My Empty World

Tuesday, April 26, 2005

โลกที่ว่างเปล่าวันต่อมา

คุณรู้หรือเปล่าว่าเวลาที่เจ็บปวดที่สุดของคนที่เพิ่งอกหักมันคือตอนไหน
สำหรับผม มันคือช่วงเวลาห้านาทีแรกที่ตื่นนอนในตอนเช้า เมื่อประสาทสัมผัสเริ่มส่งสัญญาณเข้ามายังสมองว่านี่คือตอนเช้าแล้ว และสมองส่วนเก็บความทรงจำจะเริ่มค้นหาข้อมูลก่อนหลับไปว่าทำอะไรอยู่ อยู่ที่ไหน

แต่ข้อมูลแรกที่สมองส่งกลับมาหาผมคือ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ไม่มีเธออีกแล้ว บางที…ผมคิดว่าข้อความนี้มันน่าจะส่งตรงมาจากหัวใจมากกว่า....

ผ่านมาแล้วสามวัน แต่ทุกอย่างมันก็ยังไม่ดีขึ้นเลย ผมยังตื่นมาร้องไห้ตอนเช้าทุกวัน ร้องไห้ให้กับความรักที่ผมคิดว่ามันคือรักแท้ ร้องไห้ให้กับสิ่งที่ผมคงไม่สามารถดึงให้มันกลับคืนมาได้อีก ก่อนนอนผมพยามอ่านหนังสือ ทำนู่นทำนี่จนดึกดื่นให้ง่วงนอน จนเมื่อล้มตัวลงนอนก็สามารถหลับได้ แต่พอตื่นเช้า ผมทำอะไรกับมันไม่ได้ ความเศร้าเสียใจกับผมยังนัดมาเจอกันทุกเช้า อย่างดีก็แค่ปล่อยให้น้ำฝักบัวช่วยไหลผ่านผิวหน้า แล้วพาเอาน้ำตาออกไปบ้างเท่านั้นเอง

อาบน้ำ แต่งตัว ขับรถไปทำงาน ช่วงนี้ผมรู้สึกเหมือนความทรงจำขาดหายไปเป็นช่วง ๆ คงเพราะคิดถึงเธอ ผมจำไม่ได้ว่าขับรถออกบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่ อย่างไร รู้สึกตัวอีกทีก็อยู่ที่ทำงานแล้ว

ทำงานไปอย่างแกน ๆ เดือนนี้ผมยอมรับว่าคงทำงานไม่คุ้มกับค่าจ้างที่บริษัทให้แน่ ๆ เพราะใจมันลอย เหม่อคิดไปต่าง ๆ นานา ตลอดเวลาทำงาน

มีไม่กี่คนที่รู้เรื่องนี้ ผมยังไม่เข้มแข็งพอที่จะบอกคนอื่นๆ เกี่ยวกับเรื่องของเราสองคนว่ามันจะไม่เหมือนเดิมแล้ว ไม่อยากจะได้ยินใคร ๆ คอยให้ความเห็นใจ หรือ ปลอบใจ มันยิ่งจะทำให้ผมรู้สึกถึงวันเวลาดี ๆ ที่เราเคยมีให้กัน คิดถึงอนาคตที่เราเคยคิดเอาไว้ด้วยกัน ความสุข ณ ช่วงเวลานั้นมันก็กลายเป็นอาวุธที่ย้อนกลับมาทิ่มแทงผมอย่างโหดร้ายในตอนนี้ ช่วงนี้ผมขอเลือกที่จะใช้เวลาอยู่คนเดียวเพื่อซึมซับเอาความเจ็บช้ำ ความเศร้า เอาไว้ก่อน พลังใจที่ดีที่สุดน่าจะเริ่มจากตัวเองก่อน

วันนี้ผมทำสิ่งที่บ้า ๆ ออกไป สิ่งที่ผมไม่คิดว่าตัวเองจะทำมาก่อน ผมลางานครึ่งวันบ่าย แวะไปหาซื้อดอกไม้เป็นช่อ ไม่คิดว่าการให้ดอกไม้กับเธอในเวลานี้มันจะช่วยอะไรได้ ผมไม่มีเหตุผลมาสนับสนุนการกระทำแบบนี้ของตัวเอง รู้แต่เพียงว่าอยากจะไปหาเธอและเอาดอกไม้ไปมอบให้เธอ

เมืองลำพูนมีร้านจัดดอกไม้ไม่มากนัก ผมแวะไปถามหาที่ร้านกาแฟที่เราเคยไปด้วยกัน (ผมอยากเรียกมันว่าร้านประจำของเรา – แต่ก็นั่นแหละ สำหรับชั่วโมงนี้ “เรา” กลายเป็นอดีตไปแล้ว) คุณป้าเจ้าของร้านแนะนำร้านจัดดอกไม้ให้ร้านหนึ่ง บอกทางมาให้เสร็จสรรพ แล้วก็ให้บอกไปด้วยว่าป้าแนะนำมา จะได้ราคาพิเศษ แกคงแนะนำเพราะเห็นท่าทางผม ตลก เด๋อ ๆ เปิ่น ๆ

ขับรถไปร้านดอกไม้ตามที่คุณป้าบอก ร้านหาไม่ยาก แต่ที่ร้านไม่มีดอกกุหลาบขาวอย่างที่เธอชอบ เด็กที่ร้านจัดดอกไม้พยายามแนะนำให้ผมเลือกสีชมพู(เพราะมันเป็นสีเดียวที่เหลืออยู่ที่ร้าน) และพยายามจะบอกว่า ที่ตลาดก็คงไม่มีสีขาวเหลือ เพราะนี่เป็นหน้าร้อน ไม่ค่อยมีกุหลาบขาวขายมากนัก เพราะสีมันช้ำง่าย ผมไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่าแต่ก็เลือกที่จะลองหาดูเองก่อน

ขับรถต่อไปที่ตลาดสด เพื่อหาดอกกุหลาบสีขาว ตอนบ่ายกว่า ๆ ที่ตลาดไม่มีดอกไม้ให้เลือกมากนัก เดินอยู่นานกว่าจะเจอกุหลาบขาวหนึ่งช่อ มีขายอยู่แค่ร้านเดียว แต่ร้านขาย ก็ขายอย่างเดียว ไม่ได้รับจัดด้วย ผมจึงต้องซื้อแต่ดอกกุหลาบมา แล้วขับรถย้อนกลับไปที่ร้านจัดดอกไม้เพื่อเอาไปฝากให้เค้าจัดให้ เด็กที่ร้านจัดดอกไม้ทำหน้าแปลก ๆ เค้าคงไม่คิดว่าผมจะหายไปแล้วกลับมาอีกพร้อมกับกุหลาบขาวได้จริง ๆ

ระหว่างรอร้านจัดดอกไม้ ผมก็ย้อนกลับไปที่ร้านกาแฟ ไปนั่งดื่มกาแฟและเขียนโน๊ดที่จะแนบไปกับดอกไม้ให้เธอ แต่กลายเป็นว่าโน้ตสั้น ๆ ที่ตั้งในเอาไว้ตอนแรก กลายเป็น กึ่ง ๆ จดหมายที่บอกสภาพอันน่าอดสูของผมตอนนี้ บอกว่าผมคิดกับเธออย่างไร บอกว่าเธอคือเหตุผล และ แรงผลักดันที่ทำให้ผมมีวันนี้ บอกว่าผมคิดว่าตอนนี้เธอเพียงแค่สับสนในใจ บอกว่าผมยังแอบคิดว่าเธอยังคงมีเยื่อใยให้ ผมก็ไม่รู้ว่าผมเขียนอะไรทำนองนี้ออกไปได้อย่างไร ถ้าเป็นใครคนอื่นมาเห็นคงหัวเราะแล้วบอกว่าน้ำเน่ามาก แต่ก็เอาเถอะ หัวใจผมตอนนี้มันก็คงเน่าพอ ๆ กัน

ผมอ่านโน้ตนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า คิดว่ามันคงรัดกุมเพียงพอที่จะถ่ายทอดความรู้สึกของผมที่มีต่อเธอแล้ว ผมออกจากร้าน แวะไปรับดอกไม้ที่ฝากจัดไว้ที่ร้าน เขาจัดให้ช่อใหญ่กว่าที่คิด ตอนเป็นแฟนกัน ผมยังไม่เคยมอบดอกไม้ให้เธอขนาดนี้ อย่ากมากก็เป็นช่อเล็ก ๆ หรือเป็นแค่ดอกเดี่ยว ๆ แต่แค่นั้นเธอก็ชอบมันมากแล้ว เธอเคยบอก

ออกจากร้านดอกไม้ ผมขับรถตรงไปที่บริษัทของเธอ คิดอะไรเรื่อยเปื่อย เธออาจจะไม่ว่าง ติดประชุม หรือเธออาจจะไม่อยากออกมาพบกับผม พอถึงหน้าบริษัท ผมจอดรถไว้ข้างทาง เดินไปที่ป้อมยามแล้วโทรเข้าไปหาเธอ เธออยู่ที่โต๊ะพอดี คงกำลังยุ่งอยู่ แต่ก็พอปลีกเวลาออกมาพบผมได้ ฟังจากน้ำเสียงคงสงสัยว่าผมออกมาทำอะไรในเวลาทำงานอย่างนี้

สิบหรือสิบห้านาทีผ่านไป เธอก็เดินออกมา สิบหรือสิบห้านาทีตอนนี้ดูเหมือนจะนานเป็นวัน ๆ สำหรับผม เมื่อเธอเดินออกมา ผมบอกให้เธอรอก่อน แล้วก็วิ่งกลับไปที่รถ หอบเอาดอกไม้ช่อโตวิ่งข้ามถนน เอามาให้ นี่คงเป็นนาทีที่น่าอับอายที่สุดในชีวิตของผมแล้วกระมัง

แต่เธอดูเหมือนจะไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก คำพูดแรกที่ออกมาคือ จะบ้ารึเปล่า ไม่รับได้ไม๊เนี่ย เอามาให้ทำไมตอนนี้ ผมรู้ตัวว่าการเอาดอกไม้มาให้เธอในเวลางานมันคงไม่ค่อยเหมาะสมกับกาลเทศะเท่าไหร่ แต่ทำอย่างไรได้ ผมห้ามใจตัวเองไม่ได้ ตอนนี้หัวใจมันย้ายตัวเองขึ้นมาอยู่บนหัวแทนสมองแล้วไล่ให้สมองหนีลงไปอยู่ที่ท้อง ผมรู้สึกท้องไส้ปั่นป่วนไปหมดเวลานั้น

ผมยื่นโน้ตให้เธอ ขอร้องให้เธออ่านมันให้จบต่อหน้าผม เธอเหลือบตาดูสองสามบรรทัด พอที่จะรู้ว่ามันเขียนถึงอะไรแล้วก็ปิด บอกว่าเธอยังอยู่ในเวลางาน อยากให้ผมเข้าใจด้วย ผมยังดึงดันที่จะให้เธออ่านให้จบ เธอจึงยอมอ่านต่อ ตัวอักษรนับสิบบรรทัด เธอใช้เวลาอ่านไม่ถึงสามสิบวินาที แล้วเธอก็บอกว่าจบแล้ว ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจากใบหน้าเธอ ผมรู้สึกตอนนี้ตัวเองหดลงไปเหลือแค่ขนาดเท่าเม็ดดิน ความอับอาย ความเสียใจ พุ่งขึ้นมาเป็นระลอก ผมมาทำอะไรอยู่ที่นี่ ไม่มีใครเชิญ ไม่มีใครต้องการ ผมขอโทษเธอ บอกลาเธอ แล้วเดินกลับมาที่รถ นึกขอบคุณที่เธอไม่ได้ว่ากล่าวอะไรผมไปมากกว่านี้

ผมขับรถออกมาอย่างเหงา ๆ แล้วก็ไปจมอยู่ร้านกาแฟร้านเดิมจนกระทั่งเย็น แล้วจึงขับรถกลับบ้าน

คืนนี้ก็ยังไม่วายโทรไปหาเธอ ขอโทษเรื่องดอกไม้ เธอขอบคุณสำหรับดอกไม้ ผมหวังว่าเธอคงเข้าใจความรู้สึกของผมบ้าง แต่ก็นั่นแหละ เธอจะยอมรับมันไปหรือเปล่า นั่นเป็นอีกเรื่อง.....

อย่างไรก็ตามสิ่งที่อยากทำก็ได้ทำไปแล้ว

0 Comments:

Post a Comment

<< Home