Revenge Of The Sith
เพิ่งกลับจากไปดูหนังมา
หนังอันดับหนึ่งในดวงใจ
หนังที่ผมและใครหลายคนรอคอยมาเป็นปี
มันคือ STAR WARS EPISODE III : REVENGE OF THE SITH (ภาษาไทยตั้งชื่อว่า “ ซิธชำระแค้น” – จริง ๆ ผมว่าเห่ยไปหน่อยนะชื่อภาษาไทยแบบนี้)
เป็นภาคสุดท้ายของไตรภาคแรก เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่าง STAR WARS ภาคแรกที่มีการสร้าง (A New Hope) และจุดกำเนิดของมัน
เป็นภาคเฉลยจุดผกผันอันเป็นที่มาของ ดาร์ธ เวเดอร์ เป็นภาคที่เริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงจากสมาพันธ์ เป็น จักรวรรดิ์กาแลคติค เป็นภาคกำเนิดของ ลุค และ เลอา
เป็นอะไรอีกหลาย ๆ อย่างที่สมควรจะไปดูอีกรอบเป็นอย่างยิ่ง
อยากบอกว่าเป็นแฟนตัวจริงของ STAR WARS มาตั้งนานแล้ว ถึงจะไม่ขนาดแฟนพันธุ์แท้ แต่ก็ไม่น้อยหน้าใครทีเดียว
คำจำกัดความของ STAR WARS อย่างง่าย ๆ มันก็คือเทพนิยายแห่งกาแลคซี่ มีอัศวินผู้กล้าจิตใจคุณธรรม ขี่ม้าขาว(ยาน X Wing) กวัดแกว่งดาบวิเศษ ( Light Saber) มากอบกู้โลกจากอำนาจโหดของจักรพรรดิร้าย
แต่แทนที่มันจะเริ่มต้นว่า “Once upon a time… - กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว” อย่างนิทานหรือ เทพนิยายเรื่องอื่น ก็เปลี่ยนเป็น
“ A long long time ago in the galaxy far far away..”
ประโยคสุดคลาสสิค แค่ตอนเริ่มต้นเรื่อง มีประโยคนี้ขึ้นมาบนสกรีน ก็มีฝรั่งนั่งแถวหน้าทั้งหลาย ปรบมือเป่าปาก กันเป็นแถว ฮากันมาก
หนังยาวสองชั่วโมงครึ่ง
อิ่มเอม อิ่มเอม ใครจะวิจารณ์ว่าหนังยังไงก็ช่าง แต่สำหรับแฟนหนังอย่างผมแล้ว ประทับใจมาก (ที่ประทับใจที่สุดคือภาคนี้แทบจะไม่มี จาจาบิง โผล่ออกมาเลย – ถึงโผล่ก็ไม่มีบทพูด มีซ่า มีซ่า)
ได้เห็นการพัฒนาของทหารโคลนในภาคนี้ที่จะกลายเป็น Sand troopers และ Storm Troopers ในภาค A New Hope.
ได้เห็นยานต้นแบบที่จะพัฒนาไปเป็น Tie fighter และ X Wing ในภาคถัดไป
ได้เห็นอวสานของเหล่าอัศวินเจได (เข้าตำรา น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ)
หนังเรื่อง Starwars นี้นับได้ว่ามีอิทธิพลต่อหลาย ๆ วงการมาก
ง่าย ๆ ก็วงการการ์ตูน การ์ตูนญี่ปุ่น คนเขียนเรื่อง เรื่องดรากอนบอลล์ และ อาราเล่ ยานพาหนะส่วนใหญ่ในเรื่องได้รับอิทธิพลการออกแบบมาจาก STARWARS ทั้งนั้น (บางทีถึงกับมียาน Tie fighter ออกมาให้เห็นกันจะ ๆ ทีเดียว)
จอมมารพิกโกโล่ และ ชาวนาเม็ก ตัวเขียว ๆ นี่ก็น่าจะได้ไอเดียมาจากปรมาจารย์โยดา
หอคอยคาริน กับ วิหารพระเจ้า ก็น่าจะได้ไอเดียมาจาก เมืองลอยฟ้าในภาค The Empire Strikes Back.
มาถึงเรื่องคอบร้าบ้าง ฉากบาร์ในอวกาศของเรื่อง ก็ได้มาจากเรื่อง STARWARS เต็ม ๆ ไม่ว่าจะเป็นลักษณะของบาร์ หรือพวกมนุษย์ต่างดาวที่อยู่ในบาร์
ดาบเลเซอร์ของตำรวจอวกาศเกียร์บัน – ชาลีบัน และ จีบัน (ที่มักจะเอาออกมาใช้ตอนใกล้จบเป็นท่าไม้ตายพิฆาตสัตว์ประหลาด) นี่คงไม่ต้องบอกว่าได้มาจาก กระบี่แสง (light saber) ของอัศวินเจได ตรง ๆ
แต่ก็แปลก พอญี่ปุ่นยืมไอเดียฝรั่งมาเขียนการ์ตูน ฝรั่งเองก็ยืมไอเดียญี่ปุ่นมาทำหนังบ้างเหมือนกัน
เรื่องโรโบคอบ นี่ก็ได้ไอเดียมาจากตำรวจอวกาศเกียร์บัน – แค่โรโบคอบไม่มีดาบเลเซอร์ – และดูเป็นจริงเป็นจังมากกว่า
หรือเรื่อง Total Recall (คนทะลุโลก)ที่พี่บึ๊ก อาร์โนลด์ แสดง พล็อตเรื่องก็เอามาจากคอบร้า เลย ประมาณว่าพระเอกทำให้ความจำตัวเองหายไปเพื่อกลับมาใช้ชีวิตธรรมดา ๆ ในโลกอนาคต แต่แล้วก็มีคนคอบตามล่า ทำให้พระเอกได้ความทรงจำเก่ากลับมา
อะไรทำนองนี้
ไปดูที่เมเจอร์ซีเนเพลกซ์ เหมือนจะรู้งาน ตรงกลางลานมีของเล่นเกี่ยวกับสตาร์วอร์ส มาขายเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นหุ่นโมเดลขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ ยานอวกาศ กระบี่แสง หรือแม้แต่กระทั่งหน้ากากของ ดาร์ธ เวเดอร์ ละลานตาไปหมด
ถ้าไม่ติดว่ายังยากจนอยู่ ผมก็คงเข้าไปเหมาแล้ว
ตอนนี้ STAR WARS สร้างมาสองไตรภาค หกตอน แล้ว
Episode I : Phantom Menace
Episode II : Attack of the clones
Episode III : Revenge of the Sith
Episode IV : A New Hope
Episode V : The Empire Strikes back
Episode VI : Return of the Jedi
น่าจะมีโรงหนังซักโรงจัดเทศกาลคนรัก STAR WARS โดยเอาทั้งหกภาคมาฉายติด ๆ กัน ดูกันมาราธอนไปเลย ผมก็เป็นคนนึงที่จะไปยืนต่อคิวซื้อบัตรดูด้วย
กำลังลุ้นให้สร้าง Episode VII, VIII และ IX ไตรภาคสุดท้ายอยู่ ไม่รู้จะมีโอกาสได้ดูหรือเปล่า
กลัวมิสเตอร์ จอร์จ ลูคัส แกอยู่ทำต่อไม่ไหว
วันนี้เขียนมาแต่เรื่อง STAR WARS ก็ขอจบแบบ STAR WARS
May the Force be with you…ขอพลังจงอยู่คู่คุณ
-- แต่จะมีใครอยู่คู่ผม --
หนังอันดับหนึ่งในดวงใจ
หนังที่ผมและใครหลายคนรอคอยมาเป็นปี
มันคือ STAR WARS EPISODE III : REVENGE OF THE SITH (ภาษาไทยตั้งชื่อว่า “ ซิธชำระแค้น” – จริง ๆ ผมว่าเห่ยไปหน่อยนะชื่อภาษาไทยแบบนี้)
เป็นภาคสุดท้ายของไตรภาคแรก เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่าง STAR WARS ภาคแรกที่มีการสร้าง (A New Hope) และจุดกำเนิดของมัน
เป็นภาคเฉลยจุดผกผันอันเป็นที่มาของ ดาร์ธ เวเดอร์ เป็นภาคที่เริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงจากสมาพันธ์ เป็น จักรวรรดิ์กาแลคติค เป็นภาคกำเนิดของ ลุค และ เลอา
เป็นอะไรอีกหลาย ๆ อย่างที่สมควรจะไปดูอีกรอบเป็นอย่างยิ่ง
อยากบอกว่าเป็นแฟนตัวจริงของ STAR WARS มาตั้งนานแล้ว ถึงจะไม่ขนาดแฟนพันธุ์แท้ แต่ก็ไม่น้อยหน้าใครทีเดียว
คำจำกัดความของ STAR WARS อย่างง่าย ๆ มันก็คือเทพนิยายแห่งกาแลคซี่ มีอัศวินผู้กล้าจิตใจคุณธรรม ขี่ม้าขาว(ยาน X Wing) กวัดแกว่งดาบวิเศษ ( Light Saber) มากอบกู้โลกจากอำนาจโหดของจักรพรรดิร้าย
แต่แทนที่มันจะเริ่มต้นว่า “Once upon a time… - กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว” อย่างนิทานหรือ เทพนิยายเรื่องอื่น ก็เปลี่ยนเป็น
“ A long long time ago in the galaxy far far away..”
ประโยคสุดคลาสสิค แค่ตอนเริ่มต้นเรื่อง มีประโยคนี้ขึ้นมาบนสกรีน ก็มีฝรั่งนั่งแถวหน้าทั้งหลาย ปรบมือเป่าปาก กันเป็นแถว ฮากันมาก
หนังยาวสองชั่วโมงครึ่ง
อิ่มเอม อิ่มเอม ใครจะวิจารณ์ว่าหนังยังไงก็ช่าง แต่สำหรับแฟนหนังอย่างผมแล้ว ประทับใจมาก (ที่ประทับใจที่สุดคือภาคนี้แทบจะไม่มี จาจาบิง โผล่ออกมาเลย – ถึงโผล่ก็ไม่มีบทพูด มีซ่า มีซ่า)
ได้เห็นการพัฒนาของทหารโคลนในภาคนี้ที่จะกลายเป็น Sand troopers และ Storm Troopers ในภาค A New Hope.
ได้เห็นยานต้นแบบที่จะพัฒนาไปเป็น Tie fighter และ X Wing ในภาคถัดไป
ได้เห็นอวสานของเหล่าอัศวินเจได (เข้าตำรา น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ)
หนังเรื่อง Starwars นี้นับได้ว่ามีอิทธิพลต่อหลาย ๆ วงการมาก
ง่าย ๆ ก็วงการการ์ตูน การ์ตูนญี่ปุ่น คนเขียนเรื่อง เรื่องดรากอนบอลล์ และ อาราเล่ ยานพาหนะส่วนใหญ่ในเรื่องได้รับอิทธิพลการออกแบบมาจาก STARWARS ทั้งนั้น (บางทีถึงกับมียาน Tie fighter ออกมาให้เห็นกันจะ ๆ ทีเดียว)
จอมมารพิกโกโล่ และ ชาวนาเม็ก ตัวเขียว ๆ นี่ก็น่าจะได้ไอเดียมาจากปรมาจารย์โยดา
หอคอยคาริน กับ วิหารพระเจ้า ก็น่าจะได้ไอเดียมาจาก เมืองลอยฟ้าในภาค The Empire Strikes Back.
มาถึงเรื่องคอบร้าบ้าง ฉากบาร์ในอวกาศของเรื่อง ก็ได้มาจากเรื่อง STARWARS เต็ม ๆ ไม่ว่าจะเป็นลักษณะของบาร์ หรือพวกมนุษย์ต่างดาวที่อยู่ในบาร์
ดาบเลเซอร์ของตำรวจอวกาศเกียร์บัน – ชาลีบัน และ จีบัน (ที่มักจะเอาออกมาใช้ตอนใกล้จบเป็นท่าไม้ตายพิฆาตสัตว์ประหลาด) นี่คงไม่ต้องบอกว่าได้มาจาก กระบี่แสง (light saber) ของอัศวินเจได ตรง ๆ
แต่ก็แปลก พอญี่ปุ่นยืมไอเดียฝรั่งมาเขียนการ์ตูน ฝรั่งเองก็ยืมไอเดียญี่ปุ่นมาทำหนังบ้างเหมือนกัน
เรื่องโรโบคอบ นี่ก็ได้ไอเดียมาจากตำรวจอวกาศเกียร์บัน – แค่โรโบคอบไม่มีดาบเลเซอร์ – และดูเป็นจริงเป็นจังมากกว่า
หรือเรื่อง Total Recall (คนทะลุโลก)ที่พี่บึ๊ก อาร์โนลด์ แสดง พล็อตเรื่องก็เอามาจากคอบร้า เลย ประมาณว่าพระเอกทำให้ความจำตัวเองหายไปเพื่อกลับมาใช้ชีวิตธรรมดา ๆ ในโลกอนาคต แต่แล้วก็มีคนคอบตามล่า ทำให้พระเอกได้ความทรงจำเก่ากลับมา
อะไรทำนองนี้
ไปดูที่เมเจอร์ซีเนเพลกซ์ เหมือนจะรู้งาน ตรงกลางลานมีของเล่นเกี่ยวกับสตาร์วอร์ส มาขายเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นหุ่นโมเดลขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ ยานอวกาศ กระบี่แสง หรือแม้แต่กระทั่งหน้ากากของ ดาร์ธ เวเดอร์ ละลานตาไปหมด
ถ้าไม่ติดว่ายังยากจนอยู่ ผมก็คงเข้าไปเหมาแล้ว
ตอนนี้ STAR WARS สร้างมาสองไตรภาค หกตอน แล้ว
Episode I : Phantom Menace
Episode II : Attack of the clones
Episode III : Revenge of the Sith
Episode IV : A New Hope
Episode V : The Empire Strikes back
Episode VI : Return of the Jedi
น่าจะมีโรงหนังซักโรงจัดเทศกาลคนรัก STAR WARS โดยเอาทั้งหกภาคมาฉายติด ๆ กัน ดูกันมาราธอนไปเลย ผมก็เป็นคนนึงที่จะไปยืนต่อคิวซื้อบัตรดูด้วย
กำลังลุ้นให้สร้าง Episode VII, VIII และ IX ไตรภาคสุดท้ายอยู่ ไม่รู้จะมีโอกาสได้ดูหรือเปล่า
กลัวมิสเตอร์ จอร์จ ลูคัส แกอยู่ทำต่อไม่ไหว
วันนี้เขียนมาแต่เรื่อง STAR WARS ก็ขอจบแบบ STAR WARS
May the Force be with you…ขอพลังจงอยู่คู่คุณ
-- แต่จะมีใครอยู่คู่ผม --
2 Comments:
At 10:27 PM, NungNing said…
เห็นว่าเขาจะไม่ทำต่อนี่นา
แต่มีนิยายของภาค 7-9 ออกมาเต็มไปหมดเลย จากคนเขียนหลายคน หลายแบบ
At 10:28 PM, NungNing said…
ไปดูที่ Armidale มา
มีคนถือดาบเข้าไปด้วยล่ะ
Post a Comment
<< Home