My Empty World

Thursday, May 19, 2005

กลับบ้าน

ตื่นมาเช้ากว่าปกติสำหรับวันนี้

เพราะว่าไม่ได้นอนที่โรงแรม Orchad hotel เหมือนอย่างเคย ซีซี ก็เลยขับรถแวะมารับที่โรงแรมไม่ได้เหมือนเคย วันนี้เลยต้องนั่งแท็กซี่ไปหาลูกค้าเอง นัดกับซีซี และ ซิลเวียไว้ที่หน้าบริษัทลูกค้า

เมื่อคืนกลัวไม่ตื่นเลยตั้งเวลาปลุกเอาไว้ทั้งปาล์ม และ มือถือ แต่พอเอาเข้าจริง ก็ตื่นมาก่อนเวลาที่ตัวเองปลุกไว้ซะอีก

เดินเข้าห้องน้ำ ด้วยความที่ห้องพักมีขนาดเล็ก เขาจึงประหยัดเนื้อที่โดยการทำประตูห้องน้ำเป็นประตูแบบเลื่อน และยิ่งไปกว่านั้นเพื่อความประหยัดเนื้อที่กำลังสอง ก็เลยทำประตูเลื่อนบานนี้ติดเป็นกระจกเงาเต็มบานไปอีก

ตอนเช้า ขณะเดินงัวเงีย งัวเงีย เข้าห้องน้ำ เลยเจอผีพุงพลุ้ย แบบเต็มตัว


ตกใจมาก อึ้งไปสักพัก จนสามัญสำนึกบอกกับตัวเองว่าผีพุงพลุ้ยที่อยู่ข้างหน้านี่มันคือเงาของผมเอง


อาบน้ำ แต่งตัว เก็บกระเป๋า ลงมาเช็คเอาท์ข้างล่าง แล้วก็โบกแท็กซี่

ด้วยความที่โรงแรมนี้เป็นโรงแรมเล็ก ๆ ไม่ได้อยู่ติดถนนใหญ่ เลยไม่ค่อยมีรถแท็กซี่ผ่านเข้ามามากนัก ทางโรงแรมเลยแก้ปัญหาโดยการติดไฟหมุน (คล้าย ๆ ไซเรนบนหลังคารถพยาบาล)ไว้ที่หลังคาทางเดินเข้าโรงแรม เวลาเรามายืนรอแท็กซี่ก็กดปุ่ม ไอ้เจ้าไฟไซเรนนี้ก็จะทำงาน โดยการหมุน ๆ กระพริบ ๆ ไปมา (ไม่มีเสียง) แท็กซี่ที่ขับผ่านปากซอยเมื่อเห็นไฟกระพริบ ๆ นี้ก็จะรู้ว่ามีผู้โดยสารอยู่ แล้วเลี้ยวรถเข้ามารับ

ได้แท็กซี่แล้วก็บอกให้เขาขับไปส่งที่บริษัทลูกค้า แต่ก็ต้องไปยืนรอ ซีซี ซิลเวีย และทอม อีกสักพัก เนื่องจากผมไปเช้าเกินไปหน่อย (นัดไว้เก้าโมง ผมไปถึงแปดโมงยี่สิบ)

จากนั้นสองชั่วโมงแห่งนรกก็เริ่มขึ้น

โดนยำอีกตามเคย แต่ก็แก้ตัวอธิบายให้ท่านลูกค้าเข้าใจไปได้หลายเรื่อง มีตติ้งจบลงด้วยมี follow up actions มาให้ตามซะเยอะแยะอีกตามเคย ที่แย่คือส่วนใหญ่ action จะใส่เป็นชื่อผม เจ๊ไอรีน(ลูกค้า) บอกว่าผมคุยง่ายดี เลยให้งานไปทำเยอะ ๆ

ท่านลูกค้ามีการบอกผมตบท้ายว่าอย่าเพิ่งลาออกจากบริษัทนะ เธอยังมีอะไรต้องทำอีกตั้งเยอะ

อยากบอกว่า เพราะพวกท่านนั่นแหละ ทำให้ผมต้องมาทำงานช่วงสงกรานต์ และก็มาลงเอยโดยการที่ผมต้องเลิกกับแฟน ทำให้ผมต้องไปจีน ทำให้กระเป๋าผมหาย ทำให้..

จริง ๆ ก็ไม่เกี่ยว….แต่พาล

เสร็จจากมีตติ้ง พวกเราก็มาแวะกินข้าวกลางวันกัน

ตอนบ่ายซีซี กับทอม ต้องไปมีตติ้งกับฮิตาชิต่อ ผมกับซิลเวีย เลยกลับไปที่ออฟฟิศก่อน

พอกลับมาที่ออฟฟิศ ผมก็ไม่สามารถเข้าเว็บแอคเซสของเอาท์ลุค ได้อีกแล้ว สรุปปัญหาน่าจะอยู่ที่เซิร์ฟเวอร์ที่สิงคโปร์นี่มากกว่า

นั่งดูโน่นดูนี่ ออนไลน์คุยกับไอ้ก่อ กับ เจี๊ยบจนถึงสามโมงครึ่งก็ออกจากออฟฟิศ โบกแท็กซี่มาที่สนามบิน เครื่องออกห้าโมง แต่ต้องมาเช็คอินก่อน

พอขึ้นเครื่อง โรเบิร์ต แลงดอนก็เข้ามาช่วยผมจากความเหงาไว้ได้อีกครั้ง งัดเอา Angels & Demons ออกมาอ่านจนจบบนเครื่อง สรุปคนที่ผมคาดว่าน่าจะเป็นคนร้าย ก็เป็นคนร้ายจริง ๆ ซะด้วย หลังจากที่เนื้อเรื่องทำให้สับสน วนไปวันมาจนเดาไขว้เขวไปสักพัก

ผมคิดว่าเรื่องนี้สนุกกว่า Davinci code ซะอีก ด้วยตัวเนื้อเรื่องเอง แต่ที่ Davinci code ดังกว่าคงจะเป็นเพราะว่าเอาเนื้อเรื่องไปผูกกับตำนานและหลักฐานที่คนอ่านเชื่อได้อย่างสนิทใจมากกว่า จะว่าไป โรเบิร์ต แลงดอน ก็คล้ายอินเดียน่า โจนส์ภาคอยู่ในเมืองหลวง

ถึง กทม ตอนทุ่มนึง ก็ต้องมานั่งหง่าวต่อ เพราะว่ารอไฟลท์มาเชียงใหม่ที่จะออกตอนสี่ทุ่มครึ่ง

หนังสือก็อ่านจบแล้ว เลยต้องเอาบันทึกออกมาเขียนต่อระหว่างที่นั่งรอเครื่องออก เหงาอีกแล้ว

กลับถึงเชียงใหม่ห้าทุ่มครึ่ง อากาศเย็น

เป็นความเคยชินอีกแล้วเวลานั่งเครื่องบินไฟลท์ดึกกลับบ้าน เป็นความเคยชินที่ว่าจะมีใครคนนึงยังไม่นอนและกำลัง รอโทรศัพท์จากผมอยู่ รอแค่ให้ผมโทรไปบอกว่ากลับมาถึงแล้ว และให้เธอหลับฝันดี

แต่วันนี้คงไม่มีใครรอผมโทรไป

และที่สำคัญ…เธอก็คงหลับฝันถึงคนอื่นอยู่

1 Comments:

  • At 9:53 AM, Blogger AUY ^ ^ said…

    ไม่ได้เข้ามาแอบอ่านซะหลายวัน
    ไดก็ยังเศร้าอยู่เหมือนเดิมเลยแฮะ

    ^^

     

Post a Comment

<< Home