My Empty World

Thursday, June 30, 2005

แก๊งคนอกหัก???

วันนี้กะว่ากลับมาบ้านแล้วจะรีบอ่านหนังสือ ก็พอดีไอ้เจมส์โทรมาหาตอนสองทุ่ม ชวนออกไปกินหมูกะทะ มันกับไอ้น้อย และไอ้นา กินกันอยู่ที่ชุมแพหมูกะทะ แถว ๆ คูเมือง

แปลกที่จู่ ๆ มันก็โทรมาหา จริง ๆ ผมกับพวกมันไม่ได้เจอกันมาเป็นเดือนสองเดือนได้แล้วละมัง คงตั้งแต่ที่ผมเลิกกับเธอ มันก็เลยเหมือนผมห่างเพื่อน ๆ ไปด้วย

ผมบอกมันไปว่าผมกินข้าวเย็นเรียบร้อยแล้ว เอาไว้มันกินกันเสร็จแล้ว จะไปไหนกันต่อก็ค่อยโทรหาผม

เอาหนังสือ มาพลิก ๆ อ่าน เห็นจำนวนหน้าของหนังสือแล้วก็ทำให้หมดกำลังใจได้ง่าย ๆ ทีเดียว วันนี้วันพฤหัส อีกสามวันก็จะสอบแล้ว วันนี้เพิ่งเป็นวันแรกที่จะอ่านหนังสือ ยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเอกสารที่อาจารย์แจกให้ในห้องนี่ผมเก็บมาครบหรือเปล่า พรุ่งนี้เห็นว่ามีนัดกันอ่านหนังสือที่ใต้ตึก คงพลาดไม่ได้

สามทุ่มกว่า ผมโทรไปหาพวกไอ้เจมส์อีกครั้งหนึ่ง แต่โทรไม่ติด เสียงเหมือนสายไม่ว่างตลอด คิดว่าคงเป็นปัญหาระหว่างเครือข่ายของ AIS กับ ORANGE อีกตามเคย

สุดท้ายโทรมือถือ(ของผม) ไม่ติด ก็ใช้โทรศัพท์บ้านโทร - คราวนี้ติด

บอกมันไปว่าถ้ากินกันเสร็จแล้วให้ตามไปที่ร้านแบล็คแคนย่อน แถวถนนช้างคลาน ผมจะไปนั่งรอที่นั่น

ที่เลือกร้านนี้เพราะข้อแรกมันใกล้บ้านผม ข้อสองที่ร้านขายกาแฟ และข้อสามร้านปิดห้าทุ่ม ก็คงมีเวลานั่งอ่านหนังสือ และ คุยกับพวกมันต่ออีกพักใหญ่

ร้านแบล็คแคนย่อนก็เป็นอีกร้านที่เปิดขายกาแฟจนดึก เกือบใกล้เคียงกับร้านกาแฟเที่ยงคืนของผม(ที่ตอนนี้ยังอยู่แค่ในหัว) เพียงแต่ร้านเค้าขายจำพวก อาหารและเครื่องดื่มประเภทเบียร์ด้วย – ก็คงเป็นสาเหตุที่ทำให้ร้านปิดดึก

มานั่งจิบกาแฟรอที่ร้าน เพิ่งสำนึกได้ว่าพรุ่งนี้ต้องไปทำงาน การกินกาแฟตอนดึกหมายถึงว่าจะต้องนอนดึกมาก แล้วตอนเช้าก็จะตื่นสาย แต่ก็ไม่เป็นไร - การนอนดึกหมายถึงว่ามีเวลาอ่านหนังสือเพิ่มอีกหน่อย แต่จะเข้าหัวหรือเปล่านั่นเป็นอีกเรื่อง

ที่ร้านไม่ค่อยมีคน ทั้ง ๆ ที่เป็นวันสิ้นเดือน อาจจะเป็นเพราะว่าคืนนี้เป็นคืนวันพฤหัส ถ้าไม่นับผมแล้วก็มีลูกค้าอีกแค่สองโต๊ะเท่านั้น ที่ร้านเปิดเพลงคลอเบา ๆ ก็เข้าใจเลือกเพลงเปิด ถ่านไฟเก่าของพี่เบิร์ด ทุกนาทีที่หายใจของเจมส์ แล้วก็ปลายทางของบอดี้สแลม – ไม่รู้ว่าพนักงานกำลังอกหักเหมือนกันหรือเปล่า – แต่การเปิดเพลงแบบนี้ มันกำลังทำให้ลูกค้าคนหนึ่งถึงกับสะอึกแทบน้ำตาคลอ

สี่ทุ่มแล้ว พวกไอ้เจมส์ยังไม่มา ผมยังคงโทรหามัน(ด้วยมือถือ)ไม่ได้อีกเช่นเคย กำลังจะเดินออกไปนอกร้านเพื่อโทรหาพวกมันที่ตู้โทรศัพท์ ก็พอดีเห็นรถมันเลี้ยวเข้ามา

สรุปเพิ่งมารู้ว่าเรื่องใหญ่ใจความที่มัน(ไอ้เจมส์)อยากคุยกับผมวันนี้คือมันกำลังมีปัญหาระหองระแหงกับแฟน แล้วก็เลยอยากมาปรึกษาผม ต้นเหตุไม่มีอะไรมาก มีเวลาให้กันไม่เพียงพอเท่านั้นเอง – แต่ดูเหมือนจะเป็นเหตุผลส่วนใหญ่ของคนที่เลิกกัน

แล้วมันก็ต้องตกใจเมื่อผมบอกมันไปว่าผมเลิกกับเธอแล้ว การที่มันต้องการมาปรึกษาผมกลับกลายเป็นว่าพวกมันต้องมาช่วยกันปลอบใจผม(อีกรอบ)

ไอ้น้อยถามขึ้นมาทันที “แฟน(เก่า)มึงเป็นเด็กดารารึเปล่าวะ” ผมงง แต่ก็ตอบว่าไม่ใช่

เรื่องของเรื่องคืนตอนนี้พวกกลุ่มเพื่อน ๆ (ไม่นับผมและไอ้เจมส์) กำลังถูกแก๊งค์เด็กดาราหักอก (และหลอกใช้ – สำหรับบางคน) ไม่ว่าจะเป็น ไอ้น้อย ไอ้ศิว และอีกหลายคน – บังเอิญว่าแฟนไอ้เจมส์ก็ดันจบดาราเหมือนกัน ก็เลยกลายเป็นเรื่องที่ต้องคอยลุ้นต่อไป

ไอ้น้อยลุ้นให้เลิกกัน มันจะได้มีน้องใหม่ของชมรม “คนถูก(เด็กดารา)หักอก” ส่วนผมลุ้นในทางตรงกันข้าม ไม่อยากให้เลิกกัน ไม่ใช่ว่าผมเป็นคนดี อยากเห็นแต่โลกที่สวยงาม และคนรักกัน แต่ผมกลัวว่า ถ้าไอ้เจมส์ต้องเลิกกับแฟนไปอีกคน ต่อจากนี้ไปทุกสุดสัปดาห์พวกมันก็จะมาลากผมออก(จากบ้าน)ไปกินเบียร์เป็นเพื่อนมันอีก – เป็นวัฏจักรนรกแบบเมื่อเกือบสองปีที่ผ่านมา

ห้าทุ่มแล้ว ร้านปิด พนักงานเก็บโต๊ะ ปิดไฟ พวกเราก็ต้องออกจากร้านมาโดยปริยาย

แยกย้ายกันกลับบ้าน ก่อนจาก ไอ้เจมส์ฝากคำอาฆาตกับผมไว้ว่าจะต้องลากผมออกมากินเบียร์ด้วยกันซักวัน

ผมกลับคิดไปว่า แทนที่มันจะลากผมออกมากินเบียร์ปรึกษานู่นนี่ สู้มันเอาเวลานี้ไปโทรหาแฟน หรือพาแฟนมันออกไปกินข้าว หรือ ดูหนังไม่ดีกว่ารึ – แต่ก็ได้แต่คิด ตั้งแต่ผมถูกทิ้งมานี่ชักจะไม่ค่อยแน่ใจกับคำแนะนำและแนวคิดของตัวเองซะเลย

Sunday, June 26, 2005

บันทึกในตอนเช้า..

วันนี้ตื่นมานั่งเขียนบันทึกแต่เช้า

วันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2548 วันที่ท้องฟ้าสดใส

ผมตื่นตั้งแต่ตีห้า มาอาบน้ำ จริง ๆ ไม่ใช่เพราะเกิดขยันอะไรขึ้นมา เพียงแต่ว่าวันนี้เป็นวันกำหนดส่ง Reading Notes ให้อาจารย์ แล้วผมก็ยังทำสรุปไม่เสร็จเลย เมื่อคืนกว่าจะแยกจากน้องที่จับคู่ทำ reading notes ด้วยกันก็เกือบสองทุ่มแล้ว เมื่อวานสามทุ่ม วันก่อนห้าทุ่ม ที่สำคัญยังมีงานกลุ่มหกคนซึ่งก็ยังไม่เสร็จเลย แต่ reading notes เป็นงานที่ต้องส่งก่อน ทุกคนก็เลยผละจากงานกลุ่มเหมือนนัดกันไว้

รู้สึกว่าการเรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย นับวันจะยิ่งดูดเอาพลังชีวิตจากตัวผมออกไปเรื่อย ๆ

หรือจะเป็นที่ตัวผมเอง ที่เครียดไปกับการเรียนและการทำรายงานไปเอง เรียนแล้วก็อยากทำรายงานออกมาให้ดี ทำงานก็อยากให้งานออกมาดี รีบปิด issue ปัญหากับลูกค้าให้ไวที่สุด

รักใครก็รักไปสุดหัวใจซะอย่างนั้น – ทุกวันนี้ก็เลยยังเวิ่นเว้อไม่หายซักที

ตื่นมาตอนเช้ารีบมาอาบน้ำ เปิดคอม เขียนรายงานต่อ แต่ก็ใช้เวลานั่งเหม่อคิดถึงเธอไปซะครึ่งชั่วโมง

อาการคิดถึงเธอตอนเช้า ๆ หลังตื่นนอนยังไม่มีทีท่าว่าจะหายไปง่าย ๆ

วันนี้ก็ครบสองเดือนพอดีที่เราเปลี่ยนจากการเป็นคนรักมาเป็นเพื่อน ถ้าเรายังเป็นคนรักกันอยู่ อาทิตย์หน้าก็จะครบหนึ่งปีพอดีที่เราตกลงเป็นแฟนกัน ผมรู้ว่าเธอคงจำไม่ได้ – หรือก็ไม่จำ คนที่แย่ที่สุดคือคนที่ยังจำมันทุกอย่าง

ตอนที่เธอทำงานที่เดียวกันกับผม ผมใช้เวลาปีกว่า ๆ เดินผ่านโต๊ะทำงานของเธอทุกวัน แต่ไม่กล้าคุยด้วย

จนรู้ว่าเธอกำลังจะลาออก ถึงได้กล้าเข้าไปคุยด้วย

แล้วก็ใช้เวลาอีกหกเดือนพัฒนาจากความเป็นเพื่อน จนเธอยอมรับเป็นแฟน

แล้วผมก็มีช่วงเวลาที่มีความสุขต่อมาอีกสิบเดือนกว่า ๆ – เพื่อที่เธอจะใช้เวลาอีกหนึ่งอาทิตย์ทบทวนว่าจริง ๆ แล้วสิ่งที่เธอต้องการไม่ใช่ผม

แล้วผมก็เวิ่นเว้นมาจนถึงตอนนี้ สองเดือนพอดี แล้วก็ไม่รู้ว่าต้องเวิ่นเว้อต่อไปจากนี้อีกกี่เดือน

Tuesday, June 21, 2005

โปสการ์ดใบน้อย

ช่วงนี้รู้สึกตัวเองว่าเหลวไหลเกเรที่ไม่ได้มาเขียนบันทึกเสียหลายวัน

จะว่าขี้เกียจก็ไม่เชิง แต่คงเป็นเพราะว่ามีอะไรหลาย ๆ อย่างให้ทำในแต่ละวันมากกว่า พอกลับมาบ้าน อาบน้ำหัวถึงหมอนก็นอนหลับไปเลย กิจกรรมในแต่ละวันทำให้หมดพลังไปอย่างง่ายดาย

แต่ก็นั่นแหละ สิ่งที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน ทั้งดีและร้าย มันน่าเสียดายที่จะผ่านมันไปโดยไม่เหลืออะไรไว้ให้จดจำ

วันอาทิตย์ที่ผ่านมา พี่อู๋ – ตัวแทนประกันชีวิตของผม - เธอชวนไปช่วยจัดรายการวิทยุตอนกลางคืน อันที่จริงคืออยากนัดเจอกันมากว่า มาทบทวนกรมธรรพ์ เพราะต่างคนต่างยุ่ง ๆ อยู่ไม่ค่อยได้เจอกันนานแล้ว จำได้ว่านัดเจอพี่อู๋แกคราวก่อนก็คือช่วงปลาย ๆ ของปีที่แล้ว เป็นช่วงที่ผมกำลังมีความสุขกับทุก ๆ อย่างในชีวิต สนุกกับงาน มีคนรักอยู่เคียงข้าง เริ่มวางแผนเก็บเงินเก็บทองอย่างจริงจัง ก็ปรึกษาแกเรื่องเก็บเงินไปคราวที่แล้ว

มาเจอกันคราวนี้ สถานการณ์เปลี่ยนไป ผมล่องลอยพอสมควรเวลาพูดคุยกับแกเรื่องอนาคต แต่อย่างน้อย แกก็ช่วยย้ำคำพูดที่ว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมดีเสมอ” พี่อู๋ทิ้งท้ายเอาไว้ว่าแล้วจะเอาหนังสือ(ที่ชื่อเรื่องนี้)มาให้ยืม

ก่อนจาก พี่อู๋ทิ้งท้ายว่าผมหน้าตาสดใส (เกินกว่าจะเหมือนคนที่เพิ่งอกหัก) ดูดีขึ้น - ถ้าพี่อู๋จะสาวกว่านี้สักห้าหกปีผมคงดีใจกว่านี้ แต่ก็ขอบคุณครับ

เมื่อวานเลิกงานแล้ว มาลงรถตู้ที่ โรบินสันแอร์พอร์ตพลาซ่า แล้วก็แวะเข้าไปกินข้าว – ดูหนัง – คนเดียว

กลับสู่สภาพที่คุ้นเคย ในการที่ต้องทำอะไร ๆ คนเดียว อาจจะรู้สึกไม่คุ้นเพราะความเคยชิน แต่อีกสักหน่อย การทำอะไร ๆ คนเดียว มันก็คงจะกลับมาเป็นความเคยชินของผมอีกเหมือนกัน ถึงตอนนั้น การไปไหนเป็นคู่กับใครก็คงเป็นของไม่ชินกับผมก็ได้

แวะเข้าไปดูหนัง –แบทแมนบีกินส์- หนังแบทแมนภาคที่ห้า แต่เนื้อหากลับย้อนไปถึงกำเนิดและที่มาของแบทแมน

ตัวหนังดูเครียดเล็กน้อย - เพื่อสี่อถึงที่มา และ แรงกดดัน(หรือบันดาลใจ) ในการมาเป็นแบทแมน เจ้าชายแห่งรัตติกาล ของ บรูซ เวย์น ตัวหนังดูแตกต่างไปจากแบทแมนภาคก่อน ๆ เพราะออกจะ Realistic มากกว่าภาคก่อน ๆ ดูไม่แฟนตาซีเหมือนกับงานที่กำกับโดย ทิม เบอร์ตัน หรือ โจเอล ชูมัคเกอร์

แน่นอนว่าหนังจบแบบทิ้งปมต่อเอาไว้ทำภาคต่ออีกแน่นอนโดยกล่าวถึงตัวละครสำคัญที่ยังไม่ปรากฏ...

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
ฝนตกอีกแล้ววันนี้

มันมักจะเลือกตกตอนเวลาเราออกจากบ้าน หรือ เวลากำลังจะกลับเข้าบ้าน

เสียงฝนตกตอนเช้าดังเป็นจังหวะคลอตอนตอนนั่งบนรถตู้ตอนไปทำงานทำให้เราหลับต่ออย่างสบายอารมณ์แล้วก็เสียอารมณ์เพราะไม่อยากตื่นตอนรถมาถึงที่ทำงาน

แต่ฝนตกตอนเย็นมักจะให้อารมณ์ที่แปลกไป ฝนปรอย ๆ เหมือนมีม่านบาง ๆ กั้นมัว ๆ มันทำให้เราอยากรู้อยากมองออกไปข้างนอก โดยเฉพาะวันไหนที่พี่คนขับรถเลือกใช้ถนนเส้นที่ขนานทางรถไฟจากลำพูนมาเชียงใหม่ มันเป็นถนนลาดยางตัดใหม่เส้นเล็กพอสวนกันได้สองเลน ที่ฝั่งซ้ายเป็นรางรถไฟส่วนฝั่งขวาเป็นกอหญ้าเขียว ๆ มีบ้านคนอยู่ประปราย

ฝนปรอย ๆ บนพื้นถนนดำ ๆ ตัดกับสีต้นหญ้าเขียวสดชุ่มน้ำ มันทำให้การเดินทางกลับบ้านดูเหมือนเป็นการไปเที่ยว

เป็นถนนอีกสายที่ดูสวยในวันที่ฝนตก และ ผมไม่ต้องขับรถเอง

วันนี้กลับบ้านมาเจอ โปสการ์ดใบน้อย นอนยิ้มรออยู่ที่บ้าน

มันร่อนมาจากน้องสาวคนนึงที่คุยกันทาง msn แทบทุกวัน แต่ก็ยังอุตส่าห์ ส่งมาหาตามคำพูด(ที่เขียนเอาไว้) ดูจากเวลาทีเขียนลงในโปสการ์ด ห้าทุ่มกว่า ๆ คืนวันอาทิตย์ ผมยังคงนอนอ่านหนังสืออยู่ - สาส์นจากวารี - เป็นหนังสือที่ยืมน้องสาวคนนี้มาอีกเช่นกัน

จำไม่ได้แล้วว่าส่งจดหมาย(ที่เป็นจดหมายจริง ๆ แบบที่ต้องหย่อนลงในช่องที่ตู้ไปรษณีย์) ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ อาจจะตั้งแต่อีเมล์ เริ่มมามีอิทธิพล ต่อผมและคนรอบข้าง แล้วเราก็ลืมการเขียนข้อความดี ๆ ลงในกระดาษใบสวย บรรจงพับ หย่อนใส่ซอง ปิดแสตมป์ หย่อนที่ตู้ไปรษณีย์ ลงไปเลย

เกิดอยากส่งจดหมาย(จริง ๆ )ขึ้นมาบ้างแล้ว แต่กลางดึกอย่างนี้จะทำอย่างไรได้?

Thursday, June 16, 2005

เรื่องเก่า ๆ

วันนี้ผมโทรไปหาเธอ

พยายามโทรไปหาด้วยข้ออ้างจากเมื่อหลายวันก่อน

พี่หน่อย พี่ซึ่งเคยอยู่แผนกเดียวกันกับเธอตอนที่เธอทำงานอยู่ที่นี่ เข้ามาถามผม(ทาง msn) ว่าตอนนี้เธอเปลี่ยนเบอร์มือถือหรือเปล่า เพราะพี่แกเคยโทรไปหาแล้วติดต่อกับเธอไม่ได้

ผมบอกว่าใช่ พี่หน่อยเลยขอเบอร์โทรของเธอจากผม

ยังไงดี ตอนนี้ผมไม่อยู่ในฐานะที่จะเที่ยวยกเบอร์โทรของเธอให้กับใครได้ ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกันมากไปกว่าว่าเราเป็นแค่เพื่อนกัน (ซึ่งผมเองก็ยังคาใจในความหมายของคำว่า “เพื่อนกัน” ของเธอ) แต่ไอ้การที่จะบอกพี่หน่อยไปว่าตอนนี้เราเลิกกันแล้ว และให้พี่หน่อยไปหาเบอร์โทรของเธอเอาเอง มันก็ดูจะยิ่งลำบากสำหรับผม รู้ว่าเราเลิกกัน แต่มันก็ไม่สนุกที่จะไปบอกใครต่อใคร รู้ว่าไม่มีสิทธิ์ แต่ลึก ๆ มันก็ยังไม่ยอมรับความจริงอยู่ดี

วันก่อนผมเลยเมล์หาเธอ ไปถามเธอ บอกเธอว่าพี่หน่อยขอเบอร์ของเธอ ให้ได้หรือเปล่า

เงียบ ไม่มีคำตอบจากเธอ มาเป็นเวลาสองวัน

วันนี้ผมเลยโทรไปหาเธอ โทรไปที่ทำงาน ใช้พี่หน่อยเป็นข้ออ้าง

เธอรับสาย

ไต่ถามสารทุกข์กันเล็กน้อย ผมถามเธอเรื่องเมล์ที่ส่งไป เธอบอกว่าเธอตอบกลับมาแล้วตั้งแต่วันที่ผมส่งไป งงเหมือนกันที่จนป่านนี้ผมก็ยังไม่ได้รับ

น้ำเสียงเธอยังเหมือนเดิม แต่สิ่งที่รับรู้ได้คือ สรรพนามที่เธอเรียกผมมันเปลี่ยนไป

เธอเรียกผมว่า “เธอ” ทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนเธอก็เรียกชื่อผมตรง ๆ “ก็ส่งเมล์กลับไปหาเธอตั้งแต่วันนั้นแล้วแหละ ยังไม่ได้อีกเหรอ? แปลกเนอะ…..”

สถานภาพเปลี่ยนไป คำที่ใช้เรียกก็เปลี่ยนไปด้วย….ไม่อยากถามเธอถึงเรื่องที่คาใจอย่างนี้

อยากทำตัวเป็นคนดี อยากเป็นเพื่อนที่ดีกับเธอ อยากหยุดคิดกับเธออย่างคนรักเสียที ปกติคนเราใช้เวลาเท่าไหร่ในการเลิกรักใครสักคน? หนึ่งเดือน สามเดือน หนึ่งปี สิบปี หรือ ตลอดชีวิต?

สักวันผมคงรู้คำตอบนี้

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

ตอนนี้มีข่าวรับน้องออกมาเยอะมาก ส่วนใหญ่แล้วจะออกมาในทางที่ไม่ดี

คิดถึงสมัยตอนเรียนปริญญาตรี ตอนถูกรับน้องปีหนึ่ง ช่วยดูแล(และแกล้ง)น้องตอนอยู่ปีสอง ไป(แอบ)ว๊ากน้องตอนอยู่ปีสามและปีสี่ เป็นชีวิตสี่ปีที่มีค่าที่สุดช่วงหนึ่งทีเดียว ถึงเราจะถูกรับน้องอย่างค่อนข้างเข้มงวด(และทารุณ) แต่ก็ตั้งอยู่บนหลักการ

ใครจะว่าอย่างไร อย่างน้อยก็มีผมคนนึงที่ดีใจ ที่ผ่านการรับน้องมาได้

เคยคิดกันกับกิ่งว่าจะเขียนหนังสือออกมาสักเล่ม อาจจะเป็นตอน ๆ สั้น ๆ จบในตอน เขียนถึงชีวิตสมัยเรียนวิศวะมอชอ กิ่งถึงกับคิดชื่อเรื่องเอาไว้แล้วด้วย

“เลือดหมูในรั้วม่วง” เป็นชื่อของมัน เท่ดี ผมคิดว่างั้น

คุยกันไว้ตั้งแต่ตอนใกล้ ๆ เรียนจบ จนป่านนี้กิ่งกำลังจะจบปอโท(นิด้า) และผมกำลังเรียนปอโท(มอชอ) แต่เราก็ยังไม่เขียนอะไรกันเป็นจริงเป็นจังสักที

กิ่งมันอาจจะเขียนเอาไว้แล้วแต่ไม่ยอมให้ผมอ่าน เอาไว้เจอกันใน msn จะลองถามอีกที ถ้ากิ่งยังไม่เขียนอะไรผมจะยืมชื่อเรื่องเอามาเขียนเองแล้วกัน

กลัวแต่ว่าถ้ากิ่งมันให้ยืมจริง ๆ ผมก็จะเอามาดอง และก็ยังไม่เขียนอะไรอีกอยู่ดี

แล้วก็คิดไปถึงหนังสือ “เหมืองแร่” ของคุณอาจินต์ ปัญจพรรค์ อีกที

ผมรู้สึกว่าแกคุ้มมาก คือเอาชีวิตวัยหนุ่มไปทิ้งในเหมืองแร่ที่ห่างไกลความเจริญ ห่างไกลแสงสี เสียสี่ปีเต็มๆ

แต่แกก็เอาสี่ปีนั้นมาเขียนเป็นหนังสือขายได้อีกตลอดสามสิบปีต่อมา พิมพ์รวมเล่มขายอีกหลายรอบ - ได้ตำแหน่งศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ แถมเรื่องยังได้ค่าลิขสิทธิ์ เมื่อเอามาทำเป็นหนังอีกต่างหาก

อย่างนี้เรียกว่าคุ้มหรือเปล่า ต้องแล้วแต่คนจะคิด

แล้วสี่ปี(กับอีกหนึ่งซัมเมอร์) ในวิศวะมอชอของผม จะเอามาเขียนเป็นอะไรได้บ้าง?

คำตอบก็คือ เยอะแยะ วีรกรรมการขโมยหลอดไฟข้างทางของผมกับไอ้เป็ดเอามา draft drawing ตอนเรียน drawing ตัวที่สาม

พฤติกรรมแปลกประหลาดของ กอล์ฟรันเนอร์ที่โด่งดังไปถึงหลายคณะ

เรื่องของพี่เสือ หมาประจำคณะที่มักจะสับสนวิ่งตามผิด ๆ ถูก ๆ ระหว่างคณะวิศวะกับคณะเกษตร

เรื่องของมิงค์จอมยุทธ ที่วิ่งจากลำปางมาเชียงใหม่แค่เพราะสงสัยว่ามันไกลแค่ไหน

เรื่องของไอ้มะที่เมาแล้วของขึ้น ผีเข้า วิ่งลงทะเลตอนไปดูงานปีสาม จนได้ฉายาว่าไอ้มะ คนผีทะเล

ความรักมาราธอนของไอ้กานที่ทำให้มันยังไม่กลับจากญี่ปุ่นจนป่านนี้

……………………….

ไม่ต้องเอารูปออกมาดู แค่หลับตานึกถึง ภาพเหล่านี้มันก็ออกมาวนเวียนให้ผมได้อมยิ้มทุกครั้งไป

Tuesday, June 14, 2005

ทำรายงาน

วันนี้เลิกงานแล้วก็นัดเพื่อนร่วมกลุ่ม MBA มาทำงานกันอีกแล้ว เราแทบจะเรียกได้ว่าเจอกันทุกวัน เพิ่งเจอกันไปเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา วันนี้วันอังคารก็นัดมาเจอกันอีกแล้ว

เหตุผลสำคัญเลยก็คือเพราะว่าเรามีงานที่อาจารย์มอบหมายให้ทำมาเยอะมาก ไม่นับ reading notes ที่จับคู่กันทำ(และผมก็ยังทำไม่ถึงไหน) เราก็มีงานกลุ่มหกคนมาเป็นตัวสกัดดาวรุ่ง

อาทิตย์ที่แล้วเราเพิ่งส่งการบ้านงานกลุ่มที่เป็นการตอบคำถามเชิงวิเคราะห์จากบทความ(ภาษาอังกฤษ) ที่อาจารย์เลือกมาให้อ่าน – อาทิตย์นี้เราก็ต้องมานัดกันวางแผนกันทำโปรเจคย่อม ๆ อีกอันหนึ่ง

โปรเจคย่อม ๆ อันที่ว่าคืออาจารย์ให้เราไปเลือกเอาบริษัทหรือองค์กรที่เรารู้จัก (และเป็นองค์กรที่มีชื่อเสียง) และค้นคว้าเกี่ยวกับกลยุทธ์ในทางการบริหารที่ใช้ในองค์กรนั้น ๆ แล้วเอามานำเสนอ

ถ้าการค้นคว้าเป็นแบบแห้ง ๆ (search หาเอาตามเอกสาร วารสาร หรือ internet ) เราก็คงไม่บ่นกันเท่าไหร่ แต่นี่อาจารย์ต้องการให้แต่ละกลุ่มไปสัมภาษณ์คนที่อยู่ในองค์กรและมีอำนาจจัดการเกี่ยวกับกลยุทธ์ในองค์กรนั้น ๆ โดยต้องสัมภาษณ์ ถอดเทป ทำบทความวิจารณ์ และสุดท้าย นำเสนอในห้องเรียน

วันอาทิตย์ที่จะถึงนี้จะต้องส่งบทสัมภาษณ์ที่ถอดเทปออกมา

อาทิตย์ถัดไปส่ง draft ของบทความวิจารณ์

อีกอาทิตย์ส่งบทความฉบับสมบูรณ์

และก็นำเสนอในอีกอาทิตย์ถัดมา

ฟังดูไม่น่าลำบาก แต่ถ้าคิดถึงความจริงว่าแต่ละคนต้องทำงานประจำกันทุกวัน และมีเวลาว่างมาเจอกันก็แค่ตอนเย็น ๆ ของบางวัน - ต้องแบ่งเวลาให้ครอบครัวบ้าง (กว่าจะมากันครบก็ประมาณทุ่มสองทุ่ม) โดยที่วันเสาร์อาทิตย์ก็ต้องเรียนเต็มวัน มันไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ เลย

ไม่เลยแม้แต่น้อย

วันนี้นัดเจอกันเพื่อสรุปเนื้อหากลยุทธ์ขององค์กรที่เราได้ไปศึกษามา และก็ร่างคำถามที่จะเอาไปสัมภาษณ์ในวันพฤหัส และวันศุกร์นี้เพื่อมาถอดเทปเอาไปส่งวันอาทิตย์

ตอนนี้ไม่กล้าแพลนอะไรล่วงหน้ามาก ๆ เอาแค่ว่าพ้นอาทิตย์นี้และให้มันยังอยู่ในตารางที่กำหนดเอาไว้

บีบคั้นจิตใจซะเหลือเกิน

Sunday, June 12, 2005

เรื่องของแว่นตา

ตื่นมาตอนเช้าแบบสาย ๆ หน่อย (เจ็ดโมง)

เมื่อวานกินอิ่มไปหน่อยที่งานบายศรี กะจะไปดูงานคอมที่ศูนย์ประชุมมอชอต่อ แต่พอดีพี่เอกโทรมาบอกว่าได้เวลาที่แกจะมาแวะเอาเจ้าสิบสองปี(ชีวาส)ที่แกฝากผมซื้อไว้ ไปเป็นของแกแล้ว

ก็เลยต้องกลับบ้านมารอเอาของให้พี่เอก

แล้วด้วยความอิ่ม พออาบน้ำเสร็จก็หลับไปเลย

ตื่นมาอีกทีเช้าวันนี้ตกใจแทบแย่เพราะนอนทับแว่นตัวเอง

เพราะเมื่อคืนนอนอ่านหนังสือ เผลอหลับไป แล้วแว่นคงตกลงไปตอนผมนอนดิ้น กลิ้งไปทับมันเข้า ตื่นขึ้นมาก็เลยเจอสภาพที่ขาแว่นมันบิด ๆ งอ ๆ ไปจากเลนส์

แต่ยังดี ที่มันไม่มีรอยแตกหรือร้าวอะไร พอผมเอามาบิด ๆ มันกลับคืน ก็ยังใช้ได้เหมือนเดิม

แว่นตาคู่นี้เหมือนเป็นอนุสรณ์ความหลัง(ในตอนนี้) สำหรับผม

มันเป็นข้ออ้างที่ทำให้ผมได้ไปเที่ยวกับเธอเป็นครั้งแรก

เพราะวันนั้น(เมื่อปีกว่า ๆ ที่ผ่านมา) เธอมีธุระต้องไปร้านแว่นเพื่อซื้อคอนแทคเลนส์ ผมเลยถือโอกาสขอไปด้วยเพื่อไปตัดแว่นใหม่ เนื่องจากอันเก่ามันเสียแล้ว (ทั้งที่จริง ๆ แล้วกะเอาไปแค่ซ่อมเฉย ๆ)

แต่เป็นเพราะว่าเธอมาช่วยเลือกกรอบแว่นให้ ผมเลยจำเป็นต้องซื้อใหม่

เธอเลือกได้กรอบแว่นแบบไม่มีกรอบ ราคาประมาณสองพันกว่าบาท ผมก็ยอมตัดใจซื้อ เพราะไหน ๆ เธอก็ช่วยเลือกให้ แต่ที่ไหนได้แว่นไม่มีกรอบต้องการเลนส์ชนิดเหนียวเป็นพิเศษเพื่อจะพยุงกันเอาไว้ได้

ผมเลยต้องจ่ายค่าเลนส์เพิ่มเข้าไปอีกสองพันกว่าบาท เบ็ดเสร็จรวมกันเกือบห้าพัน น้ำตาแทบไหล แต่เธอมีบัตรลดเลยช่วยประหยัดไปได้อีกหน่อย

เลยกลายเป็นข้ออ้างที่จะได้ไปกินข้าวกับเธอต่อในวันนั้น

ภาพในวันนั้นก็ยังชัดเจนอยู่ในวันนี้สำหรับผม ยังคิดถึงเธออยู่ไม่หาย คิดถึงเธอทุกครั้งที่อยู่คนเดียว

เขาว่าความรักทำให้คนตาบอด

ก็อาจจะจริงถ้าตาคู่นั้นยังมองโลกผ่านผ่านทางแว่นคู่นี้

Saturday, June 11, 2005

เฮ้อ...

วันนี้ตื่นแต่เช้า(หกโมง) มานั่งทำการบ้าน Account เพราะเมื่อคืนหลังจากเสร็จงานกลุ่มแล้วกลับบ้านมากินข้าว เขียนบันทึก อาบน้ำแล้วก็หมดแรงเผลอหลับไปเลย

แต่การหลับไปแล้วตื่นมาทำการบ้านตอนเช้านี่ก็เหมือนจะเป็นข้อดี เพราะรู้สึกว่าทำให้สมองปลอดโปร่งหากเรื่องมาฝอยและบรรยายในการบ้านได้สะดวกขึ้น - การบ้านที่อาจารย์สั่งมาคือให้ไปอ่านบทความที่อาจารย์เตรียมไว้ให้มาสองบทความแล้วก็เขียนวิเคราะห์สถานะของบริษัทโดยใช้ข้อมูลที่เป็น non-financial

ทำการบ้านเสร็จแล้วจะพิมพ์ออกทาง printer ก็กลายเป็นว่า printer เจ้ากรรมกลับไม่ยอมพรินท์ทั้ง ๆ ที่เติมหมึกก็แล้ว ทำอะไรก็แล้ว คาดว่าอาจจะเป็นมันตันหรืออะไรซักอย่าง ซึ่งตามอายุของมันก็หลายปีพอสมควรแล้ว

กำลังลังเลใจว่าจะซื้อพรินเตอร์ใหม่ หรือ จะเอามันไปซ่อมดี แต่คิดว่าอย่างแรกอาจจะคุ้มกว่า

ก็เลยต้อง save งานลง Handy drive แล้วเอาไปพรินต์ใต้ตึกที่คณะ

แล้วก็มาเจอเพื่อนร่วมชะตากรรมอีกหลายคนที่มารอร้านถ่ายเอกสารเปิดเพื่อใช้บริการ printer อีกเหมือนกัน

แล้ววันนี้ก็เรียน เรียน และ เรียนอีกทั้งวัน

ตกเย็นมาก็ต้องเข้าห้องสมุดเพื่อไปหาหนังสือเอามาใส่ บรรณานุกรม ในงาน Reading Note แบบจับคู่ที่อาจารย์วิชา Management & Organization Behavior เป็นคน assign ให้

Reading Note คือการที่เราต้องไปหาหัวข้อที่สนใจ แล้วไปค้นคว้าหาหนังสือ บทความ หรืออะไรก็แล้วแต่ที่เกี่ยวข้องมาอ่าน แล้วก็เขียนบทความถึงมัน – ให้เป็นในสไตล์ของเรา และแน่นอนต้องอ้างอิงถึงที่มาโดยมีบรรณานุกรมประกอบด้วย

กำหนดส่ง Reading Note ในอีกสองอาทิตย์แต่วันพรุ่งนี้ต้องส่งบรรณานุกรมก่อนเพื่อให้อาจารย์เช็คดูว่าหนังสือและหัวข้อที่ไปหามามันเข้าเค้ากับที่อาจารย์สอนหรือเปล่า

และที่ต้องพิถีพิถัน ขยันขันแข็ง (ผิดกับนิสัยของผม)กันขนาดนี้ ก็เพราะว่า อาจารย์เล่นแบ่งเกรดออกเป็น เอาไปทำใหม่ ผ่าน เครดิต และ เครดิตพลัส งานใครดี ใครแย่ก็จะถูกอาจารย์เอาไปอัพโหลดประจานกันในเนตให้เลือกอ่านกันเอาตามสะดวก

หอบหนังสือเป็นตั้ง ๆ จากห้องสมุดลงไปเก็บไว้ที่รถแล้วก็ไปร่วมงาน บายศรีสู่ขวัญของนักศึกษา MBA ปีหนึ่งกันต่อ เป็น MBA ที่รวมหมดเลย ทั้ง MBA ธรรมดา ๆ (อย่างพวกผม) , Ex-MBA แล้วก็ MBA Agro

มันก็คืองานผูกสายสิญจน์ แล้วก็กิน(ฟรี) กับเพื่อน ๆ ใหม่ นั่นเอง

ช่วงนี้รู้สึกว่าตัวเองจะ join มันทุกกิจกรรมที่จัดขึ้น คงเพราะไม่รู้จะไปไหนถ้ากลับบ้าน คงเพราะไม่รู้จะทำอะไรเพื่อไม่ให้เหลือเวลาว่างไปคิดถึงเธอ และก็คงเพราะอยากรู้จักคนใหม่ ๆ

ใครก็ได้ที่จะไม่ถามผมว่า(คนที่เคยเป็น)แฟนผมหายไปไหน

Friday, June 10, 2005

คนดี ๆ (อีกสองคน)

วันอังคารที่ผ่านมา นัดไปกินข้าวเย็นกับคนดี ๆ อีกสองคน

เป็นคนดี ๆ คู่สามีภรรยา จากเชียงรายที่เดินทางไปใช้ชีวิตไกลถึงบริสเบน ออสเตรเลีย

คุณสามีไปเพื่อเรียนต่อ ส่วนคุณภรรยาตามไปอยู่บ้านด้วยเฉย ๆ ว่าง ๆ ก็ไปทำงานพิเศษที่ร้านอาหารไทยแถวนั้น

คุณภรรยาเป็นเพื่อนเรียนหนังสือของผมมาตั้งแต่วิศวะปีหนึ่ง ส่วนคุณสามีเป็นรุ่นพี่ที่แก่กว่าหนึ่งปี

ตั้งแต่ผมรู้จักสองคนนี้มา เค้าก็เป็นแฟนกันแล้ว (จริง ๆ เห็นว่าเป็นแฟนกันมาตั้งแต่มัธยม) แล้วความรักที่บ่มมาหลายปี ก็สุกงอม สองคนเพิ่งแต่งงานกันไปเมื่อสักสองปีมาแล้ว ยังจำได้ถึงวันที่ผมและเพื่อน ๆ เฮโลกันขึ้นรถไปเชียงรายเพื่อร่วมงานแต่งงานของสองคนนี้

เป็นอีกหนึ่งทริปการเดินทางที่น่าจะแยกเอามาเขียนเป็นบทพิเศษเฉพาะกิจ
แต่งงานได้ไม่เท่าไหร่ สองคนก็หอบหิ้วพากันบินข้ามฟ้าไปอยู่ออสเตรเลีย

ระหว่างที่ไปอยู่เมืองนอกเมืองนา เราก็ยังได้ติดต่อกันอย่างสม่ำเสมอทั้งทางตรง และ ทางอ้อม

ทางตรงคือเรา chat กันทาง MSN เมื่อออนไลน์เวลาเดียวกัน

ส่วนทางอ้อมคือผมไปแอบอ่าน ไดอารี่ออนไลน์ของคุณภรรยาแทบทุกวัน

จนหลัง ๆ มาคุณภรรยาส่งข้อความมาด่าว่าผมไปอ่านไดอารี่ของแก แต่ไม่ยอมเซ็นเกสต์บุ๊ค ไม่รู้ไป track กันยังไง ถึงได้รู้ขนาดนี้

เป็นอย่างนี้เรื่อยมา จนกระทั่งวันที่เธอ – คนที่ผมรัก - ได้เดินจากผมไป

อาการหนัก เศร้าสร้อย ก็ได้คนดี ๆ อย่างคู่สามีภรรยาคู่นี้ คอยปลอบใจ และ ให้ข้อคิด (ผ่านทาง MSN) ประหนึ่งว่าทั้งสองคนเป็นผู้เชี่ยวชาญในศาสตร์แห่งการอกหักและพักฟื้นหัวใจ ทั้ง ๆ ที่สองคนนี้ก็ไม่เคยอกหักเลยสักครั้ง

เพียงแต่ด้วยความที่ชีวิตคนรอบข้างของคุณสามีภรรยาคู่นี้ต่างก็ อกหัก กันมาโดยทั่วกัน เลยมีประสบการณ์ การปลอบใจและสังเกตอาการของคนอกหักได้เป็นอย่างดี

วันที่ผมอาการหนักหน่วงจนน้ำตาแทบไหลในเวลางาน ก็ได้คุณภรรยามาคอยหลอกล่อ ถามถึงหนังเรื่อง STAR WARS จนมัวฝอยเพลิน ลืมเรื่องเศร้า ๆ ไปได้ – เหมือนกลยุทธ์เอาไอติมมาล่อเด็ก

และช่วงอาทิตย์นี้ก็เป็นช่วงที่สามีภรรยาคู่นี้กลับมาเยี่ยมเมืองไทยพอดี

เราก็เลยได้มากินข้าวเย็นด้วยกัน – เข้าเรื่องซะที

ไม่ได้เจอกันมาเกือบปี แต่ไม่ได้รู้สึกว่าห่างกันไปนานขนาดนั้น คงเพราะเราเจอกันบ่อย ๆ ใน MSN ถึงไม่ได้คุยกัน แค่เห็นชื่อออนไลน์ก็เหมือนเห็นหน้ากัน – ทั้ง ๆ ที่อยู่ห่างกันขนาดข้ามมหาสมุทร

ไม่อยากเอามาเทียบกับใครบางคน ที่อยู่ห่างกับผมไม่ถึงห้าสิบกิโล แต่ใจเธอตอนนี้คงห่างไกลจากผมจนกระทั่งชั่วชีวิตนี้ก็คงเดินทางไปไม่ถึงเธอ – แต่เธอก็เล่นกลกับผมโดยการโผล่มาในความฝันของผมบ้างในบางคืน

เรานัดกันไว้ที่ร้านพิซซ่ามิสเตอร์ชาน พิซซ่าแป้งบางกรอบ – แต่ไม่เกร่อ - แบบพิซซ่าจังค์ฟู๊ดทั่วไป ยังคงอร่อยเหมือนทุกครั้งที่ผมกินมัน มีเสต็กเนื้อนุ่มได้ที กับเห็ดผัดเนยหอมฉุยมาเป็นเครื่องเคียง น้ำหนักที่ลดไปสองสามกิโลคงได้เวลากลับคืนมาหาผมสักที

เราคุยกันด้วยเรื่องทั่วไป แต่แน่นอน topic ที่เป็น high light ก็คงยังไม่พ้นเรื่องของผม

ผมยังคงสบายดี พยายามทำตัวให้สบายดี และดูยุ่ง ๆ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องมีอะไรเข้ามาให้คิดมาก แค่ทำงาน และเรียนไปด้วย ก็เหมือนจะดึงเวลาเกือบทั้งหมดในหนึ่งสัปดาห์ของผมไปหมดแล้ว

แล้วสองคนนี้ก็หลุดปากชวนผมไปเที่ยวออสเตรเลียจนได้

สามารถไปพักที่บ้านของพวกเขาได้ สามารถอาศัยกินกับข้าวที่คุณสามีทำ (โดยเอาแรงงานเข้าแลก) ได้ สรุปคือต้องจ่ายค่าเครื่องบิน กับค่ากิน(นอกบ้าน) ทั้งยังแนะนำว่าเวลาที่เหมาะที่สุดคือตุลาคมปีนี้ – พอเหมาะพอเจาะกับเวลาปิดเทอมของ MBA พอดี

อีกสี่เดือน อะไรก็เกิดขึ้นได้ หากเก็บเงินดี ๆ แบ่งไว้เป็นค่าเทอม เทอมถัดไป อีกส่วนหนึ่งอาจจะพอเป็นค่าตั๋วเครื่องบินไปออสเตรเลียก็ได้ วันลาพักร้อนของปีนี้ก็ยังเหลือเต็ม – ครั้งหนึ่งในชีวิตที่จะได้เดินทางไปไกลขนาดนี้ตัวคนเดียว

ไม่มีพันธะอะไรให้ผมต้องเป็นห่วงและยึดติดอีกต่อไป ไม่ต้องกลัวใครเหงาเวลาที่ผมไม่อยู่และไม่ได้โทรหา บางทีการเดินทางไกล ๆ สักครั้งอาจเป็นสิ่งดี ๆ ที่ทำให้ผมมีมุมมองแนวคิดอะไรใหม่ ๆ ได้บ้าง

เป็นความคิดที่น่าสนใจจริง ๆ

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
ขณะที่เขียนบันทึกอยู่นี้เพิ่งกลับเข้าบ้านมาเนื่องจากออกไปทำงานกลุ่มของ MBA ง่วงมาก ๆ

Thursday, June 09, 2005

วันวันมัวทำอะไรอยู่?

6.00 ตื่นนอน
6.05 เผลอนอนคิดถึงเธอต่ออีกหน่อย
6.10 อาบน้ำ
6.25 แต่งตัว
6.30 ออกบ้าน
6.40 รถตู้มารับ หลับต่อในรถตู้
7.35 ถึงที่ทำงาน ตื่นพอดี
7.40 กินข้าวเช้า
8.00 เปิดคอม เช็คเมล์ ออนไลน์ MSN
8.10 อู้ เดินไปชงกาแฟ
8.15 เริ่มทำงาน คุยกับชาวบ้าน ทำงาน
18.00 เลิกงาน ปิดคอม
18.15 รถตู้ออกจากโรงงาน พยามหลับเอาแรงในรถตู้ต่อแต่ไม่สำเร็จ
18.50 รถตู้มาถึงเชียงใหม่
19.05 เดินกลับถึงบ้าน เดินแข่งกับฝนไล่มา
19.25 ขับรถออกมาจากบ้านอีกที ฝนตกหนัก
19.50 นัดเจอกับเพื่อนเข้ากลุ่มทำรายงาน
19.55 ไม่มีใครอยู่ แสดงว่ามาเร็ว แอบแว่บออกมากินข้าว
20.00 มาเจอทุกคนที่ร้านข้าว ทุกคนมาถึงก่อนเราแล้ว
20.30 กินข้าวกันเสร็จ ได้เวลาเริ่มทำงานกลุ่มซักที
22.00 งานเดินไปได้เยอะ แต่ยังไม่เสร็จ ทุกคนไม่ไหวแล้ว หลายคนอยากดูดาวหลงฟ้า
22.20 คนอื่นกลับกันแล้ว นั่งคุยต่อเรื่องรายงานแบบจับคู่กับน้องอีกคน
23.10 คุยเสร็จ แยกย้ายกันกลับบ้าน
23.30 กลับมาถึงบ้าน
23.40 อาบน้ำ
24.00 อาบน้ำเสร็จ กะจะอ่านหนังสือ นึกได้ว่าไอ้ก่อฝากทำ msn logo ให้แฟนมันพรุ่งนี้
24.05 เปิดคอม นั่งทำ logo
24.50 ทำ logo เสร็จ จะอ่านหนังสือต่อแต่ไม่ไหวแล้ว
01.00 นอน

Tuesday, June 07, 2005

เคมีที่ตกค้าง

เคยได้ยิน(หรือได้อ่าน)ใครบางคนบอก(หรือเขียน)ถึงนิยามของความรักเอาไว้ว่า ความรัก มันก็คือการที่เคมีของคนสองคนมาเข้ากันได้อย่างลงตัว

คลับคล้ายคลับคลาว่าเขาจะเขียนออกมาในแนว ๆ นี้

ถ้าอย่างนั้น คนที่สมหวังในความรัก น่าจะหมายถึง ปฏิกริยาทางเคมีของทั้งเขาและเธอสมดุลกันพอดี

ส่วนคนที่ผิดหวัง ปฏิกริยาทางเคมีก็คงไม่สมดุล เหลือสารตกค้างทิ้งไว้

สำหรับผม สารตกค้างที่เหลือไว้ ก็คือภาพของเธอ และอารมณ์ปวดลึก ๆ ในเวลาที่เหงาและคิดถึง

- - - - - - - - - - - - - - - - - -

ในคืนที่ต้องอ่านหนังสือคนเดียวเพื่อหาข้อมูลทำรายงาน แล้วอารมณ์ปั่นป่วนก็ผลักให้ผมแวะมานั่งเขียนบันทึกทั้ง ๆ ที่ยุ่งอยู่

เขียนอะไรไม่ออก

ก็คงกลับไปอ่านหนังสือต่อ

หกอาทิตย์กว่า ๆ แล้วตั้งแต่เราเลิกกัน

ก็ได้แต่หวังว่า อีกสักปีสองปีข้างหน้า วันที่ผมย้อนกลับมาอ่านบันทึกของตัวเองอีกครั้ง

ผมคงอ่านมันไปด้วยรอยยิ้ม…..

Monday, June 06, 2005

You are my sunshine, my only sunshine

You are my sunshine, my only sunshine…

you make me happy when skies are gray….

you'll never know dear, how much I love you,

please don't take my sunshine away…..


เพลงนี้ดังก้องกังวานตั้งแต่เช้าที่เดินเข้ามาในออฟฟิศแล้วเปิดคอม

เปล่า ไม่มีใครในออฟฟิศเปิดเพลงนี้ แต่มันดังก้องขึ้นมาในหัวผมเมื่อเปิดคอมแล้วออนไลน์ msn

ไอ้ก่อเปลี่ยนชื่อใน msn เป็น “You are my sunshine”

เจี๊ยบก็รับมุข ด้วยการเปลี่ยนชื่อเป็น “..My only sunshine”

มันสืบเนื่องมาจากหนังที่เราไปดูด้วยกันมาเมื่อคืนวันศุกร์ - มหาลัยเหมืองแร่

เพลงนี้ (You are my sunshine) ดูเหมือนจะเป็นเพลงที่เป็นธีมเด่นของหนัง เพลงช้า ๆ เอื่อย ๆ หวาน ๆ เนื้อหาตรงตัว บ่งบอกถึงกาลเวลาในยุคนั้นได้อย่างดี

แต่เมื่อเอามาเปิดฟังในยุคนี้ …มันก็เพลินดีไม่หยอก แถมมีใครบางคนส่ง link สำหรับเข้าไปฟังเพลงนี้จากทาง internet ได้ด้วย

วันนี้ทั้งวันก็เลยมีแต่เสียงเพลงนี้เปิดคลอไปตลอด ช่างเหมาะกับวันจันทร์ที่เอื่อย ๆ และน่าเบื่อสำหรับหลาย ๆ คน

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

พูดถึงเพลง วันนี้บังเอิญไปได้ แผ่นเอ็มพีสาม ของบอยด์ โกสิยพงศ์มา

Kindly Delite เป็นเพลงบรรเลงทั้งสิบเพลง ไม่มีเนื้อร้อง ฟังได้เรื่อย ๆ ไม่มีเบื่อ (จริง ๆ ดูเหมือนจะเป็นเพลงที่มีเนื้อร้องสองเพลง แต่ฟังไม่ออก ไม่น่าใช่ทั้งภาษาไทยและอังกฤษ – หรือถ้าเป็นภาษาอังกฤษก็ร้องได้งึมงำมาก ฟังไม่ออก)

เอามาเปิดคลอไปตอนกำลังอ่านหนังสือ หรือแม้แต่กำลังพิมพ์บันทึกอันนี้อยู่ ฟังย้อนกลับไปกลับมาหลายรอบแล้วก็ยังไม่เบื่อ

บางที เนื้อร้องที่เพิ่มเข้ามาอาจจะทำให้เพลงฟังแล้วดูเพราะน้อยลงก็ได้ เพลงที่ไม่มีเนื้อร้องบางทีอาจจะเป็นอมตะกว่า

ชอบเพลงที่เป็นเครื่องเป่า เคยมีเทปคาสเซ็ต เบิร์ดกะฮาร์ท ชุดจากกันมานาน มีอยู่เพลงหนึ่งชื่อ “ทำอย่างไร” (เป็นเพลงที่ไม่ค่อยดัง) มีเดี่ยวแซกโซโฟนในตอนจบเพลง ชอบมาก ไม่น่าเชื่อว่าคนคนนึงจะมีแรงเป่าติดต่อกันได้ขนาดนั้น ฟังจนเทปยาน

ชอบมากกับทั้งสิบเพลงนี้ของบอยด์ แต่บังเอิญว่ามันเป็นเพลงที่ได้มาฟรี แถมยังเป็นเอ็มพีสามซะด้วย เลยรู้สึกผิดเล็กน้อยกับการที่ชื่นชอบกับผลงานเขาแล้วไม่ได้จ่ายเงินสนับสนุน

ได้แต่ตั้งใจไว้ว่าถ้าคุณบอยด์ ออกอัลบั้มชุดใหม่ออกมา แล้วผมจะตามไปซื้อแล้วกันครับ

Sunday, June 05, 2005

งานเยอะ

วันนี้เรียนเสร็จพร้อมกับการบ้านมาอีกตั้งใหญ่ ๆ

มีทั้งรายงานกลุ่มหกคน รายงานแบบจับคู่กันทำ มีกำหนดส่งอาทิตย์หน้าแล้ว

ไม่อยากคิดว่านี่เพิ่งเป็นอาทิตย์แรกของการเรียน(อย่างเป็นทางการ)เท่านั้น ทำไมการบ้านมันเยอะอย่างนี้

งานกลุ่มหกคน ถูกอาจารย์จับให้อยู่กับพี่ต้น พี่ต้นทำงานอยู่ที่เดียวกับผมแต่คนละแผนก แกแก่กว่าปีหนึ่ง แต่ก็ซิ่วมาปีนึง จบวิศวะมอชอมาเหมือนกัน

ปัญหาคือแกเป็นคนคิดมากแบบมีหลักการ และต้องการความเห็นที่ลงตัวเหมือนกับแกในตลอดการเรียน

ตลอดเช้าและบ่าย แกจะสะกิดถามนู่นถามนี่เป็นเชิงว่าคิดว่าไง เห็นด้วยกับแกหรือเปล่า ถ้าผมไม่เห็นด้วย แกก็สะกิดอีกและเอาเหตุผลมาอ้างจนผมเบื่อและต้องเห็นด้วยกับแก แล้วก็ก็จะเงียบไป แต่ก็แค่สักพัก แล้วแกก็จะสะกิดใหม่ด้วยความคิดเห็นในเรื่องอื่น

จะว่าแกก็ไม่ได้ คนมันมีหลักการ ได้แต่โทษอาจารย์ที่จัดกลุ่มแบบนี้ หรืออีกที ต้องโทษดวงของผมเอง (ที่ถูกจับมานั่งกับแก)

Saturday, June 04, 2005

Party

เมื่อวานทำงาน

วันนี้เรียนหนังสือ

พรุ่งนี้ยังเรียนหนังสือ

วันมะรืนก็ไปทำงานต่อ

รู้สึกเหนื่อย ๆ เหมือนไม่มีวันหยุด แต่เมื่อคิดว่านี่เพิ่งเป็นอาทิตย์แรกของอีกสองปี(เป็นอย่างน้อย) ที่ผมจะต้องเผชิญกับวัฏจักรเหล่านี้ ก็ยิ่งทำให้รู้สึกเหนื่อยเข้าไปอีก

วันนี้มีแต่เรียน กับ เรียน ได้หนังสือ text book ที่ฝากกันถ่ายเอกสารมาทั้งห้อง text book เรื่อง Cost Managing ที่หนาเท่าสมุดโทรศัพท์ เห็นแล้วอยากเอามาหนุนนอนมากกว่าจะอยากเปิดออกมาอ่าน

แล้วอาจารย์ก็สอนโดยการอ่านภาษาอังกฤษแล้วแปลให้ฟัง หมดทั้งวัน (รวมที่อาจารย์มี quiz แบบทีเผลอหลังพักเที่ยง) ก็อ่านไปได้ 56 หน้า

กำลังคิดว่าถ้าอย่างนี้ ถ้าผมเอาหนังสือไปอ่านเอง หนึ่งวันอาจจะได้มากกว่า 56 หน้าซะอีก หึ หึ หึ กำลังคิดได้อย่างนี้ อาจารย์ท่านก็สั่งการบ้านมาเลยสองข้อใหญ่ ๆ

มีงานให้เอากลับไปทำอีกแล้วเรา

เลิกเรียน แล้วนัดกับพี่หม่อมและแอนไว้ว่าจะไปบ้านหัวหน้าด้วยกัน

วันพฤหัสที่ผ่านมาเป็นวันเกิดหัวหน้า แต่แกก็ชวนให้ไปที่บ้านแกในวันเสาร์(ซึ่งก็คือวันนี้) แกบอกว่าเป็นการนัดสังสรรค์ในทีม แต่ในความนัยก็หมายถึงชวนไปฉลองวันเกิดแกนั่นแหละ

พี่หม่อมมีเรียนตอนบ่ายที่คณะบริหารพอดี เลิกเรียนแล้วผมก็เลยยืนรอเจ๊แกต่อที่ใต้ตึก

แอนโทรมาบอกว่าตอนนี้อยู่ที่โลตัสหางดงแล้ว กำลังจะหาทางไปบ้านหัวหน้า (แอนเคยไปแค่ครั้งเดียว และด้วยความที่บ้านท่านหัวหน้าเราอยู่ในหมู่บ้านที่ห่างไกลและซับซ้อนเหลือเกิน ทำให้แอนไม่กล้าไปคนเดียว – แต่เอาเข้าจริง ด้วยความที่รอนาน แอนก็ขับรถเดาทางเองไปเรื่อยจนถึง) ผมเลยฝากแอนซื้อเค้ก และอะไรบางอย่างไปทำกินกันที่บ้านหัวหน้าด้วย (อะไรบางอย่างที่ว่าคือเฟรนช์ฟรายส์) ผมจะได้ไม่ต้องเสียเวลาแวะอีก

พี่หม่อมเรียนเสร็จก็มาเจอกันที่รถ ขับออกมาจากมอ แต่ก็ต้องมารับน้อง CSO ที่เพิ่งเข้ามาใหม่อีกสองคน ก้อย กับ อุ๋ม ขอติดรถไปด้วย แวะรับสองคนเรียบร้อยแล้วก็มุ่งตรงไปยังบ้านท่านหัวหน้า

หัวหน้ายืนรออยู่หน้าบ้านแล้วตอนผมจอดรถ แกกำลังโทรหาคนอื่น ๆ คงกำลังเช็คว่าอยู่ไหนแล้ว (คาดว่ากลัวคนมาน้อยแล้วอาหารจะเหลือ)

เข้าไปในบ้าน จีจี้ ภรรยาของหัวหน้ากำลังวุ่นอยู่ในครัว – กำลังทอดเฟรนช์ฟรายส์ที่แอนซื้อมา – โดยความอยากกินของผม

จีจี้เป็นคนฟิลิปปินส์ (หัวหน้าผมเป็นคนสิงคโปร์) ที่หน้าตาเหมือนคนไทยมาก เป็นคนใจดี และดูแลเรา(ลูกน้องของหัวหน้า)เหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันเสมอ ผมเดินเข้าไปถามว่ามีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า(ตามมารยาทที่ดี) จีจี้กลับถามถึงเธอ บอกว่าคิดว่าผมจะพาเธอมาด้วย

ได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ บอกจีจี้ไปว่าเราเลิกกันแล้ว แน่นอนว่าจีจี้ทำหน้าตกใจ และดูเสียใจที่ถามเรื่องนี้ออกมา เป็นผมก็คงรู้สึกไม่ดี ถ้าไปถามถึงแฟนของคนที่เลิกกันแล้ว หรือไปถามถึงญาติที่ตายไปแล้วของใคร รู้สึกไม่ดีทั้งคนถามและคนถูกถาม

แต่ก็นั่นแหละ ความจริงก็คือความจริง เป็นสิ่งยังคงเผชิญอยู่ทุก ๆ วัน – เพียงแค่วันนี้ผมยังเผชิญมันอย่างหน้าชื่นตาบานไม่ได้เท่านั้นเอง

สักพัก เจอาร์ โนโน่ และลีออนก็มาถึง สองคนหลังนั่งตุ๊ก ๆ มาจากโรงแรม โดยมีเจอาร์ขับรถตามมาอีกที (หลงทาง) พี่ป๋อมตามมาอีกทีหลังจากนั้น

แล้วเราก็นั่งกินอาหารด้วยกัน มีบะหมี่(เส้นเหมือนมาม่าที่ต้มจนอืดได้ที่แล้ว)ผัดกับถัวลันเตาและเนื้อหมู จีจี้บอกว่าอันนี้เป็นอาหารฟิลิปปินส์ เวลากินต้องบีบมะนาวโรยข้างบน มีขาไก่ทอดพร้อมกับน้ำจิ้มเผ็ดสุดอร่อย มีแซนด์วิชที่ไส้คงเป็นสลัดไข่ มีสลัดผลไม้ที่คงใส่ชีสและนมข้นมากไปหน่อยเลยรู้สึกว่าเลี่ยนและหวานไปสำหรับผม

แต่โดยรวมแล้วก็อร่อย (เคยมากินข้าวบ้านหัวหน้าตอนคริสต์มาสปีที่แล้วกับอีกปีก่อนหน้านั้น รู้สึกว่าตอนคริสต์มาสจะทุ่มทุนสร้างมากกว่านี้) กินข้าวไป ดูดีวีดีไปด้วยกัน หัวเราะไปด้วยกัน ให้ความรู้สึกว่าเราเป็นเหมือนกับอีกครอบครัวนึงเหมือนกัน

ดูหนังเก่าเรื่องจูแมนจิ เถียงกับหัวหน้าว่ามันสร้างปีไหนกันแน่ ผมว่าสร้างช่วงปี90s แต่หัวหน้าว่าน่าจะอยู่ในช่วง 80s ปลาย ๆ แต่ก็ลงความเห็นว่ามันคงสร้างก่อนจูราสสิค พาร์ค

เพิ่งสังเกตว่า คริสเต็น ดันสท์ นางเอกเรื่องสไปเดอร์แมน ก็แสดงเรื่องนี้ด้วย (ตอนยังเป็นเด็ก)

อิ่มหนำสำราญกันดี ก็มีการดับไฟ จุดเทียนเป่า แล้วก็ตัดเค้กแจกกัน จีจี้เตรียมเค้กไว้ปอนด์หนึ่ง แอนซื้อมาเพิ่มอีกปอนด์หนึ่ง เลยมีการตัดสองรอบ อิ่มจนแทบจุก

แล้วก็ได้เวลาแยกย้ายกันกลับ พี่หม่อมกลับกับผม ส่วนน้อง CSO อีกสองคนกลับไปกับพี่ป๋อม

ก่อนกลับไอ้ก่อกับพี่เอกโทรมาบอกว่าตอนนี้รออยู่ที่มังกี้คลับแล้ว ให้ตามไปด่วนพร้อมทั้งหิ้วเจ้าสิบสองปีขวดที่วางอยู่ที่บ้านผมไปด้วย (พี่เอกฝากซื้อตั้งแต่ผมไปสิงคโปร์คราวก่อน)

แวะไปส่งพี่หม่อมที่มอชอ ระหว่างทาง พี่หม่อมพยายามจะเลียบ ๆ เคียง ๆ แนะนำน้องสาวของเพื่อนเจ๊แกให้ผมรู้จัก แต่ก็นั่นแหละ อารมณ์นี้ ใคร ๆ ผมก็ไม่สน

ส่งพี่หม่อมเสร็จ ก็ไปที่มังกี้คลับ ไม่ค่อยอยากไปเท่าไหร่ แต่ทั้งแก๊งค์ก็อยู่ที่นั่นหมดแล้ว ปรากฏว่าโชคช่วย คนเต็ม ไม่มีที่จอดรถ วนไปวนมาสองสามรถก็ยังหาที่จอดรถไม่ได้ ถึงแม้จะยอมเดินไกล ก็ยังไม่มีที่จอดรถอยู่ดี

ก็เลยได้ข้ออ้างกลับบ้านเลย แต่ก็ยังไม่วายโดนพี่เอกกับไอ้ก่อบอกว่าป๊อด….หาที่จอดรถไม่ได้ก็กลับซะแล้ว

ป๊อดก็ป๊อดไม่ผิดศีล(ข้อห้า)นะครับ…

Friday, June 03, 2005

มหาลัย เหมืองแร่

ไปดูหนังมาอีกแล้ว

รู้สึกตัวเองเหมือนกันว่าช่วงนี้จะไปดูหนังบ่อยมาก(ถ้าเทียบกับเมื่อก่อน) สี่อาทิตย์ที่ผ่านมานี้ผมดูหนังเฉลี่ยแล้วอาทิตย์ละรอบ (ไม่นับพวก VCD ที่ไปเช่ามาอาทิตย์ละสองสามเรื่อง)

13 พค ไปดูเรื่อง Kingdom of Heaven
20 พค ไปดูเรื่อง STAR WARS Episode III : Revenge of the Sith
28 พค ไปดู STAR WARS รอบสอง
3 มิถุนายน (วันนี้) ก็เพิ่งไปดูมาอีกเรื่อง “มหาลัย เหมืองแร่”

เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่อ่านหนังสือแล้วอยากให้ทำเป็นหนังมานานแล้ว เป็นความบังเอิญที่เมื่อหลายปีก่อน(อาจจะถึงสิบปีก่อน) เคยไปเก็บหนังสือเก่า ๆ มาอ่าน เป็นหนึ่งในชุดเหมืองแร่ของอาจินต์ ชื่อเล่มว่าไอ้ไข่ - ตอนนั้นแยกขายเป็นเล่มเดี่ยว (เสียดายที่ป่านนี้ไม่รู้หายไปไหน) แล้วก็ชอบ ติดใจ สนุกไปกับสำนวนเขียนและเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเหมืองแร่แห่งนั้น

จนได้โอกาสซื้อเป็นรูปเล่มแบบรวมเต็ม ๆ ที่สัปดาห์ห้องสมุดมอชอเมื่อสามปีก่อน

เมื่อคุณจิระ มะลิกุล เอามาทำเป็นหนังอีก ก็ไม่พลาดที่จะไปดู

แล้วก็สุขใจ ชื่นใจที่เห็นตัวละครที่เคยอ่านเอาไว้ในหนังสือออกมามีชีวิตโลดโผนอย่างที่เคยจินตนาการไว้ อาจินต์ ไอ้ไข่ นายฝรั่ง พี่จอน พี่ก้อง พี่เหว็ง โกต๋อง และอีกหลาย ๆคน

เป็นหนังที่ทำออกมาได้ดีมาก(ในความคิดของผม) กระชับและได้ใจความถึงแม้จะตัดรายละเอียดและตัวละครบางตัวออกไปบ้าง เป็นหนึ่งในหนังไม่กี่เรื่องที่ไม่ทำให้อารมณ์ของคนที่อ่านหนังสือแล้วมาดูหนังต้องเสียอารมณ์อย่างหนังหลาย ๆ เรื่องที่เคยดูมา

ดูหนังแล้วก็อิน แล้วก็คิดไปเรื่อยเปื่อย

เรื่องราวคลาสสิคในยุคเก่า ๆ ยุคที่คนรักเมื่อห่างไกลกันสิ่งที่ทำได้คือเขียนจดหมายถึงกัน ความยากลำบากในการติดต่อสื่อสารของคนสองคนกลายเป็นสิ่งที่ทำให้ความรักของคนในสมัยก่อนยืนยาวกว่าในสมัยนี้หรือเปล่า

จดหมายที่ใช้เวลาเดินทางอย่างน้อยสามวันจากคนหนึ่งถึงอีกคนหนึ่ง และใช้เวลาอีกสามวันเพื่อรอจดหมายตอบกลับ มันอาจดูมีคุณค่ามากกว่าเสียงโทรศัพท์ หรือ แม้แต่อีเมล์ คนเราสมัยนี้รักกันง่ายและเลิกกันเร็วเพราะมีสิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยด้วยหรือเปล่า….

อยากดูเรื่องนี้อีก แต่คงต้องรอให้ลงเป็นแผ่นแล้วค่อยไปหาซื้อมาเก็บไว้ ปกติผมเป็นคนที่เมื่อได้อ่านหนังสือดี ๆ แล้วก็อยากให้คนอื่นได้อ่านบ้าง เมื่อได้ดูหนังดี ๆ แล้วก็อยากไปชวนให้คนอื่นมาดูบ้าง แต่กับหนังเรื่องนี้ อยากทำมากกว่านั้น คืออยากเอาหนังสือให้ยืม แล้วก็ชวนให้ไปดูหนังต่อเลย

ไปดูกันห้าคน ไปกับไอ้ก่อ กระแต(แฟนไอ้ก่อ) เจี๊ยบ ขิม แล้วก็ผม เลิกงานแล้วก็นั่งรถตู้จากโรงงานมาลงที่โรบินสัน แอร์พอร์ต ช่วงนี้ไปไหนมาไหนกับพวกนี้บ่อยมาก หวังว่าพวกมันคงยังไม่เบื่อและก็หน่ายผมไปซะก่อน

ดูหนังแล้วก็กลับบ้าน พรุ่งนี้ต้องไปเรียนหนังสืออีกแล้ว

Wednesday, June 01, 2005

คนดี ๆ

สี่ทุ่มครึ่ง ข้างนอกฝนยังตกอยู่ปรอย ๆ อากาศเย็น

เมื่อตะกี๊เคลิ้ม ๆ กำลังจะหลับไป ก็พอดีมีโทรศัพท์มาหา

เป็นโทรศัพท์ไม่โชว์เบอร์ แต่โชว์ใจ

เป็นโทรศัพท์ทางไกลมาจากญี่ปุ่น

มาจากเพื่อนสนิทของผมเอง ไอ้กานต์

ไอ้กานต์เป็นเพื่อนสนิทของผม รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยมัธยม เคยเห็นหน้ากันมาตั้งแต่มอหนึ่ง พอมอสี่ค่อยได้มาเรียนห้องเดียวกัน แล้วจากนั้นมา ชีวิตของผมก็ต้องเห็นหน้ามันมาเรื่อย ๆ มอสี่ มอห้า มอหก สอบโควตาติดเข้ามาวิศวะมอชอด้วยกัน พอปีหนึ่งเทอมสองก็เรียนเมเจอร์เครื่องกลด้วยกันซะอีก

มาเริ่มห่าง ๆ กันไปก็ตอนผมเรียนจบปีสี่แล้วมาทำงาน ส่วนมันไปเรียน ต่อ ปริญญาโท ที่จุฬา แล้วชีวิตมันก็ระหกระเหินจนตอนนี้ไปทำโปรเจค และใช้ชีวิตปากกัดตีนถีบอยู่ที่ญี่ปุ่น นาน ๆ ทีจะกลับมาเมืองไทย

ถ้าเอาชีวิตของผมมาเขียนเป็นหนังสือ (ซึ่งก็คงไม่ค่อยมีเรื่องราวอะไรน่าสนใจให้อ่าน) ไอ้กานต์ก็คงเป็นบทใหญ่บทหนึ่งทีเดียว เป็นบทที่ขาดไม่ได้ และมันก็คงไม่ยอมอยู่แค่บท บทเดียวในหนังสือของผมแน่ มันคงขอมีส่วนร่วมไปในทุกบท

ด้วยความที่อยู่ไกล ทุกครั้งที่มันออนไลน์ MSN มันจะต้องทำหน้าตกใจ ( :o ) แล้วเข้ามาถามว่ามีข่าวคราวอะไรอัพเดตบ้างหรือเปล่า

จนคราวก่อนผมรำคาญก็เลยบอกมันไปว่าผมเลิกกับแฟนแล้ว (หรืออันที่จริง ผมโดนแฟนทิ้งแล้ว) มันถามรายละเอียดใหญ่ (จะด้วยความเป็นห่วง หรือความอยากรู้เห็นส่วนตัวของมันก็แล้วแต่)

ตั้งแต่นั้นมา ทุกครั้งที่มันออนไลน์มันก็จะเข้ามาถามผมเรื่อย ๆ ว่าอาการเป็นอย่างไรบ้าง

จนวันนี้มันคงทนไม่ไหว เลยโทรมาหาซะเลย

“ไอ้เวร ทีสบายดีไม่รู้จักโทรมา ดันโทรมาตอนกูอกหัก” ผมด่ามัน ทั้งๆ ที่น่าจะขอบใจที่มันเป็นห่วง อุตส่าห์โทรมาไกลจากญี่ปุ่น
“อ้าว ก็ถ้ามึงสบายดีแล้วกูจะโทรมาทำไม กูก็โทรมาตอนมึงเหี่ยว ๆ นี่แหละ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” มันย้อน

แล้วเราก็คุยกันด้วยเรื่อง ทั่ว ๆ ไป โดยเน้นหนักไปในอาการของผมว่าเป็นอย่างไรบ้าง ผมก็บอกมันไปว่าก็เรื่อย ๆ ยังกินข้าวได้ ยังนอนหลับ ยังทำงานได้ตามปกติ ถึงแม้บางครั้งความเหงาจะกระโดดเข้ามาล๊อกคอแล้วกระชากอย่างไม่รู้ตัว แต่โดยรวมแล้วผมก็ยังพอประคับประคองตัวได้ดีอยู่

มันบอกให้ผมรีบ ๆ หาจีบผู้หญิงคนใหม่เร็ว ๆ จะได้เลิกเศร้าซะที

รู้ว่ามันก็พูดไปอย่างนั้น เรื่อง(ผู้หญิง)ของมันเอง มันก็ยังเอาตัวไม่รอด ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้มันระหกระเหินไปถึงญี่ปุ่น

คุยกันสักพักก็วางหู มันต้องไปทำรายงานต่อ เวลาที่ญี่ปุ่นเร็วกว่าเมืองไทยประมาณสองชั่วโมง หมายความว่าตอนนี้ที่นั่นประมาณตีหนึ่งแล้ว แต่มันก็ยังไม่นอน ทำรายงานจนดึกดื่น แล้วพรุ่งนี้ก็ต้องไปทำงานพิเศษ

ซึ้งในน้ำใจเพื่อนที่อุตส่าห์โทรข้ามประเทศมาหา มาให้กำลังใจ ให้คำแนะนำ(ที่ไม่ค่อยจะช่วยอะไรมากนัก)

คนเรา บางทีเวลามีความรักก็เหมือนหมาช่วงติดสัด

ต่อให้ล่ามเอาไว้แน่นแค่ไหน ก็ดิ้นจนหลุดออกมาจนได้ ต่อให้กำแพงบ้านสูงแค่ไหน ก็แอบตะกายปีนหนีออกไป

แล้วก็หายตัวไป ไปกัด ไปสู้กับหมาตัวอื่น เพื่อผู้หญิง

จนหมดฤดู (หรือในกรณีของผม จนโดนเค้าทิ้งมา) ก็ซมซานกลับมาบ้าน

ด้วยสภาพผอมโซ เนื้อตัวเต็มไปด้วยแผลเหวอะ กลับมาหาเจ้าของ มาให้ดูแลเหมือนเดิม

เกือบจะเปรียบตัวเองเป็นหมา เพียงแต่ที่หมามันทำไปเพราะสัญชาตญาณ

แต่ที่ผมทำไป เพราะบางสิ่ง ที่คงจะเรียกว่าความรัก

รออีกหน่อย รอให้แผลหาย ให้ขนขึ้นเต็มเหมือนเดิม…..
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

ว่าจะเขียนถึงสิ่งพิเศษของวันนี้

เป็นวันเริ่มต้นขึ้นรถตู้ไปทำงานวันแรก ไม่ต้องขับรถไปทำงานเองอีกต่อไป

บังเอิญว่าผมต้องขึ้นรถเป็นคนแรกของสาย เลยต้องตื่นเช้าเป็นพิเศษ รถจะมารับตอนหกโมงสี่สิบ หน้าโรบินสัน แอร์พอร์ตพลาซ่า

ปกติเคยออกจากบ้านเจ็ดโมง ก็ต้องเลื่อนเป็นหกโมงครึ่ง

มารอขึ้นรถที่เดียวกับพี่โชค และหัวหน้าของผมเอง

หัวหน้าของผม เป็นบุคคลที่น่าจะเรียกได้ว่าเป็นมากกว่าหัวหน้า เป็นคนใจเย็น ใจดี และให้คำปรึกษาได้ในหลาย ๆ เรื่องทั้งที่เกี่ยวและไม่เกี่ยวกับงาน

อาทิตย์ที่ผมโดนเธอบอกเลิก แน่นอนว่ามันมีผลกระทบกับงาน ผมเดินไปบอกกับหัวหน้าว่าผมเลิกกับแฟนแล้ว (หัวหน้าก็รู้จักเธอด้วย เราเคยไปงานแต่งงานพี่เจียด้วยกัน) ตาแดง ๆ บอกกับหัวหน้าว่าที่ผ่านมาสองสามวันผมอาจจะมี lost focus ในเรื่องงานไปบ้าง ขอโทษที่ทำให้เรื่องส่วนตัวมีผลกับงาน

หัวหน้าถามว่าเรื่องมันเป็นมายังไง แต่พอเห็นผมตาแดง ๆ ก็บอกว่าถ้าไม่สบายใจจะเล่าก็ไม่เป็นไร และก็ไม่เคยถามเรื่องนี้อีกเลย

หรืออย่างเมื่อวาน ตอนผมเอาใบลาพักร้อนไปให้หัวหน้าเซ็นต์เพื่อลามาปฐมนิเทศในวันพรุ่งนี้ บอกหัวหน้าไปว่าตอนนี้ผมมาเรียน MBA ช่วงวันเสาร์ อาทิตย์แล้ว ถ้าเป็นหัวหน้าคนอื่น ๆ ก็อาจจะถามว่ามันจะมีผลกระทบกับการทำงานหรือเปล่า

แต่หัวหน้าผมสนับสนุน บอกว่าเป็นสิ่งที่ดีที่เรียนไปด้วยระหว่างทำงาน (โดยเฉพาะในสาขานี้) แกเองก็กำลังเรียนอยู่เหมือนกัน (แต่เป็นหลักสูตรออนไลน์) แถมยังเปิดลิ้นชักเอาเปเปอร์ที่เป็นกรณีศึกษาที่แกกำลังเรียนอยู่เอามาให้ผมดูด้วย ถามถึงเนื้อหาว่าเรียนอะไรไปบ้าง เราคุยเกี่ยวกับเนื้อหาในการเรียนอีกพักใหญ่

วันนี้ขึ้นรถมาตอนเช้า อากาศอึมครึมมีฝนปรอย ๆ ผมนั่งติดหน้าต่าง มองออกไปข้างนอก มีเม็ดฝนตกมาเกาะที่กระจกหน้าต่างแล้วก็ร่วงลงมาเป็นสายขณะที่รถแล่นไป ไม่รู้ว่าทำไมเวลาเห็นฝนร่วงลงมาเป็นสายเกาะที่กระจกแล้วทำให้รู้สึกเหงา ผมเหม่อมองข้างนอกหน้าต่าง หูก็ฟังเพลงจากปาล์ม บังเอิญว่าเป็นเพลงเศร้า ๆ อีกเหมือนกัน

สักพักก็มีมือมาสะกิด หัวหน้าผมเอง เอา ipod mini ที่แกเพิ่งฝากเพื่อนที่สิงคโปร์(ที่ทำงานอยู่ใน apple) ซื้อมาฝาก ออกมาอวด

อวดไม่อวดเปล่า พยายามให้ผมลองฟังด้วย ยอมรับว่าเป็นเครื่องเล่นเพลงที่ออกแบบมาได้สวย และเสียงดีมาก หัวหน้าบอกว่าเห็นผมชอบฟังเพลงเก่า ๆ เลยแนะนำให้สองสามเพลง เป็นเพลงในยุค 70s

ไม่รู้ว่าแกแค่จะหาเพื่อนคุย หรือเพราะเห็นผมเหม่อ ทำหน้าเศร้ากับสายฝน แต่ก็เอาเถอะ

รู้สึกว่าในชีวิตผมจะมีแต่คนดี ๆ ผ่านเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน อย่างไอ้กานต์ หรือหัวหน้าของผมเอง และก็อีกหลาย ๆ คน

แม้แต่เธอที่ทิ้งผมไป เธอก็ยังคงเป็นคนดีของผม เพียงแต่เราพบกันผิดเวลา และผิดจังหวะเท่านั้น

ไม่เคยเสียใจที่ได้พบเธอ ได้รักเธอ ได้เคยมีเวลาดี ๆ กับเธอในช่วงหนึ่งของชีวิต