My Empty World

Friday, June 10, 2005

คนดี ๆ (อีกสองคน)

วันอังคารที่ผ่านมา นัดไปกินข้าวเย็นกับคนดี ๆ อีกสองคน

เป็นคนดี ๆ คู่สามีภรรยา จากเชียงรายที่เดินทางไปใช้ชีวิตไกลถึงบริสเบน ออสเตรเลีย

คุณสามีไปเพื่อเรียนต่อ ส่วนคุณภรรยาตามไปอยู่บ้านด้วยเฉย ๆ ว่าง ๆ ก็ไปทำงานพิเศษที่ร้านอาหารไทยแถวนั้น

คุณภรรยาเป็นเพื่อนเรียนหนังสือของผมมาตั้งแต่วิศวะปีหนึ่ง ส่วนคุณสามีเป็นรุ่นพี่ที่แก่กว่าหนึ่งปี

ตั้งแต่ผมรู้จักสองคนนี้มา เค้าก็เป็นแฟนกันแล้ว (จริง ๆ เห็นว่าเป็นแฟนกันมาตั้งแต่มัธยม) แล้วความรักที่บ่มมาหลายปี ก็สุกงอม สองคนเพิ่งแต่งงานกันไปเมื่อสักสองปีมาแล้ว ยังจำได้ถึงวันที่ผมและเพื่อน ๆ เฮโลกันขึ้นรถไปเชียงรายเพื่อร่วมงานแต่งงานของสองคนนี้

เป็นอีกหนึ่งทริปการเดินทางที่น่าจะแยกเอามาเขียนเป็นบทพิเศษเฉพาะกิจ
แต่งงานได้ไม่เท่าไหร่ สองคนก็หอบหิ้วพากันบินข้ามฟ้าไปอยู่ออสเตรเลีย

ระหว่างที่ไปอยู่เมืองนอกเมืองนา เราก็ยังได้ติดต่อกันอย่างสม่ำเสมอทั้งทางตรง และ ทางอ้อม

ทางตรงคือเรา chat กันทาง MSN เมื่อออนไลน์เวลาเดียวกัน

ส่วนทางอ้อมคือผมไปแอบอ่าน ไดอารี่ออนไลน์ของคุณภรรยาแทบทุกวัน

จนหลัง ๆ มาคุณภรรยาส่งข้อความมาด่าว่าผมไปอ่านไดอารี่ของแก แต่ไม่ยอมเซ็นเกสต์บุ๊ค ไม่รู้ไป track กันยังไง ถึงได้รู้ขนาดนี้

เป็นอย่างนี้เรื่อยมา จนกระทั่งวันที่เธอ – คนที่ผมรัก - ได้เดินจากผมไป

อาการหนัก เศร้าสร้อย ก็ได้คนดี ๆ อย่างคู่สามีภรรยาคู่นี้ คอยปลอบใจ และ ให้ข้อคิด (ผ่านทาง MSN) ประหนึ่งว่าทั้งสองคนเป็นผู้เชี่ยวชาญในศาสตร์แห่งการอกหักและพักฟื้นหัวใจ ทั้ง ๆ ที่สองคนนี้ก็ไม่เคยอกหักเลยสักครั้ง

เพียงแต่ด้วยความที่ชีวิตคนรอบข้างของคุณสามีภรรยาคู่นี้ต่างก็ อกหัก กันมาโดยทั่วกัน เลยมีประสบการณ์ การปลอบใจและสังเกตอาการของคนอกหักได้เป็นอย่างดี

วันที่ผมอาการหนักหน่วงจนน้ำตาแทบไหลในเวลางาน ก็ได้คุณภรรยามาคอยหลอกล่อ ถามถึงหนังเรื่อง STAR WARS จนมัวฝอยเพลิน ลืมเรื่องเศร้า ๆ ไปได้ – เหมือนกลยุทธ์เอาไอติมมาล่อเด็ก

และช่วงอาทิตย์นี้ก็เป็นช่วงที่สามีภรรยาคู่นี้กลับมาเยี่ยมเมืองไทยพอดี

เราก็เลยได้มากินข้าวเย็นด้วยกัน – เข้าเรื่องซะที

ไม่ได้เจอกันมาเกือบปี แต่ไม่ได้รู้สึกว่าห่างกันไปนานขนาดนั้น คงเพราะเราเจอกันบ่อย ๆ ใน MSN ถึงไม่ได้คุยกัน แค่เห็นชื่อออนไลน์ก็เหมือนเห็นหน้ากัน – ทั้ง ๆ ที่อยู่ห่างกันขนาดข้ามมหาสมุทร

ไม่อยากเอามาเทียบกับใครบางคน ที่อยู่ห่างกับผมไม่ถึงห้าสิบกิโล แต่ใจเธอตอนนี้คงห่างไกลจากผมจนกระทั่งชั่วชีวิตนี้ก็คงเดินทางไปไม่ถึงเธอ – แต่เธอก็เล่นกลกับผมโดยการโผล่มาในความฝันของผมบ้างในบางคืน

เรานัดกันไว้ที่ร้านพิซซ่ามิสเตอร์ชาน พิซซ่าแป้งบางกรอบ – แต่ไม่เกร่อ - แบบพิซซ่าจังค์ฟู๊ดทั่วไป ยังคงอร่อยเหมือนทุกครั้งที่ผมกินมัน มีเสต็กเนื้อนุ่มได้ที กับเห็ดผัดเนยหอมฉุยมาเป็นเครื่องเคียง น้ำหนักที่ลดไปสองสามกิโลคงได้เวลากลับคืนมาหาผมสักที

เราคุยกันด้วยเรื่องทั่วไป แต่แน่นอน topic ที่เป็น high light ก็คงยังไม่พ้นเรื่องของผม

ผมยังคงสบายดี พยายามทำตัวให้สบายดี และดูยุ่ง ๆ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องมีอะไรเข้ามาให้คิดมาก แค่ทำงาน และเรียนไปด้วย ก็เหมือนจะดึงเวลาเกือบทั้งหมดในหนึ่งสัปดาห์ของผมไปหมดแล้ว

แล้วสองคนนี้ก็หลุดปากชวนผมไปเที่ยวออสเตรเลียจนได้

สามารถไปพักที่บ้านของพวกเขาได้ สามารถอาศัยกินกับข้าวที่คุณสามีทำ (โดยเอาแรงงานเข้าแลก) ได้ สรุปคือต้องจ่ายค่าเครื่องบิน กับค่ากิน(นอกบ้าน) ทั้งยังแนะนำว่าเวลาที่เหมาะที่สุดคือตุลาคมปีนี้ – พอเหมาะพอเจาะกับเวลาปิดเทอมของ MBA พอดี

อีกสี่เดือน อะไรก็เกิดขึ้นได้ หากเก็บเงินดี ๆ แบ่งไว้เป็นค่าเทอม เทอมถัดไป อีกส่วนหนึ่งอาจจะพอเป็นค่าตั๋วเครื่องบินไปออสเตรเลียก็ได้ วันลาพักร้อนของปีนี้ก็ยังเหลือเต็ม – ครั้งหนึ่งในชีวิตที่จะได้เดินทางไปไกลขนาดนี้ตัวคนเดียว

ไม่มีพันธะอะไรให้ผมต้องเป็นห่วงและยึดติดอีกต่อไป ไม่ต้องกลัวใครเหงาเวลาที่ผมไม่อยู่และไม่ได้โทรหา บางทีการเดินทางไกล ๆ สักครั้งอาจเป็นสิ่งดี ๆ ที่ทำให้ผมมีมุมมองแนวคิดอะไรใหม่ ๆ ได้บ้าง

เป็นความคิดที่น่าสนใจจริง ๆ

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
ขณะที่เขียนบันทึกอยู่นี้เพิ่งกลับเข้าบ้านมาเนื่องจากออกไปทำงานกลุ่มของ MBA ง่วงมาก ๆ

0 Comments:

Post a Comment

<< Home