My Empty World

Saturday, April 30, 2005

Eternal sunshine of the spotless mind

วันนี้เป็นวันแรกของการเปิดเรียน ตื่นมาตั้งแต่หกโมงกว่า ทั้ง ๆ ที่เริ่มเรียนเก้าโมง มัวแต่เหม่อ อ้อยอิ่งทำนู่นทำนี่อยู่จนกว่าจะได้ออกจากบ้านก็แปดโมงครึ่ง
ตอนจะขับรถออกจากบ้าน เผลอเอาโทรศัพท์มือถือวางไว้ใน ที่จับประตูรถด้านใน มันทำเป็นร่องสำหรับให้เราเอามือเข้าไปจับ ดึงประตูปิด แต่ผมก็วางมือถือลงไป โชคร้ายที่ขนาดของมือถือกับขนาดของร่องนี้มันเท่ากันพอดี ผมเลยเอามือถือออกมาจากที่จับประตูไม่ได้ ต้องเดินเข้าบ้านไปรื้อหาไขควงอันเล็กมางัดออก ทำเอาโทรศัพท์เป็นรอยหมด รู้สึกวันนี้วุ่นวายแต่เช้า กว่าจะได้ออกจากบ้าน

มาถึงที่คณะบริหารก็เริ่มมีคนเข้ามาบ้างแล้ว เข้าไปลงชื่อเข้าเรียน แล้วก็ เอาเอกสารประกอบการเรียนมาเปิดดูพลาง ๆ ก่อน วันนี้เริ่มเรียนเป็นวันแรก ตามตารางสอนจะเรียนตัว เศรษฐศาสตร์จุลภาค เท่าที่ดูเหมือนจะเคยเรียนมาเหมือนกันตอน ECON100 สมัยปริญญาตรี แต่ก็อย่างที่หลักสูตรบอก อันนี้เหมือนเป็นการ refresh ความรู้เก่า ๆ ของคนที่มีพื้นฐานมาบ้างแล้ว

เท่าที่ดูบรรยากาศรอบๆ ห้องเรียน ดูเหมือนว่า ผมจะอยู่ในกลุ่มที่แก่เป็นอันดับต้นๆ ของห้องได้ทีเดียว ส่วนมากยังหน้าอ่อน ๆกันทั้งนั้น น้องบางคนเพิ่งเรียนจบตรี แล้วมาเรียนต่อโทเลยก็มี

อาจารย์ที่สอนเป็นดอกเตอร์จากคณะเศรษฐศาสตร์ ยังดูหนุ่มอยู่ สอนๆ ไปมียิงมุขมาเรื่อย ๆ ฮากันกลิ้ง พี่โชคยังบอกว่าอย่างนี้น่าจะชวนอาจารย์ไปกินเหล้า สงสัยได้ยิงมุขตกเก้าอี้กันไปข้าง การสอนของอาจารย์จะเป็นแบบอ้างอิงมาจากเอกสารการสอน แต่ว่าไม่ได้ follow ทุกสเต็ป ส่วนใหญ่จะอ้างอิงจากกรณีศึกษา ซื่งอันนี้ผมชอบมาก เพราะคิดว่าพวกเนื้อหานี่เราสามารถไปหาอ่านเอาเองได้ในเอกสารประกอบการเรียน หรือหนังสือเทกซ์บุ๊คต่าง ๆ แต่ พวกกรณีศึกษา พร้อมแนวความคิดวิเคราะห์นี่น่าสนใจกว่า ฟังแล้วไม่เบื่อ

ตอนกลางวันไปกินข้าวกันที่ อมช มีพี่โชค พี่เอ๋ พี่ป๋อม(มารับส่งพี่เอ๋) แล้วก็พี่ต้น ไปกินด้วยกัน (เพราะก็ไม่รู้จะไปกินกันที่ไหน) ไม่ได้กินข้าวที่ อมช มานานแล้ว(ในฐานะนักศึกษา) ขนาดวันนี้เป็นวันเสาร์คนยังเยอะมาก แทบไม่มีที่นั่ง พี่ป๋อมบอกว่า ถ้าเปิดเทอมจริง ๆ นี่คนจะเยอะกว่านี้ซะอีก เพราะว่ามีพวกโปรแกรมภาคพิเศษอื่น ๆ มาเรียนเยอะ ไม่ว่าจะเป็น เศรษฐศาสตร์ สังคม อื่น ๆๆๆ วันนี้รู้สึกกินข้าวกลางวันได้เยอะ คงเพราะเมื่อเช้าไม่ได้กินอะไรมาเลย อาการผมคงดีขึ้น กินได้ นอนหลับ

กลับมาเรียนต่อตอนบ่ายกับอาจารย์คนเดิม เกือบ ๆ ง่วง แต่อาจารย์แกก็ปล่อยมุขออกมาตลอดไม่เบื่อ พอสอนถึงสามโมงครึ่งอาจารย์ก็สอนหมดเนื้อหาแล้ว เลยปล่อยก่อน บอกว่าอีกหนึ่งชั่วโมงจะมาแถมให้ในวันพรุ่งนี้ มีอย่างนี้ด้วย

เนื่องจากห้องพวกผมเรียนกันเสร็จก่อนก็เลยลงมารอพวกพี่เอ๋อยู่ข้างล่าง กะว่าจะหาที่ไปกันต่อ เพราะว่าวันนี้พี่โชคก็ไม่ได้สอนหนังสือแล้ว ผมก็แค่อยากเกาะใครบางคนไปเรื่อย ๆ เพื่อจะได้ไม่ต้องอยู่คนเดียวแล้วจะคิดถึงเธออีก สักพักพี่ป๋อมก็ถามถึงเธอว่าวันนี้ไม่ไปไหนด้วยกันเหรอ ตอนนี้ฟรีอยู่ อีกหน่อยเปิดเทอมระวังจะโดนคุมแจนะ ผมก็ได้แต่สะอึกในใจ อยากบอกพี่แกไปเหมือนกันว่าตอนนี้ผมกับเธอเป็นอดีตไปแล้ว แต่ก็พูดไม่ออก กลัวว่าจะหลุดสะอื้นออกมาให้พวกพี่ ๆ เห็น ซึ่งมันคงเป็นภาพที่ไม่ค่อยน่าดูซักเท่าไหร่นัก

หมดอารมณ์ที่จะขอติดไปกับพวกพี่ ๆ ต่อ ผมเลยขับรถออกมาแล้วไปนั่งจมอยู่ที่ร้าน Kopi Gusto ใต้คณะวิศวะ ร้านเดิมๆ ที่ผมชอบมานั่งจิบกาแฟและโทรหาเธอในวันเสาร์ที่เธอทำงาน เบื่อตัวเองที่เป็นคนเซนซิทีฟไปหน่อยที่เห็นอะไร เจออะไร หรือใครพูดอะไรเกี่ยวกับเธอ แล้วก็สะอึก น้ำตาซึม

นั่งอ่านหนังสือไปสักพักฝนก็ตก เลยต้องย้ายตัวเข้ามาอยู่ในส่วนแห้ง (และเย็นฉ่ำ)ในห้องกระจกติดแอร์ วันนี้คนน้อย คงเป็นเพราะว่ายังเป็นช่วงซัมเมอร์อยู่

อ่านนิตยสาร มีบทสัมภาษณ์ น นพรัตน์ นักแปลนิยายกำลังภายในมือฉมัง และจากที่อ่านมาดูเหมือนว่าเหลือแกคนเดียวในตอนนี้ที่ยังนับเป็นมังกร แห่งยุทธจักรหนังสือกำลังภายในอยู่ จริง ๆ น นพรัตน์ นี้เป็นนามปากกาที่สองพี่น้องช่วยกันแปลคือ คุณ อานนท์ และ คุณอำนวย ซึ่งแปลนิยายกำลังภายในมาได้สามสิบเก้าปีแล้ว แต่ตอนนี้เหลือแต่คุณอำนวยคนเดียว เพราะคุณอานนท์ได้เสียชีวิตไปตั้งแต่ปีสี่สาม หรื่อ สี่หก (ไม่แน่ใจ) อ่าน ๆ ดู แกมีลิสต์นิยายที่รักอยู่ด้วยคือ แปดเทพอสูรมังกรฟ้า กระบี่เย้ยยุทธจักร ดาวตกผีเสื้อกระบี่ ฤทธิ์มีดสั้น และมังกรคู่สู้สิบทิศ ผมเคยอ่านแต่ มังกรคู่สู้สิบทิศ ในรูปของนิยาย และ แปดเทพอสูรมังกรฟ้าในรูปของ การ์ตูน ส่วนเรื่องที่เหลือ ตั้งใจว่าถ้ามีเวลาจะไปหามาลองอ่านดู

อ่านหนังสือไปได้สักพัก ไอ้เจมส์และไอ่นา ก็แวะเข้ามากินกาแฟที่ร้านเหมือนกัน ก็นั่งเป็นเพื่อนกันคุยอะไรไปเรื่อยเปื่อยเกี่ยวกับเรื่องเรียนปริญญาโท จนเกือบหกโมงก็ได้เวลาแยกย้ายกันกลับ ระหว่างเดินไปที่รถ ไอ่เจมส์ก็ถามคำถามเดียวกับพี่ป๋อมเมื่อบ่ายนี้ว่า ไม่นัดเจอเธอบ้างเหรอ ผมก็ได้แต่ยิ้ม แต่ก็ไม่ได้บอกอะไรมันไป มันยังบอกอีกว่า ระวังห่างเหินกันนะ นี่เป็นจุดเริ่มต้นของความห่างเหิน ผมก็อยากจะบอกมันไปว่ามันเลยจุดนั้นมาแล้ว มันมาถึงจุดที่แย่กว่านั้นไปซะแล้วเพื่อน แต่เอาไว้ก่อน รอให้ผมทำใจให้หายดี รอให้ผมหายเศร้ากว่านี้ก่อน ผมจะเดินไปตบไหล่มันแล้วบอกว่า เออ โทษที เราเลิกกันแล้วว่ะ

ปกติช่วงนี้เวลาขับรถ ผมจะพยายามไม่เปิดเพลง เพราะรู้สึกว่าฟังเพลงไหนมันก็โดนหมด เศร้าไปหมด เลยพยายามไม่เปิดเพลงฟังซะเลย ขับรถไป คิดอะไรไปคนเดียว แต่ก็นั่นแหละ อยู่คนเดียวเงียบ ๆ มันก็อดคิดถึงเรื่องผมกับเธอไม่ได้ ยิ่งมีคำพูดของเจมส์มันกระตุ้นเมื่อกี๊แล้ว มันอดสะอื้นน้ำตาคลอไม่ได้ จนขับรถไปได้สักพักฝนตก จนมันเริ่มตกหนักถึงเพิ่งรู้ตัวว่าไม่ได้เปิดที่ปัดน้ำฝนที่หน้ากระจกรถ ก็จอตาของผมมันมีน้ำมาคลอเหมือนกันนี่นา
เคยดูหนังเรื่อง Eternal Sunshine of the spotless mind เป็นเรื่องเกี่ยวกับหญิงชายคู่หนึ่งซึ่งเป็นแฟนกัน รักกัน แล้วก็ทะเลาะกัน จนผู้หญิงตัดสินใจว่าจะลืมเรื่องราวของผู้ชายคนนี้ออกให้หมด เธอจึงไปหาหมอที่คลินิกแห่งหนึ่งเพื่อทำการลบความทรงจำที่มีของผู้ชายคนนี้ออกไปให้หมด ซึ่งก็ได้ผล วันถัดมาเมื่อผู้ชายคนนี้ตามมาง้องอนเธอ เธอกลับจำอะไรเกี่ยวกับเขาไม่ได้เลย

ตอนนี้ผมก็คงรู้สึกอย่างนี้เหมือนกัน อยากจะลืมทุกอย่างที่เป็นเธอไปให้หมด กลับไปดูรูปที่เราเคยถ่ายไว้ด้วยกันตอนไปเที่ยว รูปที่ผมใช้ ปาล์มถ่ายเธอในวันแรกที่เรานัดพบกัน จำได้ว่าเสื้อที่ใส่มันคือเสื้อตัวเดียวกันกับที่เธอใส่มาเพื่อบอกเลิกผมอาทิตย์ก่อน

คิดแล้วก็เศร้า

บางทีการเป็นคนความจำดีเกินไป มันก็ไม่ดีอย่างนี้นี่เอง รายละเอียด เล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ยังเก็บเอามาจำแล้วมันก็ทำให้เราต้องมาเจ็บปวดเอง

สักวันผมคงดีขึ้น

0 Comments:

Post a Comment

<< Home