My Empty World

Thursday, November 17, 2005

บินเดี่ยว (ซะงั้น)

วันนี้เดินทางอีกแล้ว
ด้วยความที่เครื่องออกแปดโมงครึ่ง กระเป๋าเดินทางที่กะว่าจะจัดเอาไว้เมื่อคืนก็เลยถูกผลัดมา(ตาลีตาเหลือก)จัดเอาในตอนเช้า รู้สึกว่าตัวเองเฉื่อย ๆ ลงเรื่อย ๆ

เพิ่งรู้ตัวอีกทีตอนกำลังจะออกจากบ้านว่าเมื่อวานซื้อได้แต่รองเท้า หาเข็มขัดไม่ได้
เลยต้องไปเสี่ยงดวงหาซื้อเอาที่สนามบิน โชคดีว่ามีขายพอดี

ติดเอาหนังสือ finance มาอ่านด้วย ไม่คิดว่าจะมีเวลามานั่งอ่านมากนัก แต่ก็เผื่อไว้ก่อน เผื่อว่ามีเวลา

วันนี้ต้องเดินทางไปกับ เดฟ (โดยคำเรียกร้องของลูกค้าที่อยากให้มีระดับซีเนียร์ขึ้นไปมามีตติ้งด้วยมั่ง QBR กี่ทีต่อกี่ที ก็มีแต่ผม – engineer ต๊อกต๋อยบินมาคนเดียว) แต่จนแล้วจนรอด จนเครื่องออกก็ยังไม่เห็นเดฟเลย

มารู้อีกทีตอนมาถึงสิงคโปร์แล้วเช็คอินเข้าโรงแรม เห็นข้อความที่ซิลเวียฝากไว้ที่เคาน์เตอร์โรงแรมว่า เดฟ ติดธุระอยู่ที่โรงงาน มาด้วยไม่ได้

ฉะนั้น คนที่เข้า QBR meeting พรุ่ง่นี้ก็ยังคงเป็นแก๊งเดิม คือ ซีซี ซิลเวีย แล้วก็ผม

วันนี้เดฟไม่มา ก็ไม่ต้องไปกินข้าวเย็นกับ ซีซี แถมซิลเวียก็หยุดงานวันนี้

ก็เลยได้เดินเตร็ดเตร่ไปเรื่อย ๆ แถวถนน Orchard อากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝนพอสมควร

ตลอดความยาวของถนน orchard มีการแสดงนิทรรศการภาพถ่ายประมาณอยู่ในธีมที่ว่า “มองจากมุมสูง” (จำชื่อของเค้าจริง ๆ ไม่ได้)

เป็นการรวบรวมภาพถ่ายที่ถ่ายจากมุมสูงของที่ต่าง ๆ ทั่วโลก (ย้ำว่าทั่วโลกจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นทะเลทราย ป่าแถวบราซิล ขั้วโลกเหนือ) เป็นภาพที่ดูสวยแบบแปลก ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาพคนงานในไร่กำลังตากพริก ภาพที่อยู่ของคนอินเดียที่ยังเป็นดินผสมน้ำปั้นอยู่ ภาพสามเหลี่ยมปากแม่น้ำ ที่กำลังจะออกสู่ทะเล ภาพนกฟลามิงโก้ ….

รู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ติดเอากล้องถ่ายรูปมา ไม่งั้นคงได้ไล่ถ่ายงานถ่ายของเค้ามาอีกที
แล้วอีกห้านาทีถัดมาก็รู้สึกดีใจที่ไม่ได้ติดเอากล้องถ่ายรูปมา เพราะกำลังเดิน ๆ ดู ๆ อยู่ก็เกิดฝนตกหนัก(มาก) ขึ้นมาทันที ถ้าเอากล้องมาด้วยคงเก็บไม่ทัน เพราะกว่าผมจะเดินหาที่หลบฝนได้ก็เปียกมะล่อกมะแล่ก

แล้วก็บังเอิญที่ที่เข้าไปหลบฝนเป็นร้านหนังสือที่ใหญ่มาก ชื่อร้าน Borders

เป็นที่หลบฝนที่ถูกใจจริง ๆ

ช่วงนี้ ใกล้ ๆ จะสิ้นปี เริ่มมีปฏิทินของปี 2006 มาวางขายแล้ว เป็นเหมือนทั้งโปสการ์ดและ ปฏิทิน สวยจนต้องหยิบขึ้นมาดูชัด ๆ แล้วก็ต้องรีบวางลงไปเมื่อเห็นราคาชัด ๆ อีกเช่นกัน

มีหนังสือสือที่อยากได้เล่มหนึ่งเป็น encyclopedia ของ STARWARS อยากได้มาก ๆ เอามาพลิก ๆ ดูหนังสือเล่มนี้เล่าตั้งแต่ต้นกำเนิดของจักรวาล จุดเริ่มต้นของอัศวินเจไดและพวก ซิธ มาจนถึงepisode ที่เอามาทำเป็นหนัง แล้วก็ภาคต่อจากหนังที่มี Dark Jedi มาอีก

เคลิ้ม ๆ จะซื้ออยู่แล้ว แต่ก็ต้องวางลง (เพราะราคาของมันอีกเช่นกัน)

ถ้าใครเป็นหนอนหนังสือมาที่นี่คงชุ่มฉ่ำ ชุ่มฉ่ำ

เพราะนอกจากจะมีหนังสือเยอะแยะมากมายมหาศาลแล้ว ยังมี เก้าอี้เอาไว้ให้คนเลือกซื้อหนังสือนั่งอ่านพักขาด้วย – แน่นอนว่าเก้าอี้พวกนั้นมันเต็มไม่เหลือที่ให้ผมนั่งหรอก – ยิ่งฝนตกแบบนี้คนยิ่งเยอะ

เดินไปเดินมาอยู่ในนั้นจนฝนซา (เกือบสองชั่วโมง) ค่อยออกมาหาของกิน - ไม่ได้หนังสืออะไรติดออกมาเลย

แม้จะไปสิงคโปร์บ่อย แต่ผมก็ไม่คุ้นเคยกับร้านอาหารแถว ๆนั้นเลย เพราะไปครั้งละแค่วันสองวัน แล้วก็มีคนคอยช่วยพาไปเสมอ ฉนั้นคราวนี้ ง่ายที่สุดคือไปกินร้านฟาสต์ฟู๊ด

เบอร์เกอร์คิง คือคำตอบ

นั่งกินแบบกร่อย ๆ อยู่คนเดียว แล้วก็กลับโรงแรม

อ่านหนังสือ (Finance) ได้อีกหน่อยก็ไม่ไหวซะแล้ว

ง่วงจัง

ง่วง....

Wednesday, November 16, 2005

ลอยกระทง(ก่อนกำหนด)

พรุ่งนี่ต้องไปสิงคโปร์อยู่แล้ว ยังไม่มีความรู้สึกว่าต้องเดินทางไกลเลย
คงเพราะปีหลัง ๆ มานี้เดินทางบ่อย แล้วก็เดินทางอยู่แค่ไม่กี่ประเทศ สิงคโปร์ ฮ่องกง จีน แค่นี้เอง
เมื่อสองปีก่อนยังต้องรวมเอาฟิลิปปินส์ไปด้วย แต่ตั้งแต่ที่เราไม่ได้ทำธุรกิจกับ Saturn - หรือพูดให้ถูกคือ Saturn ถูกซื้อไปโดยบริษัทอื่น - ผมก็ไม่ต้องไปฟิลิปปินส์อีก

ช่วงแรกของการทำงานที่นี่รู้สึกเห่อกับการเดินทางมาก แต่หลัง ๆ มาชักเบื่อกับการเดินทาง โดยเฉพาะคราวนี้เมื่อเหลืออีกไม่กี่วัน (จริง ๆ แล้วคือเก้าวัน) ก็จะต้องสอบมิดเทอมแล้ว

ดีกว่าคราวนี้สอบแค่ตัวเดียว – Financial Management – แต่มันก็เป็นตัวที่หินเหมือนกัน ตอนเรียนตัว introduction เคยรู้สึกชอบ ๆ เหมือนกัน แต่พอมาเรียนตัวจริงเข้า ก็เพิ่งรู้สึกถึงความยากของมันได้

วันนี้กะว่าจะรีบกลับบ้านมาเตรียมจัดกระเป๋า เตรียม presentation package ก็ยังไม่วายตามพวกไอ้ก่อไปลอยกระทงอีกจนได้

แต่วันนี้สมาชิกแก๊งลอยกระทงเหลือแค่ไอ้ก่อ กับแฟนมัน เจี๊ยบ แล้วก็ผม

พวกนั้นกะว่าเลิกงานแล้วมาลงรถตู้ที่กาดพยอมแล้วจะไปกินข้าวแล้วก็ลอยกระทงด้วยกันเลย

แต่ติดที่ผมต้องไปแวะหาซื้อ เข็มขัด (ที่ใส่มาจนสายมันขาดไป – เปื่อย) แล้วก็รองเท้า (ที่ก็ใส่มาซะจนมันอ้าปากหายใจได้แล้ว – สามปีพอดี) มาก่อน ภาพพจน์ของบริษัทที่ลูกค้าเห็นวันมะรืนจะได้ไม่ย่ำแย่เกินไปนัก

สรุปก็เลยให้พวกไอ้ก่อมันไปหาข้าวกินกันก่อน แล้วเราค่อยเจอกันที่วัดตอนสองทุ่ม

เราไปลอยกันที่วัดชัยมงคล จริง ๆ ก็อยู่ใกล้บ้านผมนั่นแหละ แต่ผมก็ไม่เคยไปลอยซักที ไอ้ก่อฝอยไว้เยอะว่ามันมาทุกปี คนน้อย บรรยากาศดี ไม่เสียงดัง

แล้วก็เป็นอย่างที่มันฝอยไว้ ค่อนข้างประทับใจที่ได้มาลอยกระทงที่นี่ คนน้อยอย่างที่ว่าไว้ (อาจจะเป็นเพราะวันนนี้ยังไม่ถึงวันลอยกระทงจริง ๆ ก็ได้) แถมยังไม่เสียงดัง เพราะไม่มีคนเล่นประทัด – ในเขตวัดเค้าคงไม่เล่นกันละมัง

เราซื้อกระทงกันแถว ๆ หน้าวัด แล้วก็พากันไปลอยกันที่บันไดท่าน้ำของวัด ค่ำ ๆ อย่างนี้ก็ยังอุตส่าห์มีคนเอานก เอาเต่ามาขาย(ให้คนเอาไปปล่อย) ไม่รู้ว่าปล่อยไปแล้ว นกมันจะพากันบินกลับมาเกาะกิ่งไม้หลับต่อหรือเปล่า

กระทงของผมต้องใช้ความพยายามผลักและดันพอสมควรมันถึงจะยอมออกจากท่า แถมยังลอยแบบเอียง ๆ จะจมมิจมแหล่ซะอีก แต่ก็ยังพอไปต่อไปได้ – เหมือนชีวิตผมตอนนี้ที่มันยังคงเอียง ๆ เพี้ยน ๆ อยู่

ลอยกระทงเสร็จแล้วเราก็มายืนดูเค้าปล่อยโคม ท่าทางคนแถวนี้มีความชำนาญในการปล่อยโคมมาก เพราะประคองโคมไว้แป๊บเดียวก็ขึ้นแล้ว แถมยังขึ้นเร็วอีกต่างหาก

เพิ่งรู้ว่าเคล็ดลับของมันคือ เราต้องเอาตัวโคมมาแกว่งไปแกว่งมาให้มันมีอากาศเข้าไปขังไว้ข้างในก่อน (ทำเหมือนช้อนปลา) พอเราเอามาอังไฟ อากาศมันจะได้ร้อนไว ๆ

เอาไว้ปีหน้ารับรองไม่พลาดแน่ ๆ ติดใจการมาลอยกระทงที่วัดนี้ซะแล้ว

วันนี้ของปีที่แล้วผมลอยกระทงที่ลำพูน ฝนตกพรำ ๆ กระทงหนึ่งใบแต่มีคนสองคนช่วยกันลอย
วันนี้ของปีนี้ ผมลอยที่เชียงใหม่ กระทงหนึ่งใบ แต่เหลือผมคนเดียว
วันนี้ของปีหน้า ไม่ว่าจะมาลอยเป็นหมู่ ลอยเป็นคู่ หรือว่าลอยเดี่ยว…ผมก็จะมาลอยที่วัดนี้อีกทีครับ

Tuesday, November 15, 2005

ไปปล่อยโคมลอยกันเถอะ....

เมื่อวานนี้รับรู้ข่าวร้าย่ของเพื่อนร่วมรุ่นคนหนึ่ง ถึงไม่สนิทนัก แต่เราก็เห็นหน้ากันบ่อย ๆ ตอนเรียน
เพื่อนคนนี้เธอป่วยเป็นโรคร้ายที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นกับคนอายุขนาดเธอ
วันนี้ผมกับเพื่อน ๆ แวะไปเยี่ยมเธอ ที่โรงพยาบาลมา
ถึงแม้ว่าคนที่ไปเยี่ยมเธอมาแล้วพยายามจะบอกว่าให้เผื่อใจเอาไว้บ้าง เพราะว่าสภาพที่ของเธอมันอาจจะแย่กว่าที่เราคาดเอาไว้
แต่พอมาเห็นเธอเข้าจริง ๆ ก็ถึงกับอึ้ง
เราเข้าไปเยี่ยมกันหลายคน แต่ไม่มีใครพูดอะไรออกซักคน
ยืนนิ่ง ๆ ยิ้มให้ และไม่ได้คุยอะไรกับเธอ ได้แต่บอกว่าให้พยายามต่อไปนะ
เธอพยายามขอบคุณ แต่แค่การพูดขอบคุณก็ดูจะเป็นเรื่องยากสำหรับเธอ เธอหอบ และดูเหนื่อยมาก

แม้ปาฏิหารย์จะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยากยิ่งกว่ายาก แต่ถ้ามันจะมีจริง ผมก็ขอให้มีปาฏิหารย์เกิดขึ้นกับเธอคนนี้

- - - - - - - - - - - - - - - -

เสร็จจากเยี่ยมเพื่อน ผมก็แวะไปเจอพวกไอ้ก่อ นัดกับพวกมันไว้ตั้งแต่เย็นว่าจะไปปล่อยโคมลอยด้วยกัน
พวกมันที่ว่าคือ ไอ้ก่อ แฟนมัน ไอ้กวางกับกับแฟนมัน แล้วก็เจี๊ยบ
มีผมแล้วก็แอน(ติดสอยห้อยตามมาตั้งแต่ตอนไปโรงพยาบาลด้วยกันเมื่อกี๊) ตามไปด้วย

เราไปปล่อยโคมลอยกันที่อ่างแก้ว อากาศยังไม่หนาวมาก ฟ้าใส พระจันทร์ส่องสว่าง ถึงแม้มันจะยังไม่เต็มดวงจริง ๆ ก็ตาม (เราสามารถเห็นบางส่วนที่แหว่ง ๆ ของมันได้อยู่)

ไอ้ก่อไปเหมาโคมลอยมาจากไอ้ตั้ม (ซึ่งก็ไปเหมามาจากคนรู้จักแล้วเอามาแบ่งขายอีกที)มาหกโคม

ที่อ่างแก้วมีคนมาปล่อยโคมลอยและเล่นประทัด จุดพลุกันอยู่ก่อนแล้ว บรรยากาศกำลังดี ไม่หนาว แต่ก็ไม่ถึงกับร้อนเกินไป – คงเพราะอยู่ใกล้น้ำ?

นี่เป็นการปล่อยโคมลอยครั้งแรกของผม เคยเห็นแต่เค้าปล่อย พอมาลองทำเองก็เลยตะกุกตะกัก

โคมลูกแรก ๆ เราค่อย ๆ ปล่อยอย่างระมัดระวัง แต่พอลูกหลัง ๆ เราก็เริ่มมีลูกเล่นโดยการเอาประทัดผูกขึ้นไปแล้วก็ปล่อยให้มันตกลงมา (เอาอย่างคนอื่น ๆ เค้าเล่นกัน)

ปล่อยโคมหมด ประทัดเหลือ เราก็เล่นประทัด

ประทัดหมด เงินเหลือ เราก็ไปซื้อประทัดมาเล่นกันใหม่

เล่นกันจนเกือบสี่ทุ่ม ประทัดหมด เงิน(ที่เอามารวม ๆ กัน)ก็หมด ถึงเวลาควรแก่การกลับบ้านได้ซักที

ติดใจ อยากไปเล่นประทัดอีกซักครั้งแฮะ

Wednesday, November 09, 2005

วันเกิด…แฟนเก่า

วันนี้วันเกิดของเธอ คนที่วันนี้กลายเป็นแฟนเก่า

จะมาลืมหรือจำได้เอาตอนนี้ก็คงไม่มีประโยชน์ เพราะ มันก็ผ่านไปแล้ว นานแล้ว

แต่ถึงสมองจะคิดได้อย่างนี้ – แต่หัวใจ (หรือร่างกาย) มันก็ไม่ยอมทำตามที่คิด

แล้วเมื่อคืนผมก็ยังโทรไป Happy Birth Day เธอเข้าจนได้ โทรไปก่อนวันเกิดจริงหนึ่งวัน เพราะยังไงซะ พอถึงวันเกิดเธอจริง ๆ เธอก็คงไม่ว่างมาคุยกะผมอยู่ดี

ดันโทรไปเอาตอนผมกำลังนั่งรถเมล์กลับบ้าน เสียงดัง ก็เลยต้องตะโกนเอานิดหน่อย ขลุกขลักพอสมควร

จากที่ตั้งใจว่าแต่โทรไปพูดสุขสันต์วันเกิดสองสามคำ สองสามนาที ก็กลายเป็นว่าต้องยืดยาวไปอีกเกือบครึ่งชั่วโมง โดยส่วนใหญ่จะเป็นฝ่ายฟังเธอ บ่นเรื่องงานให้ฟัง – หัวหน้าให้งานเยอะ ผู้ร่วมงานใหม่ก็ดูเหมือนจะเอาเปรียบ ….

ถ้าไม่คิดว่าตอนนี้เราไม่ได้เป็นแฟนกันแล้ว เธอก็ยังเหมือนเดิมทุกอย่าง ยังเป็นคนขี้บ่น และก็ยังคงบ่นง้องแง้ง ๆ งุบงิบๆ พร้อมกับใส่อารมณ์ประกอบตามสไตล์ของเธอไปอย่างนั้น

ความรู้สึกเดิม ๆ ที่ผมอยากทิ้งมันไปก็กลับมาอีกครั้ง อยากปลอบเธอ อยากเอื้อมมือไปขยี้หัวเธอ บอกให้เธอหยุดบ่น

ปัญหามีอยู่แค่สองอย่างคือ หนึ่ง เธอไม่ได้อยู่ใกล้ ๆ และ สอง ผมกับเธอตอนนี้เราไม่ได้เป็นแฟนกันแล้ว

รู้สึกเหงาขึ้นมาทันที – เหงาทั้ง ๆ ที่กำลังคุยอยู่กับคนที่คิดถึงที่สุดอยู่นั่นแหละ – เป็นความรู้สึกที่แย่ทีเดียว

รถเมล์จอด บทสนทนาก็จบ ไม่รู้ว่าเพราะหมดเรื่องคุยพอดี หรือว่าเธอแค่อยากคุยเป็นเพื่อนผมจนกว่าจะลงจากรถเมล์

เอ่ยปากลา บอก happy birth day เธออีกครั้ง

สุขสันต์วันเกิดนะครับ……

Tuesday, November 01, 2005

Flight Plan

เหตุผลที่ทำให้ใครคนนึงต้องไปดูหนังคนเดียว
- เขาไม่มีเพื่อนคบ
- เขามีเพื่อน แต่ เขากับเพื่อนชอบดูหนังคนละแนว
- เขามีเพื่อน แถมเพื่อนของเขาก็ยังชอบดูหนังแนวเดียวกัน แต่เขาก็ยังอยากจะดูคนเดียวอยู่ดี

คำตอบของผมคือข้อสาม บวกกับอารมณ์เรื่อยเปื่อยนิดหน่อย วันนี้เลิกงานแล้ว พวกขิมชวนกันไปกินฮะจิบังราเม็ง ที่โรบินสัน ผมก็ไปกับพวกเขาด้วย มีขิม เจี๊ยบ ไอ้ก่อ กระแตแฟนไอ้ก่อ แล้วก็ผม

ชื่นชอบราเม็งร้านนี้เป็นพิเศษ ไม่มีอะไรมาก เพราะว่าไม่ชอบโออิชิราเม็ง แค่นั้นเอง

กินกันอิ่มแล้ว ทุกคนก็กำลังจะกลับ แต่ด้วยอารมณ์ไหนของผมก็ไม่ทราบได้ สุดท้ายก็ตัดสินใจอยู่ต่อ เพื่อดูหนังคนเดียว มาตัดสินใจเอาปุบปับตอนนี้ก็เลยไม่ค่อยมีหนังให้เลือกเยอะ ซักเท่าไหร่

แต่ก็จ่ายเงินซื้อตั๋วเข้าไปดูรอบสองทุ่มครึ่ง

เป็นหนังเรื่อง Flight Plan นำแสดงโดย โจดี้ ฟอสเตอร์

ภาพของโจดี้ สมัยแสดงเรื่อง Silence of the lamb คงติดตาผมมานานเกินไป พอมาเห็นเจ้าตัวเข้าในหนังเรื่องนี้ ทำให้รู้สึกว่าเธอแก่ไปมาก ซึ่งจริง ๆ ก็ควรจะเป็นเช่นนั้น เพราะมันก็ผ่านมาตั้งสิบกว่าปีแล้ว (หรือถึงยี่สิบบีแล้ว?) – แต่แก่ก็ยังสวยนะครับ

เรื่องมีอยู่ว่า โจดี้ เป็นวิศวกร(หญิง)ออกแบบระบบเครื่องยนต์ของเครื่องบิน (และคงออกแบบเครื่องบินด้วย)ที่เพิ่งสูญเสียสามีไป และ กำลังพาลูกสาวกลับมาแผ่นดินเกิดอเมริกา ซึ่งก็เดินทางด้วยเครื่องบินลำที่เธอออกแบบมากับมือนั่นแหละ

ระหว่างทาง เมื่อเธอเผลอหลับไปด้วยความเหนื่อยจากการเดินทางแล้วตื่นขึ้นมาไม่พบลูกสาวตัวเอง ไม่ว่าจะค้นหาทั้งลำแล้วก็ตาม

ที่สำคัญคือไม่มีใครสักคนบนเครื่องที่บอกว่าเห็นเธอเดินทางมาพร้อมลูกสาว

สถานการณ์กลับกลายเป็นว่าทุกคนมองว่าเธอมีอาการทางจิตเนื่องมาจากการสูญเสียสามีไป - และในบางทีเธอเองก็กำลังคิดเช่นนั้นด้วย.....

หนังดำเนินไปอย่างน่าติดตาม โดยมีโจดี้เป็นศูนย์กลางของเรื่อง แต่เมื่อดูจบแล้ว ก็ให้ตงิด ๆ ถึงความอ่อนของเหตุผลในเนื้อเรื่อง

ข้าง ๆ ที่นั่งของผมเป็นแหม่มตัวกลมสองคนมาดูหนังด้วยกัน ออกอาการลุ้นอย่างมาก เช่นตอนที่นางเอกเอาถังดับเพลิงทุบหัวคนร้าย แหม่มสองคนนี้ก็ตะโกนออกมาว่า ...เยสสส....

ผมได้แต่นั่งเงียบและพยายามไม่ทำให้แหม่มสองคนนี้เค้าเคือง...

เกือบห้าทุ่ม....หนังจบแล้ว ออกมาข้างนอก ฝนตกปรอย ๆ แสงไฟข้างถนนทำให้เห็นเส้นฝนโปรยออกมาเป็นละออง เป็นความสวยไปอีกแบบ

คืนนี้คงหลับสบาย....

Thursday, September 08, 2005

ฟุ้งซ่านก่อนสอบ

อยากหัดถ่ายรูป(อย่างเป็นจริงเป็นจัง)
อยากวาดรูปประกอบนิทาน (หาคนจ้างอยู่)
อยากเช่าหนังซีรี่ย์ อย่าง Band of Brothers มาทั้งชุดแล้วก็นอนเอกขเนกดูมันทั้งวัน
อยากมีเวลานั่งเขียน(พิมพ์)หนังสือ ให้มากกว่านี้ (กำลังมีพล๊อตใหม่อยู่ในหัว)
อยากมีเวลามารื้อฟื้น Auto CAD ที่นับวันจะยิ่งเข้าหม้อ
อยากหัด Illustrator ให้เป็นมากกว่านี้ (หลังจากถนัดแต่ Macromedia Freehand แล้วกลายเป็นแกะดำ ที่ไม่มีใครคบ)
อยากขึ้นไปนอนกางเต็นท์บนดอย ตื่นมาถ่ายรูปเล่นตอนเช้า
อยากหัดทำขนมอบ
อยาก upgrade คอมพิวเตอร์ แล้วไปซื้อ Doom3 มาเล่นให้สะใจ
อยากเอาจักรยานไปซ่อม(ซักที)

ความอยากทั้งหลาย เหล่านี้มักจะผุดขึ้นมาในช่วงที่ผมไม่ค่อยเวลา – โดยเฉพาะเวลาที่กำลังจะสอบ – อย่างนี้เป็นต้น

จะสอบอีกแล้ว รู้สึกเหมือนเพิ่งจะสอบไปเมื่อไม่กี่อาทิตย์นี้เอง วันเสาร์ อาทิตย์ นี้จะสอบอีกแล้ว

แต่คราวนี้ผมมีเวลามากกว่าทุกครั้ง เพราะงานไม่ยุ่ง แล้วก็เลยถือโอกาสลางานสองวันติดกันเลย (วันนี้ และวันพรุ่งนี้)

มีเวลาสองวัน ตอนเช้าวันนี้ก็เลยถือโอกาสไปทำสิ่งที่ตัวเอง ผัดวันประกันพรุ่งมาแสนนาน – ไปหาหมอฟัน –

เป็นการผัดวันประกันพรุ่งที่นานมาก นานตั้งแต่ผมเริ่มทำงานใหม่ ๆ แล้วก็มีข้ออ้างว่างานยุ่ง จนไม่มีเวลา จนจุดดำน่ารักบนฟันกรามด้านซ้าย มันค่อย ๆ ขยายออกมาจนโหว่อย่างน่ากลัว อาการเสียวฟันเริ่มออกอาการเวลาดื่มน้ำเย็น ๆ หรือกินของเย็น ๆ

วันนี้ก็เลยได้ฤกษ์ไปตรวจเสียที เมื่อวานโทรไปนัดเวลาว่างที่คลินิก แถว ๆ ประตูเกษตร มอชอ เอาไว้ ก็เลยได้เวลาสบาย ๆ เข้าไปตรวจตอนสิบโมง ผลปรากฏว่า………..

มีฟันผุที่กรามล่างซ้าย 2 ซี่ แบบรุนแรงหนึ่งซี่ (ซี่ที่ส่องกระจกเห็นเอง)แบบเบาะ ๆ อีกหนึ่งซี่
ที่กรมล่างขวาแบบเบา ๆ อีก 2 ซี่
ที่กรามบนซ้าย และ บนขวา แบบเบา ๆ อีกข้างละ 2 ซี่
มีฟันคุดโผล่ออกมาที่กรามบนขวา 1 ซี่
มีหินปูนเกาะเยอะพอสมควร

สรุปวันนี้ผมก็เลยทำแบบเร่งด่วนก่อนคือ อุดฟันซี่ที่ผุรุนแรงสองซี่ทางด้านกรามล่างซ้าย แล้วก็ขูดหินปูน - งานนี้ทำเอาเลือดกลบปาก

ซี่ผุ ๆ ที่เหลือ เอาไว้มาต่อกันวันหลัง

คุณหมอบอกว่าให้พยายามเคี้ยวด้วยกรามขวาไปก่อน สักวันสองวัน แล้วค่อยเคี้ยวได้ตามปกติ แต่เวลาเคี้ยวด้วยกรามซ้ายจะรู้สึกว่ามันขบกันไม่สนิท แต่ไม่เป็นไรเพราะเรซิ่นที่อุดทางด้านบนของฟันมันจะค่อย ๆ สึกและจะขบรับกับฟันกรามบนได้พอดี

เพราะฤทธิ์ยาชาทำให้ผมต้องเป็นคนปากห้อย (ไปครึ่งปาก) พูดไม่ชัด ไปอีกสองสามชั่วโมงหลังอุดฟันเสร็จ

ทำฟันเสร็จแล้วก็เที่ยง โทรหาไอ้เจมส์ มันกำลังจะออกไปกินข้าวกลางวันพอดี ก็เลยแวะมารับผม แถว ๆ คลินิก พร้อมกับพรรคพวกครบแก๊งค์ ไอ้น้อย ไอ้นา ไอ้โป้ง – พากันไปกินเย็นตาโฟศรีพิงค์

แล้วฤทธิ์ยาชาก็ทำให้ผมได้รับประสบการณ์ใหม่ในการกินก๋วยเตี๋ยว คือเวลาซดน้ำแกงมันจะร้อนเพียงครึ่งเดียว (เพราะอีกครึ่งนึงมันชาอยู่ ไม่รับรู้ความร้อน) แล้วมันก็จะไปอุ่นต่อในท้อง

คล้าย ๆ กับสัญญาณขาดหายไปชั่วคราวตอนกำลังผ่านริมฝีปาก กระพุ้งแก้ม ลิ้น แล้วสัญญาณก็มาเชื่อมต่อใหม่กันอีกทีที่คอหอย

กินไป ซึมซับกับประสบการณ์ใหม่ไปจนเย็นตาโฟหมดถ้วย แล้วก็เพิ่งนึกออกว่า เพิ่งไปขูดหินปูนมา – คิดอยู่กว่าการขูดหินปูนมันเป็นการทำให้เคลือบฟันสึกด้วยหรือเปล่า – แล้วเราก็มานั่งซดเย็นตาโฟซอสแดงแจ๋อยู่อย่างนี้

รีบไปส่องกระจก ด้วยอุปาทาน หรือ อะไรก็ตามทำให้ผมเห็นฟันด้านในเป็นสีขาวอมชมพู อย่างผิวมีสุขภาพดี เพียงแต่สีแบบนี้มันไม่ควรมาอยู่บนผิวฟัน เลยต้องรีบบ้วนปากหลังอาหารอย่างรวดเร็ว (และรุนแรง) โชคดีที่สีมันไม่ติดทนนานอย่างที่กลัวไว้

หลังอาหารก็แยกย้ายกันกลับ ไอ้น้อยมาส่งผมแถวคลินิก แล้วผมก็ขับรถเข้ามาอ่านหนังสือต่อที่ห้องสมุดคณะบริหาร

ด้วยความอิ่ม และแอร์เย็น ๆ ตอนบ่าย ผมก็สะลึมสะลือ จนอ่านหนังสือแทบไม่รู้เรื่อง

ไม่เป็นไรน่า....ยังมีพรุ่งนี้เหลืออีกวัน....

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

เมื่อยามที่สายลม พัดโชยผ่าน ดั่งเป็นสัญญาณพาใจให้หวั่นไหว
เพ้อไปถึงใคร ที่ลาร้างไกล จากไปนาน...แสนนาน

เนิ่นนานสักเท่าไร...ฉันยังจำ ถ้อยทำของเธอเป็น...แค่คำหวาน
พลิ้วเพียงลมผ่าน ไม่มีทิศทาง ไม่เคยจริงใจ

ทำใจมานานและไม่คิดที่จะจดจำ แต่ลมยังทำใจฉันล่องลอยไป
ลืม อยากจะลืมความช้ำใจครั้งที่เท่าไหร่ที่หวั่นไหวไปกับสายลม

ใจที่ลอยอยู่....ขอคืน อยากมีสักคราว ที่ฝืนใจหยัดยืนต้านทาน
หยุดคิดถึงเธอสักครั้ง ให้ใจไม่ลอยไปถามหาเธอ

....ฮืมม.....

ทำใจมานานและไม่คิดที่จะจดจำ แต่ลมยังทำใจฉันล่องลอยไป
ลืม อยากจะลืมความช้ำใจครั้งที่เท่าไหร่ที่หวั่นไหวไปกับสายลม

ใจที่ลอยอยู่....ขอคืน อยากมีสักคราว ที่ฝืนใจหยัดยืนต้านทาน
หยุดคิดถึงเธอสักครั้ง ให้ใจไม่ลอยไปถามหาเธอ

ขอเพียงสักครั้ง...ให้ใจไม่ลอยไปคิดถึงเธอ.....

- - - - - - - - - - - - - - - - - - -
และแล้วก็ล่วงเลยมาเวลาดึก อ่านหนังสือไป เปิดเพลงฟังไป แล้วก็เจอเอาเพลงนี้ อดไม่ได้ที่จะหยุดฟัง ร้องตาม แล้วก็ต้องเอามาเขียนลงในบันทึก

เพลง “ลม” ของสุเมธ แอนด์ เดอะปั๋ง

ก็เป็นแค่ลมหนาวที่เข้ามากระทบ และแม้ว่าผมจะอยากให้มันเป็นลมพัดหวน

แต่ก็คงไม่มีวันนั้นแล้ว

(ขอแอบเหงาเล็ก ๆ แต่ไม่รุนแรง สักวัน)

Monday, September 05, 2005

ช๊อคโกแลต....ช๊อคโกแลต

ในที่สุดวันนี้ก็ได้โอกาสไปดูหนังอีกเรื่องที่รอดูมานานจนได้ – ชาลีกับโรงงานช๊อคโกแลต - หนังที่สร้างมาจากหนังสือ(สำหรับเด็ก ๆ) ของ โรอัล ดาห์ล

ชาร์ลี กับ โรงงานช๊อคโกแลต เป็นเรื่องราวของ เด็กผู้ชายนามว่า ชาร์ลี ที่เกิดมาในครอบครัวที่ค่อนข้างที่จะยากจน(มาก ๆ) ในแต่ละปี ชาร์ลีจะได้กินช็อคโกแลตแค่หนึ่งแท่งเท่านั้น ในวันเกิดของตัวเอง

เรื่องเริ่มขึ้นเมื่อวิลลี่ วองก้า เจ้าของโรงงานช๊อคโกแลตมหัศจรรย์ (ที่โรงงานของเขาไม่มีพนักงานแม้แต่คนเดียว ไม่มีคนเข้า-คนออกจากโรงงาน แต่กลับมีช็อคโกแลต ขนมหวานแสนอร่อยออกมาจำหน่ายอย่างสม่ำเสมอ) ใกล้ ๆ บ้านของชาร์ลี ออกมาประกาศว่า เขาได้แอบสอดตั๋วทองคำจำนวนห้าใบไว้ในชอคโกแลตที่ส่งขายทั่วโลก เด็ก ๆ ที่ได้ตั๋วใบนี้ห้าคนจะได้รับสิทธิ์ให้มาเยี่ยมชมโรงงานของเขาได้

(ขอแทรกนิดนึงว่า รู้สึกว่านาย วิลลี่ วองก้า กำลังใช้กลยุทธ์เดียวกับ คุณตัน โออิชิ ที่มีโปรแกรม สามสิบฝา สามสิบล้าน ที่เข้ามาเพิ่มยอดขาย ของชาเขียวโออิชิ อย่างมหาศาล – เกินกว่าสามสิบล้านไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า, ในทำนองเดียวกัน นายวิลลี่ วองก้า คงเห็นยอดขายของช็อคโกแลตของตัวเองเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลหลังมีโปรแกรม ตั๋วทองห้าใบแน่นอน)

แน่นอนว่าเหมือนกับเด็ก ๆ ทุก ๆ คนในโลก ชาร์ลีก็หวังที่จะได้เป็นเจ้าของตั๋วทองคำกับเขาเหมือนกัน แต่ก็อย่างว่า ชาร์ลีมีโอกาสซื้อชอคโกแลตได้แค่ปีละแท่งในวันเกิดของเขาเท่านั้น และเหมือนจงใจแกล้ง เมื่อวันเกิดของเขามาถึง ช็อคโกแลตที่เขาได้รับเป็นของขวัญในวันเกิดก็ไม่ได้มีตั๋วทองคำสอดอยู่ หรือแม้แต่คุณปู่จะเอาเงินแอบที่เก็บไว้มาให้ชาร์ลีออกไปซื้ออีกแท่ง ก็ยังไม่เห็นวี่แววความโชคดีอยู่ดี

แต่โชคมักจะมาในเวลาที่เราแทบไม่เหลือศรัทธา ชาร์ลีออกไปนอกบ้านอย่างเศร้าสร้อย เขาเก็บเงินที่ตกอยู่กับพื้นได้ และนำไปซื้อช็อคโกแลต – ในคราวนี้ปรากฏว่ามีตั๋วทองคำสอดอยู่ในช็อคโกแลตแท่งนั้น....เรื่องราวมหัศจรรย์ก็เริ่มขึ้นนับแต่นั้น.....

แทบทุกอย่างออกมาอย่างที่ผมเคยจินตนาเอาไว้ตอนอ่านหนังสือครั้งแรก ยกเว้นวิลลี่ วองก้า (จอห์นนี่ เด็ป) ที่ดูหนุ่มไปนิด บ้านของชาร์ลี ที่ดูโทรมและก็เล็กมากกว่าที่คิดไว้ แล้วก็แม่น้ำช๊อคโกแลตในโรงงานที่ดูสีสันจัดจ้านไปหน่อย

ที่ชอบมาก ๆ คือพวกอุมป้าลุมป้าส์ ที่ออกมาเต้น(แบบหน้าตาย ๆ) พร้อมกับร้องเพลงประกอบเวลาที่มีเด็กเกเรโดนลงโทษ (จริง ๆ คือสั่งสอน)

เห็นมีอุมป้าลุมป้าส์ที่ยิ้มได้อยู่คนเดียว คือตัวที่ทำหน้าที่เป็นจิตแพทย์ให้กับ วิลลี่ วองก้า

กำลังมีทฤษฎีว่าตัวละครที่หน้าตาเหมือนกันเยอะ ๆ ในหนังมักจะไม่มีอารมณ์เป็นของตัวเอง สังเกตได้จาก อุมป้าลุมป้าส์(ในเรื่องนี้) และ เอเจ้นท์ สมิทธิ์ ในเรื่อง The Matrix – ตอนแบ่งตัวเองเป็นร้อยตัว.... ทุก ๆ ตัวทำหน้าตาและตามอารมณ์เหมือนกันหมด – ไร้ซึ่งอัตตา...

ถึงจะเป็นเรื่องราวของโรงงานช็อคโกแลต แต่สาระหาได้อยู่ที่ตัวช็อคโกแลต แต่มันคือสิ่งที่อัจฉริยะ(ทางการประดิษฐ์)อย่างนาย วิลลี่ วองก้า ได้เรียนรู้จากเด็กน้อย ชาร์ลี ความสำเร็จเท่าไรก็ไม่มีความหมาย ถ้าหากขาดสิ่งที่เรียกว่าครอบครัวมาเติมเต็ม ชาร์ลีปฏิเสธการได้มาทำหน้าที่บริหารโรงงานช็อคโกแลตอันแสนมหัศจรรย์หากเขาต้องตัดขาดจากครอบครัวตามข้อเสนอของวิลลี่ .... ทำเอาวิลลี่ถึงกับอึ้งไป

อย่างไรก็ตาม หนังก็มีวิธีการคลี่คลายตัวของมันเอง ให้จบแบบ แฮปปี้เอนดิ้ง

แล้วนี่ก็เป็นตอนประทับใจ ในหนังเรื่องที่แสนประทับใจอีกเรื่องของผม....

อารมณ์ตกค้างหลังจากเห็นช็อคโกแลตอันละลานตาในหนังทำให้ผมกับอิ๊กโตโร ต้องสั่งขนมปังปิ้งหอมฉุยแผ่นหนา จิ้มช๊อคโกแลต เอามากินหลังดูหนังเสร็จ จิ้มเอา จิ้มเอา อย่างเพลิดเพลิน...

แล้วช็อคโกแลตก็กำลังจะทำให้เราตาบอด....จนมองไม่เห็นความจริง (ถึงน้ำหนักตัวที่กำลังขึ้นเอา ขึ้นเอา)