My Empty World

Tuesday, May 24, 2005

วันที่เวิ่นเว้อ

ช่วงนี้กำลังมีคำพูดติดปากในหมู่ผมและเพื่อนที่ทำงานบางคน

เป็นคำพูดติดเฉพาะปาก ไม่ได้ติดนิ้ว เพราะฉะนั้นเวลาคุยกับใครทาง MSN จะไม่ได้ใช้คำนี้พิมพ์ไป

คำนี้คือ “ชึ๊ง..”

เวลาออกเสียงต้องเน้นตรงปลายคำหนัก ๆ แล้วปล่อยกังวาน คล้ายเสียงเวลาตีฆ้อง

ชึ๊งงงงง….

คำนี้จะใช้ในกรณีมีเหตุให้อึ้ง เอ๋อ ทำตาปริบ ๆ และนิ่งไป หาเหตุผลมาต่อสู้ด้วยวาจาไม่ได้

ยกตัวอย่างเช่น เวลาเอางานไปให้หัวหน้าดู หัวหน้าก้ม ๆ ดูงานสักพัก แล้วก็เงยหน้ามาถามว่า “คิดได้แค่นี้เหรอ?”

ชี๊ง……(fade in เข้าสู่ความเงียบ) – อันนี้แค่ยกตัวอย่างมาเล่น ๆ หัวหน้าผมจริง ๆ เป็นคนใจดี

หรืออย่างเช่น ในโรงอาหาร ไอ้มุยสามารถไปเชิญชวน(และล่อลวง) ให้น้องนุ้ยไอทีเข้ามาร่วมโต๊ะกินข้าวได้ ไอ้ก่อก็ได้ทีเก๊กเป็นคนดี มาดนิ่ม สุขุม คัมภีรภาพ ถามไป
“..แล้ว…น้องนุ้ย จบจากไหนเหรอครับ?”

น้องเค้ายังไม่ทันตอบอะไร ไอ้มุยก็จะสวนมาว่า “ว่าแต่แฟนเอ็งสบายดีใช่มั้ยไอ้ก่อ”

ชึ๊งงง…..ความเงียบก็จะเข้าครอบคลุมโต๊ะกินข้าว (ส่วนสองคนนั้น ไอ้มุยกะไอ้ก่อก็ไปเคลียร์กันเองหลังกินข้าวเสร็จ)

(ถ้าเทียบเป็นการ์ตูนญี่ปุ่น ช่องนี้ก็จะเป็นรูปคนทำหน้าเฉยแบบเครียด ๆ แล้วมีบอลลูนเป็นคำพูดมีแต่ จุด จุด จุด)

ช่วงนี้เล่นมุขกันบ่อย ก็เลย ชึ๊งงง ชึ๊งงง กันบ่อย

เลยรู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นคำพูดติดปากไปซะแล้ว

พยายามจะไม่พูด แต่มันก็มีคนมาเล่นมุขทำให้ต้องพูดกันอีกจนได้

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

มีอีกคำที่น่าสนใจคือ “เวิ่นเว้อ”

ตอนแรกนึกว่าเป็นคำศัพท์เฉพาะกลุ่ม แต่เพิ่งมารู้ทีหลังว่ามันเป็นกลุ่มใหญ่ทีเดียว เป็นคำเมือง(ภาคเหนือ)คำหนึ่ง อันนี้ได้มาจากผู้รู้ท่านหนึ่ง

เวิ่นเว้อ เป็นคำบ่งบอกถึง อาการเหม่อลอย คิดกังวล เหงา เศร้า (เพราะรักหรือเปล่าแล้วแต่กรณีไป)

คล้าย ๆ คำว่า “สะเบิ๊กสะเจิ้ง”

สะเบิ๊กสะเจิ้งนี้มีลักษณะอาการคล้าย ๆ เวิ่นเว้อ แต่ส่อเค้าไปในทางรุนแรงมากกว่า มักออกอาการไปทางบ้า จิก ดึง ทึ้งผม ตัวเองอะไรอย่างนั้น

ผมเองตอนถูกเธอบอกเลิกใหม่ ๆ ก็มีอาการสะเบิ๊กสะเจิ้ง ไปพักหนึ่ง ตอนนี้กลายเป็นเวิ่นเว้อแทน
(นาน ๆ ทีก็จะเวิ่นเว้อแบบหนัก ๆ อย่างเช่นเมื่อวานนี้)

คาดว่าสักพักใหญ่ ๆ พอผมหายจากอาการ เวิ่นเว้อ แล้วคงจะกลายเป็น หมึน และ จืน ไปตามลำดับ

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


เมื่อวานนี้ ด้วยอาการเวิ่นเว้อมันกำเริบหนัก คิดถึงเธอเข้าขั้นรุนแรง ผมขี่จักรยานออกจากบ้านตอนเย็น ๆ ขี่ไปโดยไร้จุดหมาย

แล้วเท้าก็พาจักรยานมาถึงมอชอ…มันไปของมันเองอย่างนั้น มันเป็นอย่างนี้เสมอเวลาเราใจลอย ร่างกายเราก็จะพาเราไปที่ ที่คุ้นเคยโดยไม่ได้ตั้งใจเสมอ

ปั่นจักรยานขึ้นเนินไปบนอ่างแก้ว

อ่างแก้วตอนเย็น มีคนมาเยอะมาก(โดยเฉพาะมากันเป็นคู่) หน้านี้น้ำแห้งจนเห็นขอบตลิ่งลึกลงไปชัดเจน อากาศค่อนข้างอบอ้าว แต่ก็มีลมพัดมาแผ่ว ๆ

อาการเวิ่นเว้อกำเริบหนักกว่าเดิม เมื่อคิดว่าผมกับเธอก็เคยมาเดินคุยกันที่นี่สองคน ตอนเรารู้จักกันใหม่ ๆ เราไปกินข้าวด้วยกันเสร็จแล้วก็มาเดินเล่นต่อที่นี่

ปั่นจักรยานลงเนิน ปั่นไปเรื่อย ๆ ปั่นจนเหนื่อย ปั่นเท่าที่หัวใจแห้งเหี่ยวมันจะพอสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงที่ขาให้ปั่นต่อไปได้

เหงื่อออก แต่ลมเย็นก็พัดให้มันแห้งไปอย่างรวดเร็ว

แล้วก็เหนื่อย เหนื่อยจนอาการเวิ่นเว้อลดลง ปั่นต่ออีกไม่ไหว เลยเปลี่ยนทิศกลับบ้าน

มาถึงแถวสวนดอก ก็รู้สึกแปลก ๆ ที่ล้อหลัง เลยจอดเช็คดู

ปรากฏว่ายางแบน….ชึ้งงงง

ค่ำแล้ว สองทุ่มกว่าแล้ว ร้านซ่อมจักรยานก็ปิดหมดแล้ว เลยต้องเดินจูงรถกลับบ้าน

กลับมาเพื่อจะเจอว่าระหว่างทางผมคงเดินกระแทกกับตัวรถ ทำให้หน้าจอมือถือแตก

คนเราเมื่อโชคมันไม่เข้าข้าง อะไรก็ดูแย่ไปหมด

แต่กฎของเมอร์ฟี่บอกไว้ว่า ถ้าคุณคิดว่าคุณโชคร้ายแล้ว อย่าตกใจ เพราะมันจะมีโชคร้ายกว่านี้อีก

ทำใจดี ๆ เอาไว้ ไอ้หนู……

0 Comments:

Post a Comment

<< Home