My Empty World

Wednesday, June 01, 2005

คนดี ๆ

สี่ทุ่มครึ่ง ข้างนอกฝนยังตกอยู่ปรอย ๆ อากาศเย็น

เมื่อตะกี๊เคลิ้ม ๆ กำลังจะหลับไป ก็พอดีมีโทรศัพท์มาหา

เป็นโทรศัพท์ไม่โชว์เบอร์ แต่โชว์ใจ

เป็นโทรศัพท์ทางไกลมาจากญี่ปุ่น

มาจากเพื่อนสนิทของผมเอง ไอ้กานต์

ไอ้กานต์เป็นเพื่อนสนิทของผม รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยมัธยม เคยเห็นหน้ากันมาตั้งแต่มอหนึ่ง พอมอสี่ค่อยได้มาเรียนห้องเดียวกัน แล้วจากนั้นมา ชีวิตของผมก็ต้องเห็นหน้ามันมาเรื่อย ๆ มอสี่ มอห้า มอหก สอบโควตาติดเข้ามาวิศวะมอชอด้วยกัน พอปีหนึ่งเทอมสองก็เรียนเมเจอร์เครื่องกลด้วยกันซะอีก

มาเริ่มห่าง ๆ กันไปก็ตอนผมเรียนจบปีสี่แล้วมาทำงาน ส่วนมันไปเรียน ต่อ ปริญญาโท ที่จุฬา แล้วชีวิตมันก็ระหกระเหินจนตอนนี้ไปทำโปรเจค และใช้ชีวิตปากกัดตีนถีบอยู่ที่ญี่ปุ่น นาน ๆ ทีจะกลับมาเมืองไทย

ถ้าเอาชีวิตของผมมาเขียนเป็นหนังสือ (ซึ่งก็คงไม่ค่อยมีเรื่องราวอะไรน่าสนใจให้อ่าน) ไอ้กานต์ก็คงเป็นบทใหญ่บทหนึ่งทีเดียว เป็นบทที่ขาดไม่ได้ และมันก็คงไม่ยอมอยู่แค่บท บทเดียวในหนังสือของผมแน่ มันคงขอมีส่วนร่วมไปในทุกบท

ด้วยความที่อยู่ไกล ทุกครั้งที่มันออนไลน์ MSN มันจะต้องทำหน้าตกใจ ( :o ) แล้วเข้ามาถามว่ามีข่าวคราวอะไรอัพเดตบ้างหรือเปล่า

จนคราวก่อนผมรำคาญก็เลยบอกมันไปว่าผมเลิกกับแฟนแล้ว (หรืออันที่จริง ผมโดนแฟนทิ้งแล้ว) มันถามรายละเอียดใหญ่ (จะด้วยความเป็นห่วง หรือความอยากรู้เห็นส่วนตัวของมันก็แล้วแต่)

ตั้งแต่นั้นมา ทุกครั้งที่มันออนไลน์มันก็จะเข้ามาถามผมเรื่อย ๆ ว่าอาการเป็นอย่างไรบ้าง

จนวันนี้มันคงทนไม่ไหว เลยโทรมาหาซะเลย

“ไอ้เวร ทีสบายดีไม่รู้จักโทรมา ดันโทรมาตอนกูอกหัก” ผมด่ามัน ทั้งๆ ที่น่าจะขอบใจที่มันเป็นห่วง อุตส่าห์โทรมาไกลจากญี่ปุ่น
“อ้าว ก็ถ้ามึงสบายดีแล้วกูจะโทรมาทำไม กูก็โทรมาตอนมึงเหี่ยว ๆ นี่แหละ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” มันย้อน

แล้วเราก็คุยกันด้วยเรื่อง ทั่ว ๆ ไป โดยเน้นหนักไปในอาการของผมว่าเป็นอย่างไรบ้าง ผมก็บอกมันไปว่าก็เรื่อย ๆ ยังกินข้าวได้ ยังนอนหลับ ยังทำงานได้ตามปกติ ถึงแม้บางครั้งความเหงาจะกระโดดเข้ามาล๊อกคอแล้วกระชากอย่างไม่รู้ตัว แต่โดยรวมแล้วผมก็ยังพอประคับประคองตัวได้ดีอยู่

มันบอกให้ผมรีบ ๆ หาจีบผู้หญิงคนใหม่เร็ว ๆ จะได้เลิกเศร้าซะที

รู้ว่ามันก็พูดไปอย่างนั้น เรื่อง(ผู้หญิง)ของมันเอง มันก็ยังเอาตัวไม่รอด ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้มันระหกระเหินไปถึงญี่ปุ่น

คุยกันสักพักก็วางหู มันต้องไปทำรายงานต่อ เวลาที่ญี่ปุ่นเร็วกว่าเมืองไทยประมาณสองชั่วโมง หมายความว่าตอนนี้ที่นั่นประมาณตีหนึ่งแล้ว แต่มันก็ยังไม่นอน ทำรายงานจนดึกดื่น แล้วพรุ่งนี้ก็ต้องไปทำงานพิเศษ

ซึ้งในน้ำใจเพื่อนที่อุตส่าห์โทรข้ามประเทศมาหา มาให้กำลังใจ ให้คำแนะนำ(ที่ไม่ค่อยจะช่วยอะไรมากนัก)

คนเรา บางทีเวลามีความรักก็เหมือนหมาช่วงติดสัด

ต่อให้ล่ามเอาไว้แน่นแค่ไหน ก็ดิ้นจนหลุดออกมาจนได้ ต่อให้กำแพงบ้านสูงแค่ไหน ก็แอบตะกายปีนหนีออกไป

แล้วก็หายตัวไป ไปกัด ไปสู้กับหมาตัวอื่น เพื่อผู้หญิง

จนหมดฤดู (หรือในกรณีของผม จนโดนเค้าทิ้งมา) ก็ซมซานกลับมาบ้าน

ด้วยสภาพผอมโซ เนื้อตัวเต็มไปด้วยแผลเหวอะ กลับมาหาเจ้าของ มาให้ดูแลเหมือนเดิม

เกือบจะเปรียบตัวเองเป็นหมา เพียงแต่ที่หมามันทำไปเพราะสัญชาตญาณ

แต่ที่ผมทำไป เพราะบางสิ่ง ที่คงจะเรียกว่าความรัก

รออีกหน่อย รอให้แผลหาย ให้ขนขึ้นเต็มเหมือนเดิม…..
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

ว่าจะเขียนถึงสิ่งพิเศษของวันนี้

เป็นวันเริ่มต้นขึ้นรถตู้ไปทำงานวันแรก ไม่ต้องขับรถไปทำงานเองอีกต่อไป

บังเอิญว่าผมต้องขึ้นรถเป็นคนแรกของสาย เลยต้องตื่นเช้าเป็นพิเศษ รถจะมารับตอนหกโมงสี่สิบ หน้าโรบินสัน แอร์พอร์ตพลาซ่า

ปกติเคยออกจากบ้านเจ็ดโมง ก็ต้องเลื่อนเป็นหกโมงครึ่ง

มารอขึ้นรถที่เดียวกับพี่โชค และหัวหน้าของผมเอง

หัวหน้าของผม เป็นบุคคลที่น่าจะเรียกได้ว่าเป็นมากกว่าหัวหน้า เป็นคนใจเย็น ใจดี และให้คำปรึกษาได้ในหลาย ๆ เรื่องทั้งที่เกี่ยวและไม่เกี่ยวกับงาน

อาทิตย์ที่ผมโดนเธอบอกเลิก แน่นอนว่ามันมีผลกระทบกับงาน ผมเดินไปบอกกับหัวหน้าว่าผมเลิกกับแฟนแล้ว (หัวหน้าก็รู้จักเธอด้วย เราเคยไปงานแต่งงานพี่เจียด้วยกัน) ตาแดง ๆ บอกกับหัวหน้าว่าที่ผ่านมาสองสามวันผมอาจจะมี lost focus ในเรื่องงานไปบ้าง ขอโทษที่ทำให้เรื่องส่วนตัวมีผลกับงาน

หัวหน้าถามว่าเรื่องมันเป็นมายังไง แต่พอเห็นผมตาแดง ๆ ก็บอกว่าถ้าไม่สบายใจจะเล่าก็ไม่เป็นไร และก็ไม่เคยถามเรื่องนี้อีกเลย

หรืออย่างเมื่อวาน ตอนผมเอาใบลาพักร้อนไปให้หัวหน้าเซ็นต์เพื่อลามาปฐมนิเทศในวันพรุ่งนี้ บอกหัวหน้าไปว่าตอนนี้ผมมาเรียน MBA ช่วงวันเสาร์ อาทิตย์แล้ว ถ้าเป็นหัวหน้าคนอื่น ๆ ก็อาจจะถามว่ามันจะมีผลกระทบกับการทำงานหรือเปล่า

แต่หัวหน้าผมสนับสนุน บอกว่าเป็นสิ่งที่ดีที่เรียนไปด้วยระหว่างทำงาน (โดยเฉพาะในสาขานี้) แกเองก็กำลังเรียนอยู่เหมือนกัน (แต่เป็นหลักสูตรออนไลน์) แถมยังเปิดลิ้นชักเอาเปเปอร์ที่เป็นกรณีศึกษาที่แกกำลังเรียนอยู่เอามาให้ผมดูด้วย ถามถึงเนื้อหาว่าเรียนอะไรไปบ้าง เราคุยเกี่ยวกับเนื้อหาในการเรียนอีกพักใหญ่

วันนี้ขึ้นรถมาตอนเช้า อากาศอึมครึมมีฝนปรอย ๆ ผมนั่งติดหน้าต่าง มองออกไปข้างนอก มีเม็ดฝนตกมาเกาะที่กระจกหน้าต่างแล้วก็ร่วงลงมาเป็นสายขณะที่รถแล่นไป ไม่รู้ว่าทำไมเวลาเห็นฝนร่วงลงมาเป็นสายเกาะที่กระจกแล้วทำให้รู้สึกเหงา ผมเหม่อมองข้างนอกหน้าต่าง หูก็ฟังเพลงจากปาล์ม บังเอิญว่าเป็นเพลงเศร้า ๆ อีกเหมือนกัน

สักพักก็มีมือมาสะกิด หัวหน้าผมเอง เอา ipod mini ที่แกเพิ่งฝากเพื่อนที่สิงคโปร์(ที่ทำงานอยู่ใน apple) ซื้อมาฝาก ออกมาอวด

อวดไม่อวดเปล่า พยายามให้ผมลองฟังด้วย ยอมรับว่าเป็นเครื่องเล่นเพลงที่ออกแบบมาได้สวย และเสียงดีมาก หัวหน้าบอกว่าเห็นผมชอบฟังเพลงเก่า ๆ เลยแนะนำให้สองสามเพลง เป็นเพลงในยุค 70s

ไม่รู้ว่าแกแค่จะหาเพื่อนคุย หรือเพราะเห็นผมเหม่อ ทำหน้าเศร้ากับสายฝน แต่ก็เอาเถอะ

รู้สึกว่าในชีวิตผมจะมีแต่คนดี ๆ ผ่านเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน อย่างไอ้กานต์ หรือหัวหน้าของผมเอง และก็อีกหลาย ๆ คน

แม้แต่เธอที่ทิ้งผมไป เธอก็ยังคงเป็นคนดีของผม เพียงแต่เราพบกันผิดเวลา และผิดจังหวะเท่านั้น

ไม่เคยเสียใจที่ได้พบเธอ ได้รักเธอ ได้เคยมีเวลาดี ๆ กับเธอในช่วงหนึ่งของชีวิต

2 Comments:

  • At 9:00 AM, Blogger NungNing said…

    ลำเอียงอ่ะ เขียนถึงแต่ไอ้กาม
    ~>_<~

     
  • At 6:11 AM, Blogger AUY ^ ^ said…

    อุ๋ยก็คิดว่าตัวเองเป็นคนโชคดีที่เจอแต่คนดีๆเสมอๆ
    เพื่อนอุ๋ยเคยบอกว่า ถ้าเราเป็นคนดี เราจะดึงเอาแต่สิ่งดีๆเข้ามาในชีวิต

    สงสัยเพราะเราเป็นคนดีกันมั้ง ก็เลยเจอแต่สิ่งดีๆ :)

     

Post a Comment

<< Home