My Empty World

Thursday, April 28, 2005

วันวุ่นวาย

วันนี้พยายามคิดว่าอาการน่าจะดีขึ้น
ตื่นมาตอนเช้าอากาศค่อนข้างเย็น ชื้น ทำให้อ้อยอิ่งไม่ค่อยอยากลุกจากที่นอน แต่ก็นั่นแหละ หน้าที่มีต้องทำ ลุกมาอาบน้ำ น้ำตาเช้าวันนี้มีน้อยกว่าเมื่อวาน ก็ได้แต่หวังว่าพรุ่งนี้มันจะน้อยลงกว่าวันนี้

งานวันนี้ค่อนข้างยุ่งแต่เช้า มีconference call กับทีมที่อเมริกา กลายเป็นว่าผมต้องทำ summary report เรื่องปัญหาที่เกิดกับงานส่งออกไปให้ทีมที่อเมริการิวิว ภายในวันนี้

ออกจากห้องประชุมมา มีเมล์มาจากลูกค้า ด้วยความที่ไม่พอใจที่เรามีการ response ในเรื่องปัญหาที่เกิดขึ้นช้าไปหน่อย ลูกค้าต้องการให้เราส่งทีม engineer ไปหาที่จีนในต้นเดือนหน้า (วันที่ 10) เพื่ออธิบายถึงปัญหาที่เกิดขึ้น

แน่นอนว่าทางเราก็ต้องส่งทีม engineer ไป ซึ่งทีมเอนจิเนียร์ที่ว่านี่คือ ผม , CQE จากไทย และ ซีซีโลว ซีเนียร์เซลล์เมเนเจอร์ จากสิงคโปร์ แค่สองคนเท่านั้นเอง ส่วนตัวหน้าผมต้องอยู่โยงเฝ้าโรงงานเนื่องจากมีปัญหาที่โปรดักส์อื่นด้วย (ดูท่าทางจะหนักหนากว่าโปรดักส์ของผมซะอีก)

เลื่อนลงมาอ่านอีกเมล์ ลูกค้า Maxtor บอกว่าจะมี QBR(การประชุมประเมินผลทางธุรกิจประจำไตรมาส) ในวันที่ 20 พค นั่นหมายความว่าผมก็ต้องเตรียมตัวไปสิงคโปร์ต่อในอาทิตย์ถัดมา

พรุ่งนี้คงต้องไปทำ วีซ่าแต่เช้า เพราะอาทิตย์หน้ากงสุลจีนอาจจะปิดเนื่องจาก วันหยุดวันแรงงานของจีน ปกติเมืองไทยหยุดแค่วันที่ 1 พค วันเดียว แต่ในจีนจะหยุดทั้งอาทิตย์ นั่นหมายถึงว่าผมจะได้ทำงานสบาย ๆ ขึ้นอีกหน่อย ไม่มีโทรศัพท์ หรือ อีเมล์จากลูกค้ามากวนใจ

ตอนบ่าย ๆ ไอ้ก่อ(อีกแล้ว) มาถามว่าวันนี้ผมมาทำงานยังไง พอบอกว่าขับรถมาเอง มันก็รีบมาชวนไปหาอะไรกินตอนเย็นด้วยกัน คำว่า อะไร ของมันนี่หมายถึง พิซซ่า ไม่รู้ว่ามันเหงาที่แฟนมันไปสัมมนาสองวัน หรือมันอยากหาเรื่องมาประกบตัวผมไม่ให้คิดมากเกี่ยวกับเธอ แต่ก็เอาเถอะ ไปก็ไป

แต่สุดท้ายเราก็เปลี่ยนแผนจาก พิซซ่า มาเป็น อาหารญี่ปุ่นที่ร้านฟูจิ แทน เนื่องด้วยผมยังไม่อยากเข้าร้านพิซซ่า ที่ผมกับเธอไปกินด้วยกัน มันตอกย้ำกับความหลังเกินไป อีกเหตุผลหนึ่งคือเราสองคนผมกับไอ่ก่อเริ่มรู้สึกว่าตัวเองอืด ๆ มากไปหน่อยแล้ว ลด ๆ อาหารจำพวกนี้บ้างก็ดี

ผมไม่ได้กินอาหารญี่ปุ่นมานานแล้ว ตั้งแต่คบกับเธอ เพราะเธอไม่ชอบกินอาหารญี่ปุ่น ผมเองก็ไม่ชอบอาหารญี่ปุ่นจำพวก ปลาดิบ ข้าวปั้น เหมือนกัน แต่ถ้าเป็นพวกข้าวหน้าไก่ หรือเนื้อผัด นี่กินได้ไม่มีปัญหา
วันนี้ ผมสั่งข้าวแกงกระหรี่กุ้งทอด
ระหว่างที่คุยกันระหว่างกินข้าว มันก็พยายามชวนคุยเรื่องอื่น ๆ แต่จะด้วยอะไรไม่รู้ ผมก็วกกลับเข้ามาเรื่องของผมกับเธอจนได้ บ่นไปจนมันคงเบื่อ

กลับมาบ้าน มาอ่านหนังสือที่ค้างไว้ต่อจนจบ อาบน้ำ แล้วก็ตามเคย อดใจไม่ได้ที่จะโทรไปหาเธอเหมือนเดิม เรายังคงคุยกันด้วยเรื่องเรื่อยเปื่อยเหมือนเมื่อวาน แต่บางทีผมคิดว่าทั้งผมและเธอก็คงรู้สึกได้ว่ามันเหมือนเสแสร้งแกล้งทำมากกว่า
เหมือนเมื่อวาน ผมเป็นคนขอวางหูก่อน จริง ๆ แล้วผมก็ไม่รู้ว่าผมทำถูกหรือเปล่า ที่ยังโทรไปหาเธออยู่ทุกวันอย่างนี้ เธออาจจะไม่ต้องการอย่างนั้น แต่อย่างน้อย ผมก็อยากให้เธอรู้ว่าผมยังวนเวียนอยู่แถวนี้ และยังรอเธออยู่

ขอยกประโยคจากหนังสือที่อ่านมาวันนี้มาไว้ในนี้สักหน่อย

“...ฟังเสียงหัวใจตัวเองให้ดีสิ แล้วเดินไปตามนั้น อย่ากลัวที่จะเจ็บปวด อย่ากลัวที่จะได้เรียนรู้ว่าความรักคืออะไร อย่างน้อยที่สุด ก่อนที่จะตายจากโลกนี้ไป ได้มีโอกาสเรียนรู้แม้เพียงครั้งว่าความรักแท้จริงคือสิ่งใดกัน ก็นับว่าไม่เสียชาติเกิดแล้ว จำไว้ว่าความรักนั้นเหมือนม้าพยศที่ไร้บังเหียน ถ้าเธออยากรู้ว่าคนไหน ใช่หรือไม่ใช่ คนๆ นั้นที่เธอเฝ้ารออยู่ ลองถามตัวเองให้ดีสิ ถึงเหตุผลที่ทำให้เธอรักเขา ถ้าเธอหาเหตุผลดีๆ ให้กับตัวเองได้สักสองสามข้อ นั่นก็ยังธรรมดาอยู่ แต่ถ้าเจอใครบางคนที่เธอไม่สามารถหาเหตุผลให้กับตัวเองได้สักข้อแล้วล่ะก็ รีบไขว่คว้าคนนั้นเอาไว้ให้ดีเชียวล่ะ เพราะเธออาจไม่มีโอกาสอีกเป็นหนที่สอง...”

เป็นข้อความที่ยกเอามาเข้าข้างตัวเองทีเดียว จนป่านนี้ ผมก็ยังไม่นึกโกรธเธอ แค่นึกเสียใจว่าผมยังไม่ดีพอที่ จะรั้งเธอเอาไว้ให้อยู่กับผมต่อไปได้

ได้เวลานอนแล้ว....

0 Comments:

Post a Comment

<< Home