันคงกลายเป็นคนเมืองไปแล้วผมว่า

อากาศร้อนมาก แต่เราก็ยังเดินต่อไปตามโดมต่าง ๆ ถ่ายรูปไปเรี่อย ๆ จากนั้นก็ไปแวะพักผ่อนกินน้ำที่ตึกที่ขายของที่ระลึก ระหว่างแวะกินกาแฟ เราก็คุยกันด้วยเรื่องเรื่อยเปื่อย แล้วก็มาสู่เรื่องเรียนของผม (เพราะวันนี้ผมโดดเรียนมาเที่ยว) เจี๊ยบถามผมว่าคิดยังไงถึงมาเรียน ประมาณว่ามีเหตุผลอะไรถึงมาเรียน ผมก็นิ่งไป จะตอบไปได้อย่างไร ว่าเธอคนนั้นคือเหตุผลที่ผมมาเรียน เธอที่วันนี้ผมกลายเป็นแค่เพื่อนคนนึงไปแล้ว และผมก็เลือกไม่ตอบ เอาไว้ผมสบายใจก่อนแล้วกัน ท้องฟ้าใส อากาศสวย คนเยอะแยะ แต่ผมกลับเหงาแปลก ๆ
แวะพักผ่อนเสร็จ เราก็ไปเดินดูโน่นดูนี่ต่อ ไปเดินทางเส้นทางศึกษาธรรมชาติ สวนกล้วยไม้ สวนหิน จากนั้นอากาศก็เริ่มครึ้มเหมือนฝนจะตก เราก็เลยตัดสินใจออกจากสวน พฤกษ์ศาสตร์ แล้วก็ขับรถไปต่อ กะว่าจะไปกินข้าวกลางวันกันที่โป่งแยงแอ่งดอย แต่กลายเป็นว่าเหมือนจะมีคนคิดอย่างเดียวกับพวกเราเพราะมีรถจอดเยอะมาก เยอะจนเรามองไม่เห็นว่าจะขับรถเข้าไปได้อย่างไร สรุปก็เลยกลับรถแล้วก็ย้อนกลับมาเชียงใหม่โดยมองหาร้านอาหารระหว่างทาง

สุดท้ายก็มาหยุดที่ร้านปลาเผาข้างทาง คนเยอะเหมือนกัน แต่ก็พอมีที่จอดรถ เราต้องเดินข้ามลำห้วยเล็ก ๆ ไปยังร้าน ระหว่างที่เรากำลังเดินเข้าร้าน ได้ยินเหมือนมีเสียงตะโกนโหวกเหวกของคนหลายคน คิดว่าคงเป็นพวกนักศึกษามารับน้อง ก็ได้แต่หวังว่าคงไม่มารับกันถึงแถว ๆ นี้ การกินข้าวฟังเสียงน้ำไหลก็เพลินดี แต่คงจะไม่ค่อยดีถ้าต้องมีเสียงตะโกนซ้ายหัน ขวาหัน หมอบ มาเป็น เสียงประกอบเพิ่มอีก

เราสั่งปลาเผา ยำไข่ดาว (อันนี้ไอ้ก่อสั่งแล้วก็โดนพวกเรารุมประณาม) ต้มยำปลาบึก ไอ้ก่อถามว่าจะรู้ได้ยังไงว่าเป็นปลาบึกจริงหรือเปล่า ผมบอกให้ดูที่กล้าม
มีใครคนหนึ่งสั่งผัดยอดฟักแม้ว แล้วมันก็นำไปสู่หัวข้อสนทนาเกี่ยวกับหนังเรื่องจดหมายรัก (The Letter) เป็นหนังที่เศร้าน่าดู เหมือนพยายามกดดันบีบคั้นให้คนดูร้องไห้ ผมคิดถึงหนังเรื่องนี้ทีไรก็เศร้า ยิ่งตอนนี้ก็ยิ่งเศร้าไปใหญ่ เพราะเรื่องนี้เป็นหนังเรื่องแรกที่ผมและเธอไปดูด้วยกัน เธอล้อที่ผมน้ำตาไหลในตอนจบของหนัง แต่ก็นั่นแหละ วันคืนเหล่านั้นมันคงไม่ย้อนคืนมาอีกแล้ว ผมก็ได้แต่อยู่แต่ในโลกแห่งความจริง

ระหว่างกินข้าว ฝนตกหนัก อากาศเย็น เราก็ยังคุยกันต่อจนอิ่มหนำสำราญกันดีก็ออกจากร้าน มุ่งตรงกลับมาที่เชียงใหม่

ยังไม่กลับมอชอทันที เราแวะกันที่กาดคำเที่ยงก่อน แวะดูดอกไม้ ต้นไม้ไปตามเรื่องตามราว เห็นดอกกล้วยไม้บางดอกเหมือนกับที่เราเพิ่งขึ้นไปดูมาบนสวนพฤกษ์ศาสตร์ เดินไปเดินมา ขิมกับเจี๊ยบได้ไม้กระถาง(เล็ก ๆ)มาคนละกระถาง แล้วก็ไปได้หมอนอีกสองใบที่ เจ เจ

จากนั้นไอ้ก่อก็มาส่งผมที่ตึกบริหาร ผมบอกมันว่าคืนนี้ผมคงไม่ออกไปกินด้วย เพราะข้อแรก ไม่อยากกินเหล้าในตอนอารมณ์ไม่ค่อยปกติ และข้อสอง แน่นอนว่าในวงเหล้าคงต้องแซวและถามผมว่าตอนนี้ความสัมพันธ์ของผมกับเธอไปถึงไหน ผมคงทำใจลำบากที่จะตอบทุกคนไป
ขับรถกลับบ้าน พาหมาไปเดินเล่น ออกไปปั่นจักรยานเล่นสักพัก กลับมากินข้าว กำลังจะโหลดรูปที่ถ่ายไว้วันนี้ออกมาดู ก็พอดีไอ้ก่อโทรมาอีก บอกว่ามันอยู่ที่ร้านแล้ว และยังไม่มีใครมาเลย โทรหาใครก็ไม่ติด ถ้าไม่มีใครมาเลยอีกสักพักมันจะกลับแล้ว อยากให้ผมมานั่งเป็นเพื่อนหน่อย ผมเห็นว่าไม่มีใครมา คงไม่เป็นไร ก็เลยอาบน้ำแต่งตัวแล้วขับรถไปหามันที่ร้าน กลายเป็นว่าพอไปถึงมีคนมากันแล้วเยอะแยะ พี่เบ พี่นกแฟนพี่เบ ไอ้ตั้ม แล้วก็ไอ้ก่อ

พี่เบคงเห็นผมเงียบ ๆ ไปเลยแหย่มาว่าเป็นไงมั่ง เลิกกับแฟนแล้วเหรอ ถึงซึมๆ ไป ผมก็บอกใช่ครับพี่ ซีเรียส ด้วย ดูแกตกใจที่แหย่มาตรงใจดำผมพอดี แกถามว่าเรื่องมันเป็นมาอย่างไร แต่ผมบอกแกไปว่ารอให้ผมสบายใจกว่านี้ก่อนแล้วจะเล่าให้ฟังอีกที บอกไปน้ำตาก็คลอ ไอ้ตั้มเอาข้อศอกมาสะกิดบอกกูขอโทษ กูไม่รู้ ไม่น่าถามเลย

ไอ้ก่อก็พยายามหาทางออกด้วยการชวนคุยเรื่องอื่น แต่พี่เบก็ยิ่งพยายามจะบอกผมว่า ไม่เป็นไร ผู้หญิงแค่คนเดียว ตัดเลย ไม่เอากูกูก็ไม่ต้องง้อ คนขี้เหร่อย่างผมน่าจะหาได้ดีกว่านี้ ท่าทางพี่แกคงเมามาก่อนแล้ว (แล้วก็มารู้จากพี่นกอีกทีว่าแกกินกับพ่อแกมาก่อนแล้ว) แต่ก็เอาเถอะ เห็นพี่เป็นเดือดเป็นร้อนแทน ผมก็ซึ้งใจ

สักพักพี่เบก็กลับบ้าน(เพราะเมา) พอดีกับพวกพี่ป๋อม พี่โชค พี่เอก มาถึงร้าน เราก็คุยกันเรื่องอื่นต่อไป แต่คืนนี้จะหนักไปทางหุ้น พี่เอก พี่โชค และพี่ป๋อม พยายามจะหว่านล้อมให้ผมกะไอ้ก่อลองกระโจนลงมาเล่นหุ้น นัยว่ามาเป็นพวกเดียวกัน (แมงเม่า?)

พี่โชคด่าว่าวันนี้ผมเลือกโดดเรียนได้ถูกวันมาก(ประชด) อาจารย์เช็คชื่อ แถมมีกิจกรรมเก็บคะแนนในห้องอีกต่างหาก ยังไม่พอยังมีการบ้านอีกด้วย อืมม คนเราพอมีเคราะห์แล้ว มันก็จะชวนเคราะห์ด้านอื่นให้เข้ามาหาอีกด้วย

นั่งที่ร้านถึงห้าทุ่มกว่า ๆ ผมก็ขอตัวกลับก่อน วันนี้คุยสนุก แต่ไม่รู้สึกสนุกไปกับเรื่องราวเลย ขับรถไป น้ำตาไหลอีกแล้ว วันนี้หนึ่งอาทิตย์พอดีที่เธอบอกเลิกกับผม เป็นหนึ่งอาทิตย์ที่ยาวนานเหลือเกิน ไม่รู้อีกกี่อาทิตย์ที่ผมจะเป็นอย่างนี้

คืนนี้ผมไม่ได้กินเหล้าซักแก้ว

0 Comments:

Post a Comment

<< Home