My Empty World

Wednesday, May 11, 2005

เมื่อความคิดตกตะกอน

เดินทางกลับเมืองไทยวันนี้

ออกจากโรงแรมตอนเก้าโมงแล้วก็นังรถยนต์จากเสิ่นเจิ้น มาที่ฮ่องกง ระหว่างทางนั่งฟังเพลง(ผ่านทางปาล์ม) คิดอะไรไปเรื่อย จนรู้สึกว่าความคิดที่ฟุ้งซ่านอยู่ตอนนี้กำลังจะตกตะกอน ผมคงต้องยอมรับความจริง

จากเมื่อวานตื่นมาฟุ้งซ่านแต่เช้า วันนี้ได้มีเวลาอยู่กับตัวเองสักพัก แน่นอนว่ามันคงต้องคิดถึงเธอ แต่ก็นั่นแหละ ความจริงคือเธอไม่ได้เป็นของผม ส่วนหนึ่งของชีวิตผมที่เคยเป็นเธอมันหายไป แต่ส่วนของชีวิตที่เหลือของผมก็ยังต้องดำเนินต่อไป

เมื่อวานที่โรงแรมตอนก่อนออกไปกินข้าว ขณะที่กำลังออนไลน์เช็คเมล์ก็พอดีเจอพี่อัจเข้ามาทัก

ไม่ได้เจอพี่อัจตั้งนานทั้ง ๆ ที่ต่างคนต่างก็อยู่เชียงใหม่เหมือนกัน เจอกันคราวก่อนผมยังกระดี๊กระด๊าร่าเริง แต่คราวนี้เงียบ ๆ ไปพี่อัจคงสงสัย

พอพี่อัจรู้เรื่อง คำแรกที่พี่แกบอกคือ คิดไว้ คนที่สวยไม่ใช่ของเรา

ผมบอกว่าตอนนี้มันไม่ได้อยู่ที่สวยหรือไม่สวยหรอกครับ มันอยู่ที่เค้าเป็นเค้า และตอนนี้เค้าไม่ได้รักผม

คำถามของพี่อัจคือ ถ้าตอนนี้เธอเปลี่ยนใจกลับมาบอกผมว่า เธอรักผมแล้ว ผมยังจะคบกับเธออยู่หรือเปล่า แน่นอนคำตอบของผมคือใช่

แต่พี่อัจกลับบอกว่า ฮัท ถึงเค้ากลับมาจริง แล้วฮัทยังคบกับเค้าต่อ มันจะเป็นเหมือนกับคบกันด้วยความระแวง ว่าสักวันเค้าจะไปอีกรึเปล่า

สำหรับคำถามนี้ผมตอบไม่ได้ – แต่นาทีนี้ผมก็ยังมั่นใจว่าผมรักเธอพอ

จากนั้นก็คุยกับพี่อัจตั้งนาน ด้วยเรื่องมีสาระบ้าง ไร้สาระบ้าง แต่สรุปรวบยอดโดยรวมแล้ว แกบอกผมว่า นางเอกของผมจะเข้ามาแก้สถานการณ์ทุกอย่างให้เอง

นางเอกของผมชื่อ “เวลา”

คุยกับพี่อัจเมื่อวานแล้วรู้สึกสบายใจขึ้นมาอีกระดับ

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

สองสามวันนี้อยู่กับซีซี และ อัลฟ่า นอกเหนือจากเรื่องงาน ส่วนมากเราจะคุยกันเรื่องเรื่อยเปื่อย ซีซีบอกผมว่าถ้าตอนนี้มีเงินพอจะลงทุน (หมายถึงในเรื่องหุ้น) ที่ที่น่าลงทุนที่สุดคือประเทศไทย และ ประเทศจีน

ยังบอกอีกว่าตอนนี้เขาพยายามทำให้ตัวเองออกจากวงจร (circle) เข้าใจว่าเขาคงหมายถึง วงจรของมนุษย์เงินเดือน (อย่างผมและใครอีกหลายคน) เป็นวงจรที่ ทำงาน รับเงินเดือน เอาเงินเดือนมาผ่อนบ้าน ผ่อนรถ เลี้ยงลูก จ่ายค่าประกันชีวิต ประกันสังคม โอเค คุณอาจจะมีเหลือเก็บ แต่คุณจะไม่มีวันรวยจากวงจรนี้ – ถึงแม้คุณจะได้เงินเดือนเยอะแค่ไหนก็ตาม –

เหมือนจะเล็คเช่อร์ เศรษฐศาสตร์ กับ บริหารธุรกิจ ให้ผมกลาย ๆ แต่ซีซีบอกว่าถ้าผมมีเงินเก็บ ควรจะเอาไปลงทุนมากกว่าแช่ไว้ในธนาคาร

ผมบอกซีซี ไปว่าการลงทุนระหว่าง คนทุนน้อย(อย่างผม) และคนทุนมาก ยังไง คนทุนมากก็ชนะวันยังค่ำ (โดยเฉพาะตลาดหุ้นในเมืองไทยในขณะนี้) การทำเงินหนึ่งล้านให้เป็นห้าล้าน ยังไงก็ง่ายกว่า การทำเงินหนึ่งร้อยให้เป็นห้าร้อย (ถึงแม้สัดส่วนมันจะเท่ากันก็ตาม)

นั่นก็ถูก เพราะฉะนั้น สิ่งที่ยากที่สุดคือการหาหนึ่งล้านแรกนั่นแหละ ซีซีบอกผม คนเราทุก ๆ ต่างรอคอยแค่โอกาสเดียวในชีวิต ที่จะผันชีวิตตัวเองให้มีโอกาสได้มาซึ่งหนึ่งล้านแรก อยู่ที่ว่าใครจะมองเห็นและไขว่คว้ามันมาได้ก่อน

และทุกวันนี้เขาก็ยังจับตามองหาโอกาสนี้อยู่

(เพียงแต่หน่วยของหนึ่งล้านของแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน ผมอาจจะคิดในสเกลบาท แต่ซีซีอาจจะคิดในสเกล ดอลล่าร์)

เราออกจากเสิ่นเจิ้น (อัลฟ่าอยู่ทำธุระต่อที่เสิ่นเจิ้น และจะไปฉางอานต่อ) ผมกับซีซี ข้ามมาฮ่องกง แล้วก็นั่งรถต่อมาที่สนามบินฮ่องกง เครื่องผมออกเวลาเที่ยงสี่สิบห้า ของซีซีออกเวลาบ่ายสี่สิบห้า ตอนนี้เพิ่งสิบโมงครึ่ง ยังพอมีเวลา เราก็นั่งจิบกาแฟที่สนามบิน คุยกันต่อ

ม็อคค่าอุ่น ๆ แก้วโต กับ ครัวซองอุ่นเสร็จใหม่ ๆ ทำให้การรอเครื่องออกไม่น่าเบื่อ

ที่ร้านกาแฟเก๋มาก มีกระดานสีเขียวแขวนไว้ด้านบนของหน้าร้าน บนกระดานมีชอล์กเขียนไว้เป็นประมาณ “ประโยคเด็ดของวันนี้” วันนี้เขียนว่า ‘The Leader is the person who do the right thing without anyone looking at” ผมกะว่าเขียนประมาณนี้นะ คงแปลได้คร่าว ๆ ว่า “ผู้นำ คือบุคคลที่ทำสิ่งที่ถูกต้องโดยไม่ต้องให้ใครจับตามอง” นับเป็นประโยคที่น่าสนใจทีเดียว

นั่งคุยกันด้วยเรื่องเรื่อยเปื่อยสักพัก ผมกับซีซีก็แยกกันไปขึ้นเครื่อง ก่อนขึ้นเครื่องผมเดินไปแวะหาซื้อของฝาก ก่อน

แล้วก็ไปหยุดที่ร้านขายของที่ระลึก

ร้านเดิมที่เมื่อสองเดือนก่อนหน้านี้ผมเข้ามาซื้อตุ๊กตาเซรามิกสองตัว เป็นตุ๊กตาเซรามิกประจำปีเกิด ปีม้าสำหรับผม และปีงูสำหรับเธอ ทุกอย่างในร้านยังวางอยู่ที่เดิม ตุ๊กตายังมีแบบเดิม ๆ แต่ใครจะรู้ว่าตุ๊กตาสองตัวที่ผมซื้อไปนั้นมันคงไม่ได้กลับมาวางอยู่คู่กันอีก

ทำใจยืนอยู่ที่ร้านนานไม่ได้

นั่งเครื่องจากฮ่องกง ตลอดเวลานั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยมาตลอดทาง คิดถึงเรื่องเธอบ้าง คิดถึงเรื่องงานบ้าง อยากจะนอนระหว่างทางแต่ก็นอนไม่หลับ ม็อคค่าแก้วอร่อยเมื่อตอนสาย ๆ คงมาออกฤทธิ์ตอนนี้

อาหารบนเครื่องไม่อร่อยเลย จำได้ว่าการบินไทยเคยแจกอาหารที่อร่อยกว่านี้ แต่เดี๋ยวนี้รู้สึกว่าไม่อร่อย จะว่าเป็นเพราะเดินทางบ่อยหรือเปล่าก็ไม่ใช่ อาหารค่อนข้างชืด และดูแหยะ ๆ เลยกินไปได้นิดเดียวเท่านั้นเอง อีกอย่างไม่รู้สึกหิวด้วย

เครื่องมาลงที่ดอนเมืองตรงเวลา ผมไปแวะซื้อเหล้าให้พี่เอก ตรง duty free พี่เอกฝากซื้อเหล้าชีวาสบ่มสิบห้าปี แล้วให้ผมออกเงินไปก่อน

เดินไปเดินมาเจอแต่แบบสิบสองปี ( 1,040บาท) กับแบบสิบแปดปี (2,610) บาท ตัดสินใจซื้อแบบสิบสองปี เพราะเกิดพี่แกไม่เอา จะได้ไม่เข้าเนื้อตัวเองมาก

เดินกระเตงถุงขวดเหล้า และ ถุงของฝาก ไปนั่งรอเครื่องออกที่หน้าประตูทางออก เมื่อไม่มีอะไรทำก็เหงาอีกแล้ว หยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน เป็นหนังสือที่อ่านค้างไว้นานระดับโอลิมปิคมาก อ่านมาเกือบสองเดือนแล้วยังไม่จบ

เหตุผลข้อแรกคือหนังสือเรื่องนี้เป็นภาษาอังกฤษล้วน ซื้อมาสามเล่มตอนลดราคาสัปดาห์หนังสือ ตกเล่มละ 99 บาท อ่านจบไปเล่มนึงแล้วเมื่อต้นปี อันนี้เล่มที่สอง
เหตุผลข้อสองคือ เนื้อเรื่องไม่ค่อยสนุกมากเท่าไหร่ (มิน่าเอามาขายได้ถูก) เป็นเรื่องเกี่ยวกับแฮกเกอร์ แต่เป็นแฮกเกอร์รุ่นโบราณหน่อย (แฮกเครื่อง IBM XT)

ก็เลยยังอ่านไม่จบสักที

เครื่องออกจากดอนเมืองตรงเวลาแล้วก็มาถึงเชียงใหม่ตรงเวลาตอนสี่โมงครึ่ง ท้องฟ้าใส ไร้ฝนตก

ถึงบ้านซะที

1 Comments:

  • At 2:54 AM, Blogger AUY ^ ^ said…

    Welcome Home ค่ะ

    ตอนนี้ เวลา
    ก็กำลังทำหน้าที่ของมันอย่างแข็งขัน
    หัวใจ ก็อย่าพึ่งท้อไปซะก่อน ^^

     

Post a Comment

<< Home