My Empty World

Friday, May 13, 2005

วันศุกร์ที่สิบสาม

วันนี้วันศุกร์ที่สิบสาม

ก็เป็นแค่เดือนที่มีวันอาทิตย์ตรงกับวันที่หนึ่ง เลยทำให้วันศุกร์มาตรงกับวันที่สิบสาม

คงจะแค่นั้นเอง ถ้าวันนี้ผมไม่บังเอิญได้รับเมล์จากเธอ

เป็นเมล์ที่ตอบผมกลับเมล์ของผมที่ส่งไปหาเธอในเช้าวันที่จิตใจว้าวุ่น ตอนอยู่ที่จีน

เนื้อหาของมันมีความยาวแค่ห้า หก บรรทัด ไม่มีอะไรมาก แค่ถามผมว่าสบายดีหรือเปล่า ตอนนี้อยู่ที่ไหนแล้ว ช่วงนี้งานเธอยุ่งมาก และให้เบอร์โทรใหม่ของเธอไว้ ลงท้ายไว้ว่าแล้วค่อยคุยกัน…

ผมอ่านข้อความห้าหกบรรทัดนี้รอบแล้ว รอบเล่า ไม่ได้คาดหวังว่าเธอจะตอบเมล์กลับมา รู้ว่าที่ผมเมล์ไปหาเธอมันเป็นเรื่องไร้สาระของอีกวันที่คิดถึงเธอแทบบ้า คิดอยู่ว่าจะตอบเมล์เธอดีหรือเปล่า

ก็บังเอิญได้เมล์จากพี่ที่ทำงาน เป็น forward เมล์ที่มีเพลงแนบมาด้วย ชื่อเพลง “เรื่องบนเตียง” เป็นเพลงที่ชื่อชวนให้คิดแปลก ๆ แต่เนื้อหาเศร้ามาก แทบจะเป็นความรู้สึกของผมในเช้าวันที่ฝันถึงเธอเลย

“….ภาพที่ฉันได้เป็นอย่างคนที่เธอรัก ช่างเป็นอะไรที่ประทับใจ
อยากซึมซับนาน ๆ และเก็บไว้….ไม่ให้มันผ่านไป

….อยากหลับตาอยู่อย่างนั้น ทำอยู่อย่างนั้น ฝันถึงเธอเรื่อยไป
เพราะว่าความจริง ไม่มีทางใด ทำให้เราได้รักกัน
ทำได้แค่นั้น ทำได้แค่นี้ ทำได้เพียงแค่ฝัน
ต้องหลอกตัวเอง ฝันไปวัน วัน ไม่มีทางที่ฝันมัน เป็นจริง…”

อ่านเมล์ของเธอ แถมฟังเพลงนี้เข้าไปอีก พาลจะฟุ้งซ่านไปใหญ่ โชคดีที่วันนี้งานยุ่งพอสมควร เลยปลีกตัวออกจากอารมณ์เศร้า ๆ นี้ได้

แต่สุดท้ายผมก็ส่งเมล์ไปหาเธออีกจนได้ บอกเธอว่าผมสบายดี กลับมาถึงเมืองไทยแล้ว บ่นถึงโชคร้ายนิดหน่อย แล้วเอาไว้จะโทรหา

บอกไปอย่างนั้น ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้จะกล้าโทรหาเธอหรือเปล่า
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

เย็นนี้เลิกงานแล้วไอ้ก่อชวนไปดูหนังเรื่อง Kingdom of Heaven

ไอ้ก่อกับไอ้มุยพยายามเล่นมุขเป็นเรื่อง Condom is Heaven แต่ก็เรียกเสียงหัวเราะแบบฝืด ๆ จากคนแถว ๆ นั้นได้ ขำ ขำ

ตอนนี้แก๊ง ดีไซน์ได้ไอ้มุยมาเพิ่มอีกคน ก็น่าจะแกร่งพอที่จะเปิดคณะตลกของตัวเองได้แล้ว – จะขาดก็แต่ถาดสังกะสี กับ กระดาษแข็งม้วน เอาไว้ตีหัวกันเองเท่านั้น

ทั้ง ๆ ที่วันนี้ตั้งใจว่าจะไปอ่านหนังสือ ทำการบ้าน MBA (ที่ผมโดดเรียนไปเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา) เพราะต้องส่งวันพรุ่งนี้ตอนเช้าแล้ว แต่ก็เหมือนคนใจง่าย ใครชวนไปไหนก็ไปหมด

สรุปก็ไปกันสามหน่ออีกตามเคย ไอ้ก่อ พี่เอก และผม มีจ๋าติดรถไปสนามบินด้วย

หนังดำเนินเรื่องได้ค่อนข้างอืดทีเดียว ไม่สนุกอย่างที่คาดเอาไว้ หนังพูดถึงเรื่องราวของสงครามครูเสด เป็นการรบระหว่างพวกคริสต์ และ มุสลิม เพื่อเป็นเจ้าของดินแดนเยรูซาเล็ม ที่มีความสำคัญถือเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของทั้งสองศาสนา

ทั้งสองฝ่ายรบกันไปกันมา มีผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ แต่ก็มีการสงบศึกและพยายามที่จะอยู่ร่วมกันเหนือดินแดนนี้อย่างสันติ

แต่เมื่อมีผลประโยชน์มาเกี่ยวข้อง ก็ย่อมมีคนที่อยากจะก่อสงครามละเมิดสัญญานี้

สุดท้ายสงครามก็เกิดขึ้นอีกจนได้ ทั้ง ๆ ที่ทั้งสองฝ่ายพยายามหลีกเลี่ยงแล้ว

หนังพยายามไม่เข้าข้างทั้งฝ่ายคริสต์ และ มุสลิม โดยพยายามชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นของทั้งสองฝ่าย
สาระใหญ่ใจความของหนังคือพยายามจะบอกว่า “จะมาสู้กันทำไมเพื่อดินแดนผืนนี้”

คำตอบมีอยู่ในตอนหนังเกือบจบ เมื่อผู้ชนะสงครามตอบว่า มันเป็นทั้ง nothing และ everything..

- - - - - - - - - - - -

หนังจบตอนสามทุ่ม เรายังไม่ได้กินข้าวเลยออกไปหาอะไรกิน พี่เอกแนะนำร้านบะหมี่เกี๊ยวเจ้าอร่อยของแกแถว ๆ ถนนช้างคลาน ผมนั่งรถมากับพี่เอก ไอ้ก่อขับรถตามออกมาจากโรงหนัง ขับลัดเลาะกันมาตามถนน

พอมาจอดหน้าร้าน ปรากฏว่า ร้านปิดแล้ว

อารมณ์หิว ทุกคนมองหน้ากัน เอาร้านไหนดี

ผมชี้ไปที่ฝั่งตรงข้าม ชื่อร้าน ยอดอร่อย เคยมากินกับที่บ้านครั้งนึง อาหารอร่อยมาก แต่ราคาน้อง ๆ เหลา ไฟยังเปิด หมายความว่าร้านยังไม่ปิด

เราสั่งต้มยำปลากระพง หอยลายผัดน้ำพริกเผา และมะระผัดไข่ มากินกับข้าวสวยคนละจาน ด้วยความอร่อยของกับข้าว และด้วยความหิวของท้อง อาหารหมดไปอย่างรวดเร็ว

เราคุยกันแต่เรื่องเก่า ๆ อีกแล้ว คราวนี้คุยถึงสมัยเรียน ป ตรี เรื่องการเรียน การสอบ และการโกงข้อสอบ (รวมไปถึงการมาขอสอบแก้ตัว และการมาลงเรียนใหม่อีกรอบ)

คิดถึงสมัยเป็นนักศึกษา – อันที่จริงตอนนี้ผมก็เป็นนักศึกษาแล้ว (ป โท) แต่มันก็ให้ความรู้สึกไม่เหมือนตอนนั้น

อาหารหมด ท้องอิ่มตื้อ จ่ายเงิน แล้วเราก็แยกย้ายกันกลับ พี่เอกไปส่งผมที่บ้าน

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

ถึงบ้านแล้ว อดใจไม่ไหว โทรหาเธอที่เบอร์ใหม่จนได้

ที่ปลายสายไม่มีคนรับ…ไม่เป็นไร

อิ่มขนาดนี้ อย่างน้อยคืนนี้ ผมคงหลับยาวไม่ฝัน

0 Comments:

Post a Comment

<< Home