My Empty World

Friday, May 27, 2005

ความเหงา อย่าเข้ามาทักกันบ่อยเลย...

ตื่นมาตีห้าเพื่อมาอ่านหนังสือ

แต่กว่าจะลุกขึ้นมาอ่านได้จริง ๆ ก็เกือบหกโมงเช้า อ่านไปได้หน่อยเดียว ก็ต้องไปอาบน้ำ แต่งตัวไปทำงานซะแล้ว

หอบหนังสือเรียนไปที่ทำงานด้วย ทำเหมือนว่าจะมีเวลาได้อ่านตอนทำงาน แต่อย่างน้อย ก็เป็นกำลังใจอย่างหนึ่งละ

วันนี้ที่ทำงานมี communication meeting ประจำ quarter และเนื่องจากเราเพิ่งสร้างโรงงานใหม่ทางด้านหลัง ทำให้ไม่มีห้องประชุมใหญ่ๆ พอสำหรับมีตติ้ง ทางโรงงานเลยต้องจัดรถบัสมารับเราไปที่ศูนย์การประชุมลำพูน( ไม่แน่ใจว่าเรียกอย่างนี้หรือเปล่า แต่มันอยู่ตรงตัวเมืองลำพูน ตรงสะพานข้ามแม่น้ำ แล้วเลี้ยวขวาเข้าตัวเมืองลำพูนเลย)

ตอนนั่งฟัง พี่โชคกับพี่ต้นมานั่งใกล้ ๆ ทั้งสองคนเอาหนังสือเรียนมาห้องประชุมด้วย แล้วก็มาอ่านต่อหน้าประมาณว่ากะมาไซโคผม(ที่ลืมหนังสือไว้ที่โรงงาน)เต็มที่

แต่พอทอมมารายงานผลประกอบการ ทั้งสองคนก็มัวแต่ฟังจนลืมอ่านหนังสือ

พอประชุมเสร็จผมก็แซวพี่สองคนกลับไปว่า “อุตส่าห์เอาหนังสือมาทำไมอ่านแป๊บเดียว ล่ะครับพี่”
“ไม่เป็นไรหรอกครับน้องฮัท พี่เข้าเรียนทุกครั้งมีคะแนนเก็บไว้เต็มแล้วอ่ะนะ คะแนนสอบน้อยก็ได้” พี่โชคย้อนกลับมา

….ชึ้งงงง….. แซวแกไปเลยโดนตอกกลับมา ไม่น่าโดดเรียนเยอะเลยเรา

เลิกงาน กลับบ้านแล้วผมก็ขับรถออกไปที่มอชอ เพื่อไปติวหนังสือกันอีกครั้ง วันนี้วันศุกร์ที่ทำงานผมเลิกห้าโมง เลยทำให้ไปทันติวตอนหกโมงครึ่ง ไปถึงก็กำลังจัดโต๊ะจัดเก้าอี้กันพอดี วันนี้เราติวเรื่อง การเงิน

โชคดีที่ผมเข้าเรียนวิชานี้เลยดูจะเข้าใจได้ง่ายหน่อย

ประมาณสองทุ่มเราก็ติวกันเสร็จ แต่ผมยังไม่อยากกลับบ้าน คิดว่าจะไปแวะหากาแฟดื่มแล้วอ่านหนังสืออีกหน่อย คืนนี้คงยังอีกยาว

ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน แต่สุดท้ายผมก็ไปจอดรถที่ร้านกาแฟที่เมื่อหนึ่งเดือนก่อนเธอบอกเลิกกับผมที่ร้านนี้

ที่แปลกไปกว่านั้นก็คือ ผมเลือกนั่งโต๊ะเดียวกันกับที่เรานั่งคราวก่อน เป็นโต๊ะที่มองออกไปเห็นถนนด้านนอก

ข้างนอกฝนเริ่มตกหนัก โชคดีที่ผมเข้ามาในร้านก่อน สั่งมอคค่าไปหนึ่งแก้ว

ร้านนี้ยังมีความทรงจำของเธออยู่ ผมนั่งที่เก้าอี้ตัวเดิม เธอเคยนั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวตรงกันข้ามกับผมตอนนี้ ภาพของเธอตอนที่เอ่ยปากบอกเลิกกับผมก็ยังชัดเจนอยู่ในความคิด

แต่ผมก็ขนกระดาษ หนังสือ ปากกา ออกมาวางบนโต๊ะ จดและเน้นเนื้อหาในหนังสือ และก็นั่งอ่านอยู่ตรงนั้นไปเรื่อย ๆ

ไม่ได้คิดว่าตัวเองเข้มแข็งขึ้น เพียงแค่คิดว่าถ้าผมยังพยายามหลีกเลี่ยงสถานที่ที่ผมกับเธอเคยไปด้วยกันอยู่อย่างนี้ ผมคงไม่ต้องใช้ชีวิตอยู่ที่เชียงใหม่แน่ ๆ

อ่านหนังสือที่ร้านจนเกือบสี่ทุ่ม ได้เวลาร้านปิดแล้ว จึงขับรถกลับบ้าน

กลับมาบ้าน อาบน้ำ และมานั่งอ่านหนังสือต่อ เกือบห้าทุ่มแล้ว

แต่พอดูกองหนังสือที่ยังต้องอ่านแล้ว รู้สึกหนักใจขึ้นมาวูบใหญ่ ผมจะอ่านมันหมดหรือเปล่า

วูบนั้นรู้สึกหมดกำลังใจขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว จู่ ๆ ก็คิดถึงเธอขึ้นมาอีกแล้ว คิดถึงอย่างท่วมท้น อยากได้ยินเสียงเธอ เวลาที่อยู่คนเดียวอย่างนี้ อาการที่รู้สึกว่ากำลังดีขึ้นก็แย่ลงอย่างเห็นได้ชัด

ตัดสินใจโทรหาเธอ แค่อยากได้ยินเสียงเธอ แค่เป็นกำลังใจสำหรับคืนนี้

โทรไปครั้งแรก เธอไม่รับสาย
โทรไปอีกที เธอก็ยังไม่รับสาย
โทรไปครั้งที่สาม เข้าสู่ระบบฝากข้อความ เธอปิดเครื่องไปแล้ว

ก็เข้าใจว่ามันควรจะออกมาในรูปนี้…..

ที่ผ่านมาหนึ่งเดือน ลึก ๆ แล้วผมก็ยังคงหลอกตัวเอง หลอกตัวเองไปว่าเธออาจจะยังมีเยื่อใยบ้าง ความเป็นเพื่อนที่เธอพูดถึง ที่เธอเสนอให้ บางทีเมื่อเวลาผ่านไป ถ้าผมยังอยู่รอ เธออาจจะให้โอกาสผมอีกครั้ง

เราเป็นเพื่อนกันเถอะนะ…ความหมายของมันคือ….ออกไปจากชีวิตฉันซะเถอะนะ

แล้วน้ำตาก็ซึมออกมา ถามตัวเองว่า แล้วผมกำลังทำอะไรอยู่นี่

อ่านหนังสือต่อไม่ไหว รู้ว่าต้องอ่านให้จบแต่อ่านไม่ไหว อยากคุยกับใครสักคน

แล้วก็โทรไปหาพี่สาวคนนึง พี่สาวที่เคยทำงานอยู่ที่เดียวกัน พี่คนที่คอยเชียร์ตอนผมจีบเธอใหม่ ๆ รู้ว่าดึกขนาดนี้พี่เค้าคงยังไม่หลับ
เจ๊รับโทรศัพท์ของผมและคงแปลกใจที่ผมพูดเสียงเครือ ๆ แต่เธอก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

ทั้งคุย ทั้งปลอบ จนผ่านไปครึ่งชั่วโมง อาการผมดีขึ้น ขอบคุณและขอโทษเจ๊ที่โทรไปรบกวนเวลาฝึกโยคะของแก

อารมณ์เวิ่นเว้อสงบลงแล้ว ผมก็มานั่งอ่านหนังสือต่อ จนถึงตีสองครึ่ง

0 Comments:

Post a Comment

<< Home