My Empty World

Friday, August 26, 2005

CRASH

เป็นหนังอีกเรื่องที่ไปดูแล้วยังไงก็ไม่พูดถึงไม่ได้
จริง ๆ เป็นหนังที่ผมไม่ได้ตั้งใจดูด้วยซ้ำ เกิดลังเลระหว่า ง Crash และ Hidden blade

ก่อนไปดู ไม่ได้รู้เรื่องราวอะไรเกี่ยวกับตัวหนังมากนัก รู้แต่ว่า Crash เป็นหนังที่สะท้อนถึงสังคมที่(ยังมีการ)เหยียดสีผิวกันใน LA สหรัฐอเมริกา ส่วน Hidden blade ก็เป็นหนังซามูไร (ย้อนยุค) ที่คงจะเกี่ยวพันกับความรัก – ซามูไรโรมานซ์ - ว่างั้น

ตกลงกันกับอิ๊กโตโร ว่า ถ้าไปถึงหน้าโรงหนังแล้ว เจอเรื่องไหนฉายอยู่ (สะดวกที่สุด) ก็จะดูเรื่องนั้นเลย – ง่ายที่สุดในการตัดสินใจ

บังเอิญว่าเป็น Crash ที่มีรอบฉายเหมาะสมกับเวลาพอดี ก็เลยตกลงเลือกดูเรื่องนี้ - แอบคิดในใจว่าหนังจะต้องเครียดและจบแบบเศร้า ๆ แน่ ๆ

แล้วก็กลายเป็นว่าเป็นการตัดสินใจดูที่ถูกต้องอย่างยิ่ง

แน่นอนว่าตัวหนังดำเนินไปอย่างเครียด ๆ(อย่างที่คิดเอาไว้) แต่ก็ไม่มาก มีมุขขำ ๆ มีอะไรให้ได้คิดคอยสอดแทรกเข้ามาเสมอ

หนังกล่าวถึงเรื่องการเหยียดสีผิว – อาจจะโดยเจตนา และ ไม่เจตนา – ของประชากรในเมืองใหญ่อย่าง ลอส แองเจลิส การที่คนเราสีผิวต่างกัน ก็คล้ายจะเป็นการแบ่งชั้นวรรณะ และ “เลือกปฏิบัติ” กับคนกลุ่มนั้นไปเลย

และแน่นอน ว่าการเลือกปฏิบัติ อันนี้ มันก็ย่อมส่งผลกระทบต่อใครหลาย ๆ คน ในหลาย ๆ ทาง และแล้วในท้ายที่สุดมันก็จะมีหนทางย้อนกลับมาหาเราเอง

ชอบบทหนังที่เขียนไว้อย่างสับสน(ในตอนแรก) ที่กว่าจะพูดถึงใครแต่ละคน ที่แทบจะไม่เกี่ยวข้องกัน แต่สุดท้ายบทก็ขมวดเรื่องราวพาให้พวกเขามาให้เกี่ยวเนื่องถึงกันได้หมด ไม่ว่าจะเป็นตำรวจหนุ่มใหญ่ผิวขาวที่คอยเหยียดผิวและหาเรื่องคนอื่น – แต่แท้จริงแล้วเขาก็มีความหลังกับคนผิวสีที่ทำให้ชีวิตของพ่อเขาตกต่ำ หรือ ตำรวจหนุ่ม(กว่า) คู่หูที่คอยเห็นใจคนผิวสีที่ตกเป็นเหยื่อของตำรวจคนแรก แต่สุดท้ายก็มีอันต้องพลั้งมือซะเอง

เรื่องของหัวขโมยผิวดำ(สองคน) ที่ตั้งปณิธานว่าจะ ปล้น + ขโมยของของคนผิวขาว(รวย ๆ เท่านั้น) แต่ก็ให้บังเอิญต้องมาปล้นคนผิวสีเหมือนตัวเอง แถมยังพาให้เรื่องราวมันบานปลายไปกันใหญ่

อย่างไรก็ตาม....แน่นอนว่าเรื่องนี้จบแบบดี ๆ จบแบบที่ทำให้ผมยังอยากมีชีวิตต่อไปบนโลกนี้

มีเรื่องราวของอีกหลายคนในตัวหนังที่ก็คงบรรยายเขียนไว้ไม่หมด ได้แต่จำไว้ว่าจะหาโอกาสดูเรื่องนี้อีกที (ถ้าหนังออกเป็นแผ่นแล้ว)

เป็นอีกหนึ่งหนังดี ๆ ที่อยากจะแนะนำให้คนรู้จักไปหามาดู

หรือถ้าไม่มั่นใจ รอให้หนังออกเป็นแผ่นแล้ว ผมจะลงทุนไปซื้อ มาให้คนรู้จักยืมดูก็ได้เอ้า....

Monday, August 22, 2005

โยกเยกเอย น้ำท่วมเมฆ กระต่ายลอยคอ

อีกหนึ่งอาทิตย์อันแสนยาวนานก็ผ่านพ้นไปได้สักที....
ตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา ดูเหมือนจะมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายเหลือเกิน

เริ่มต้นกันที่น้ำท่วมบ้านผม
เป็นครั้งแรกในรอบสามสิบปี(หรืออาจจะสี่สิบปี - แล้วแต่ที่ใครจะเกิดทัน) ที่น้ำท่วมเชียงใหม่ขนาด บ้านผมที่น้ำไม่เคยท่วมถึงไม่ว่าฝนจะตกหนัก หรือ ตกติดต่อกันนานขนาดไหน อย่างดีมันก็แค่มาปริ่ม ๆ หน้าบ้าน
แต่ในปีนี้ ในวันที่ฟ้าใส อากาศดี ๆ นี่แหละ - ก็มีน้ำท่วมเข้ามาถึงในห้องนอนลึกถึงเข่า

วันอาทิตย์ที่แล้ว วันฟ้าใสที่ผมขับรถออกไปเรียนหนังสือตอนเช้า อย่างปกติ แต่พอเกือบ ๆ สี่โมงเย็น น้องสาวก็โทรมาบอกว่าเลิกเรียนแล้วให้รีบกลับมาบ้าน ช่วยกันเก็บข้าวของหนีน้ำ ผมเงยหน้ามองฟ้า ท้องฟ้าใส ไม่มีอะไรผิดปกติ ไม่น่าที่น้ำจะท่วมได้ แต่ก็รีบขับรถกลับบ้าน

กลับมาเพื่อจะพบว่าถนนแถวบ้าน นองไปด้วยน้ำหมดแล้ว น้ำขึ้นสูงจนผมกลัวว่าเครื่องยนต์มันจะดับไปซะก่อนที่จะถึงบ้าน – แต่สภาพแถวบ้านน้ำก็สูงจนไม่กล้าจะจอดรถ ผมต้องขับเลยไปอีกหน่อยจนถึงที่ดินข้างหมู่บ้านที่เขาถมเอาไว้สูง ๆ – จอดรถ ถอดถุงเท้า รองเท้า พับขากางเกง แล้วก็เดินลุยน้ำกลับเข้ามาที่บ้าน

น้ำเริ่มเข้ามาในบ้านแล้วตอนนั้น แต่ยังอยู่ในระดับตื้น ๆ ไม่เกินตาตุ่ม แต่แค่นี้ก็ทำให้เราตกใจแล้ว เพราะอย่างที่เขียนไว้ข้างบน – น้ำไม่เคยเข้ามาในบ้านเราได้มาก่อนเลย ไม่ว่าจะกี่ปีกี่ปีที่ผ่านมา - แล้วมันก็ทำให้เราได้ใจ ไม่ได้เตรียมถุงทราย เอาไว้มากพอ

ระดับน้ำเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในขณะผมง่วนกับการขนกองหนังสือ (สมบัติอันมีค่า) ที่กองอยู่กับพื้น ไปไว้บนชั้นสูง ๆ แล้วก็วิ่งข้ามไปหน้าบ้านพยายามเรียงถุงทราย หันกลับมาดูอีกที ระดับน้ำก็เลยข้อเท้าขึ้นมาแล้ว

ระหว่างกำลังง่วนเก็บของ ก็มีโทรศัพท์ของเพื่อน ๆ ผม และเพื่อน ๆ พ่อ โทรเข้ามาถามไถ่เรื่องน้ำท่วมบ้าน (ข่าวไปเร็วมาก) น่าตื้นตันมาก แต่การวิ่งรับโทรศัพท์มันก็ทำให้เราเก็บของได้ช้าขึ้น

มีสายหนึ่งมาจากเจี๊ยบ (ยุพราช) โทรมาถามเรื่อง set up computer คุณเจี๊ยบเธอไม่ได้รู้เรื่องราวความเป็นไปของโลกเลย ได้แต่อธิบายเรื่อง set up ให้เจี๊ยบฟังคร่าว ๆ และบอกว่าจะโทรกลับ(หลังน้ำลดแล้ว)

น้ำเข้ามาในบ้านสูงจนจึงระดับปลั๊กไป เราเลยจำเป็นต้องสับคัตเอาท์ลง เพื่อความปลอดภัย เช็คดูแล้ว ในบ้านเหลือเทียนไขไม่มากเท่าไหร่ แล้วด้วยความยุ่ง ๆ ก็เลยหาไฟฉายไม่เจอ ฟ้าก็ครึ้ม ๆ มืด ๆ ลงทุกที

ผมก็เลยต้องเดินลุยน้ำออกจากบ้าน –พร้อมกับร่มอีกหนึ่งคัน เผื่อไว้- ไปหาซื้อเทียนไข ไฟฉาย (และอื่นๆ) เดินออกมา ยิ่งห่างออกจากบ้าน น้ำก็ยิ่งขึ้นสูงขึ้นทุกที จากน่อง เป็นหัวเข่า แล้วก็ถึงเอว เมื่อเดินมาถึงโรงพยาบาลแม่และเด็ก

น้ำไหลแรง และ ข้นเพราะมันหอบเอาเศษดินมาด้วยจนเป็นสีเหลืองนวล (คล้ายชาซีลอนเวลาเราใส่นมเข้าไปเยอะ ๆ) แต่น้ำสีชานมนี้มันไม่น่าพิสมัยเลย เพราะมันทำให้เราเดินไปข้างหน้าด้วยความยากลำบาก (มาก ๆ) ระยะทางไม่กี่ร้อยเมตรต้องใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงในการเดินฝ่าไป

รู้สึกตัวเองเหมือน ซาโตชิ ในการ์ตูนเรื่องผู้รอดตาย มีผู้ร่วมอุดมการณ์ เดินหอบข้าวหอบของลุยฝ่าน้ำ ประปราย

ระหว่าง เดิน ๆ อยู่ รู้สึกเหมือนมีอะไรลื่น ๆ ยาว ๆ ลอดผ่านขาผมไป พยายามปลอบใจตัวเองว่ามันคงเป็นแค่ถุงพลาสติก....

กว่าจะเดินลุยน้ำพ้นน้ำออกมาถึงที่สูงและแห้ง ฟ้าก็มืดแล้ว บรรยากาศที่เชิงสะพานข้ามแม่น้ำแม่ข่าตอนนั้นคล้าย ๆ เป็นกึ่ง ๆ ศูนย์อพยพผู้ลี้ภัย มีคนเข็นมอเตอร์ไซค์หลายคันไปจอดหลบน้ำข้างบนคอสะพาน มีการเปิดไฟสปอร์ตไลท์สีเหลือง ส่องไปทางถนนที่น้ำท่วม มีรถเข็นมาขายของจำพวก ซาลาเปา ไส้กรอกย่าง แล้วก็มีคนมามุงดูน้ำท่วม – รวมถึงมุงดูคนเดินลุยน้ำท่วมอย่างผมเดินออกมา

ได้แต่คิดว่า นี่เรากำลังอยู่ในอำเภอเมืองจังหวัดเชียงใหม่หรือเปล่า?

เดินเลยสะพานไปอีกหน่อย ที่น้ำแห้ง ผมแวะไปเปิดห้องไว้ที่โรงแรมแถวนั้นหนึ่งห้อง กะว่าถ้าน้ำมันยังขึ้นอีกก็จะชวนที่บ้านลุยน้ำออกมานอนที่โรงแรมนี่แหละ

จากนั้นก็แวะซื้อ เทียนไข ไฟแช็ค ไฟฉายพร้อมถ่าน น้ำดื่ม รวมถึงข้าวผัดอีกห้าห่อ (เผื่อไอ้กี้ หมาที่บ้านด้วย)

แล้วก็หอบของเหล่านี้พะรุงพะรัง เดินลุยน้ำกลับมาที่บ้านอีกรอบ ขากลับนี้ไม่ต้องเดินต้านน้ำ ทำให้เดินสะดวกกว่าเดิม แต่ก็เพราะ ข้าวของพี่พะรุงพะรังทำให้เดินลำบากเหมือนเดิม

กลับมาถึงบ้าน ถุงทรายที่มีมากั้นหน้าบ้านไม่ได้ช่วยอะไรเลย น้ำไหลเข้ามาในบ้าน ห้องนอน ห้องน้ำ และ ทุก ๆ ที่ที่มันจะสามารถเข้าไปได้ ตอนนี้ ระดับน้ำในบ้านสูงถึงเข่าแล้ว

เรานั่งที่โต๊ะหน้าหน้าบ้าน เอาไอ้กี้มาผูกไว้กับตั่งไม้ที่น้ำคงจะท่วมไม่ถึง จุดเทียน แล้วก็ล้อมวงกินข้าว นับเป็นมื้อที่โรแมนติกมาก กินข้าวใต้แสงเทียน มีเสียงน้ำไหลคลอมาด้วย และมันจะโรแมนติกยิ่งกว่านี้ถ้าเท้าของเราไม่ได้กำลังแช่น้ำอยู่ – ด้วยความเหนื่อยผมกินข้าวไม่ลง เลยยกให้ไอ้กี้ หมาแก่มันจัดการแทน (น้องสาวมาบอกทีหลังว่าข้าวผัดไม่อร่อยมากถึงมากที่สุด - แต่มันก็กินจนหมด)

ตรวจดูในบ้านจนเรียบร้อยว่าเก็บของไว้เรียบร้อยแล้ว ผมก็ชวน พ่อ น้องสาว และยาย เดินฝ่าน้ำออกไปนอนที่โรงแรมที่จองเอาไว้

ปัญหาคือยายไม่ยอมไปเพราะจะอยู่เฝ้าบ้าน และ เป็นห่วงหมา (อีกอย่างผมลืมนึกไปว่าแกอาจจะฝ่าน้ำท่วมออกไปไม่ไหว)

แต่โรงแรมก็จองไว้แล้ว ก็ได้แต่พาพ่อ กับน้องสาวลุยน้ำออกไปที่โรงแรม แล้วผมก็ย้อนกลับมาที่บ้านนอนเฝ้าบ้านเป็นเพื่อนยายอีกทีนึง

น้ำขึ้นมาปริ่ม ๆ ที่ขอบเตียง แต่ด้วยความเหนื่อยผมก็หลับไปได้ในตอนเกือบตีหนึ่ง

ตื่นมาตอนเช้าเกือบ ๆ หกโมง ก็ลุยน้ำออกไปที่โรงแรมเพื่อที่จะไปอาบน้ำ ระหว่างทางโทรไปหาหัวหน้าเพื่อลางาน – พยายามเดินให้มีเสียงน้ำดังลอดเข้าไปในโทรศัพท์ เป็น sound effect เพื่อยืนยันว่าน้ำท่วมบ้านผมจริง ๆ นะ หัวหน้ามีการถามว่าผมจะทำงานจากที่บ้านได้หรือเปล่า (ปีที่แล้วผมทำอย่างนี้ เพราะน้ำท่วมถนน แต่ไม่เข้าถึงบ้าน) ผมได้แต่บอกไปว่าปีมันแย่ของแย่ที่สุดแล้ว

มาถึงโรงแรมก็เปลี่ยนเวรกับพ่อ พ่อกลับไปดูที่บ้านต่อ ส่วนผมก็อาบน้ำแล้วก็นอนต่อจนเกือบสิบโมงจึงค่อยลงมาเช็คเอาท์แล้วซื้อข้าวกลับเข้าบ้าน

กลับมาถึงบ้านอีกที น้ำก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะลดลง ผมเริ่มเป็นกังวลเพราะจะมีลูกค้ามา audit โรงงานวันพฤหัสนี้แล้ว ยังไม่ได้เตรียมตัวอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย ถ้าพรุ่งนี้ผมยังไปทำงานไม่ได้ มีหวังแย่แน่ ๆ

แต่กังวลไปก็ใช่ที่ ระหว่างไม่มีอะไรทำ ผมก็ออกเดินลุยน้ำสำรวจไปอีกทางของถนน เผื่อจะมีทางไหนที่น้ำท่วมน้อยกว่า แล้วจะได้ลุยน้ำออกไปทำงานวันรุ่งขึ้นได้ (หรือพายายลุยน้ำที่ตื้นๆ ไปหาโรงแรมพักอีกคืนได้) แต่ปรากฏว่าอีกทางที่เหลือน้ำกลับยิ่งท่วมสูงกว่าทางที่ผมไปมาเมื่อคืนนี้ซะอีก คือสูงขึ้นมาถึงท้อง

ระหว่างเดินไปก็เจออะไรแปลก ๆ มีคนไปเอาเรือพาย (มาจากไหนก็ไม่รู้) ออกมาพายเล่น มีเด็ก ๆ นั่งเล่นวักน้ำกันอย่างสนุกสนาน บางคนก็ไปขนเอากะบะผสมปูน(ใหญ่ ๆ) มาทำแทนเรือ จุคนได้สามสี่คน พายออกมาเล่นเหมือนกัน

ที่เด็ดที่สุดก็เห็นจะเป็นเอาอ่างอาบน้ำไฟเบอร์กลาส มาทำเป็นเรือ – คนเราเวลาคับขันก็เอาอะไร ๆ มาประยุกต์ได้ดีเหมือนกัน

บางคนเอาเหล้าออกมาตั้งวงกินกัน เปิดเพลงเต้นประชดน้ำท่วมก็มี

บางคนก็เอากล้องวีดีโอ ออกมาถ่ายบันทึกเหตุการณ์(อันน่าจดจำ?) นี้เอาไว้ก็มี แถมยังมาถ่ายผมติดเอาไปอีกแน่ะ

เดินผ่านแถวบ้านขวัญ(ยุพราช) ก็เลยลองโทรเข้าไปถาม ปรากฏว่าบ้านขวัญก็ไม่รอดเหมือนกัน น้ำท่วม ตอนนี้กำลังเฝ้าเครื่องสูบน้ำอย่างเอาเป็นเอาตาย

กลับมาถึงบ้านเพื่อจะถามว่าคืนนี้ไปนอนที่ไหนกันหรือเปล่า ถ้าน้ำยังไม่ลด แต่ทุกคนลงความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่าคืนนี้จะนอนที่บ้าน แล้วทุกคนก็ลงความเห็นเป็นเอกฉันท์(อีกเช่นกัน) ให้ผมออกไปหาที่นอนข้างนอก (อาศัยบ้านเพื่อนนอน) เพราะว่า น้ำท่วมแล้วที่นอนไม่พอ และ ผมจะได้ขึ้นรถไปทำงานได้สะดวกในวันรุ่งขึ้น

ได้แต่เก็บข้าวของใส่กระเป๋าเป้ แบกร่มอีกหนึ่งคัน(เผื่อฝนตก) แล้วก็เดินลุยน้ำออกมาอีกรอบ

เดินออกมาถึงแถว ๆ คูเมืองด้านใน เหมือนโลกลำเอียง เพราะตรงนี้ถนนแห้ง เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมเดินต่อไปถึงแถว ๆ ดวงกมล โทรบอกไอ้เจมส์ให้มันช่วยขับรถมารับหน่อย แล้วก็โทรหาไอ้ก่อขอไปอาศัยมันนอนคืนนึง

ไอ้เจมส์แวะมารับพร้อมกับไอ้ดุ๊ก พวกมันดูสารรูปผมแล้วก็หัวเราะ บอกว่านี้แหละเครื่องแบบของมนุษย์บ้านน้ำท่วม (ผมใส่เสื้อเชิ้ตผ้าลินินยับ ๆ สีน้ำตาล- ที่แห้งไวมาก กางเกงผ้าสังเคราะห์ขาสั้นสีเดียวกับเสื้อ รองเท้าแตะ สะพายเป้ใบโตไว้ข้างหลัง แถมถือร่มอีกคันหนึ่ง หัวกระเซิง) ดูเผิน ๆ เหมือนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ผิดกันแค่ว่านักท่องเที่ยวเขาไม่ถือร่มแบบผมก็เท่านั้นเอง

ไปนั่งเล่นที่ออฟฟิศ(บูดๆ) ของไอ้เจมส์ทั้งบ่าย คอยโทรกลับไปเช็คสถานการณ์ที่บ้าน และเล่นเนตฆ่าเวลาจนถึงเย็น (เผลอหลับไปด้วย) ไอ้ก่อแวะมารับไปทิ้งไว้ที่หอมัน ให้ผมอาบน้ำ ระหว่างที่มันออกไปหาแฟน

โทรกลับไปถามสถานการณ์ที่บ้านอีกทีตอนสามทุ่ม น้ำลดเป็นปกติแล้ว ตอนนี้กำลังเก็บกวาดกันอยู่ โชคดีไป

เหตุการณ์ของวันน้ำท่วมก็จบลงเท่านี้

(มีเรื่องราวต้องบันทึกอีกเยอะ ... แต่วันนี้เหนื่อย + เมื่อยมือแล้ว)

Monday, August 08, 2005

ตาสว่าง (แล้วมั้ง)

เมื่อหัวค่ำนี้เอง น้องที่ทำงานคนหนึ่งโทรมาหา

ช่วงนี้มันโทรมาเล่าเรื่องของมันให้ผมฟังบ่อยมาก ส่วนนึงคงเป็นเพราะว่าพวกเพื่อน ๆ (ที่สนิท ๆ)ของมันลงไปทำงานแถว กทม หรือ ระยองกันหมดแล้ว

อีกส่วนคงเป็นเพราะว่ามันเป็นคนลามปามชอบเข้ามาเทียบรุ่นกับผม หรือไม่ก็เป็นเพราะผมที่ยังไม่เป็นผู้ใหญ่ซะที ลดตัวลงไปเฮฮา กับพวกมันอยู่เนือง ๆ

แต่วันนี้มันโทรมาเล่าเรื่องพ่อของมันให้ฟัง – หลังจากที่พาไปตรวจที่พิษณุโลกมาแล้วรอบนึง พามาตรวจที่สวนดอกอีกสองรอบ – ก็ได้ผลออกมาว่า พ่อของมันเป็นมะเร็งที่ต่อมน้ำเหลือง ระยะที่สอง....

ผมฟังแล้วอึ้ง เพราะจากที่มันเล่าให้มันฟังคราวก่อน หมอตรวจแล้วไม่เจออะไร แต่ก็ขอตรวจเพิ่ม – ตอนนั้นผมให้กำลังใจมันไปว่าคงไม่เป็นไร อาจจะไม่มีอะไรก็ได้ ที่พิษณุโลกอาจจะตรวจผิด

แต่ในเมื่อผลมันออกมาเป็นอย่างนี้ ก็ต้องยอมรับผลตรวจไป – แต่ระยะที่สองก็หมายความว่ายังพอรักษาได้ แต่ต้องมารักษาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาอย่างน้อยสี่เดือน นั่นคือสี่เดือนนับจากนี้ มันคงต้องคอยขับรถ ขึ้นลง เชียงใหม่ – อุตรดิตถ์ อาทิตย์ละครั้งเพื่อรับพ่อขึ้นมาตรวจที่สวนดอก

โชคดีที่พ่อมันเป็นข้าราชการ เลยแทบไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรในการรักษา แล้วก็ดูเหมือนว่าพ่อมันจะมีกำลังใจดีมาก

ตอนแรกมันปรึกษาผมว่าลาออกจากงานดีหรือเปล่า จะได้มาดูแลพ่อ

ผมไม่เห็นด้วย เพราะข้อแรก มันจะเอาเงินที่ไหนมาใช้ แล้วอีกข้อคือถ้าลาออกมันจะไม่ยิ่งทำให้พ่อมันกลุ้มใจเรื่องมันรึเปล่า ด้วยงานที่มันทำอยู่ตอนนี้ กับนิสัยของหัวหน้า ผมคิดว่าหัวหน้าของมันน่าจะเข้าใจ ถ้ามันจะต้องลาหยุดบ่อยขึ้นเพื่อไปรับพ่อมาตรวจ - อย่างแย่ที่สุดก็คือขอแลกวันหยุดโดยมาทำงานวันเสาร์เพิ่มอีกวัน

มันก็ได้แต่รำพึงให้ผมฟัง “ชีวิตตอนยี่สิบห้า (เบญเพส) นี่มันวุ่นอย่างนี้กันทุกคนเลยนะพี่….”

ผมฟังแล้วสะอีก...ไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้เอง ผมก็รำพึงรำพัน คล้าย ๆ อย่างนี้กับตัวเอง (และบันทึก) รำพึงรำพัน ด้วยเหตุผลที่ว่าผู้หญิงคนหนึ่งที่ผมรักได้เดินจากไป – แค่นั้นเอง – เรื่องของผมมันเป็นแค่ยิ่งกว่าก้อนขี้เล็บถ้าเอาไปเทียบกับไอ้น้องคนนี้ แค่ลองคิดว่าถ้าผมต้องตกอยู่ในสถานะเดียวกันกับมัน....รู้สึกอายตัวเอง....

เหมือนคลับคล้ายว่าจะตาสว่างขึ้นมาแว่บหนึ่ง – เรากำลังละเลยคนที่รักเรา(อย่างไม่มีวันหมด) ไปโศกเศร้ากับคนที่เค้าไม่ได้รักเรา ???

ก็เลยทดสอบตัวเอง...ด้วยการโทรไปหาเธอซะเลย

คราวนี้ได้คุย คุยด้วยเรื่องเรื่อยเปื่อยราว ๆ ยี่สิบนาที เธอก็ขอตัววางหู – ไม่มีน้ำเสียงอาลัยอาวรณ์ตอนวางหู

แต่พอวางหูแล้ว คราวนี้ผมกับรู้สึกฉย ๆ ไม่ได้เดือดร้อน เป็นทุกข์ ฟูมฟาย เหมือนครั้งก่อน ๆ

ชีวิตนี้มันสั้นนัก มีความสุขกับคนที่รักเราตอนที่ยังมีเวลาดีกว่าไปโหยหาความรักจากคนที่คงจะมอบให้เราได้แต่ความเศร้า...

ผมรู้ว่าผมยังตัดใจจากเธอไม่ได้ บางทีอีกสักสามสี่วัน หนึ่งอาทิตย์ หรือสักพักหลังจากนี้ ผมอาจจะมาฟูมฟายด้วยเรื่องของเธอกับบันทึกนี้อีกครั้ง

แต่ผมทำ book mark ของหน้านี้ไว้เรียบร้อยแล้ว ... แล้วถ้าวันไหนผมฟูมฟายกลับมาด้วยเรื่องนี้อีก ผมก็จะเข้ามาอ่านสิ่งที่ผมเขียนเอาไว้เองอีกครั้ง - และคราวนี้ อาการมันก็คงจะหายไปอย่างรวดเร็ว

วันหยุดอีกหนึ่งวัน

เผลอแผล่บเดียว ก็ผ่านไปอีกแล้วเกือบสองอาทิตย์

อะไร อะไรในช่วงสองอาทิตย์ที่ผ่านมาช่างเกิดขึ้นมากมายเหลือเกิน

อย่างแรก วิชาที่ต้องอาศัยทรัพยากรมากที่สุด (ทรัพยากรที่ว่าคือ เวลา เงินทอง ความคิดสร้างสรรค์ แล้วก็ “ความอดทนต่อแรงกดดันทางอารมณ์” – รึเปล่า) อย่าง ตัว Management & Organization Behavior ก็สิ้นสุดลงไปซะที

เราสอบกันไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว (ด้วยความทรุดโทรม) แล้วก็มาพรีเซนต์โปรเจค (งานกลุ่มกัน) ในอาทิตย์นี้
โปรเจคที่ว่าคืออาจารย์แบ่งกลุ่มให้ แล้วให้ไปสัมภาษณ์ลักษณะเด่นของในแต่ละองค์กร แล้วก็เอามาทำเป็นรายงานพร้อมนำเสนอ

โจทย์ง่าย ๆ อย่างนี้แหละ ที่มันกำกวมซะจนทำให้เราต้องทำงานกันรอบแล้ว รอบเล่า แก้กันแล้วแก้กันอีก เปลี่ยนหัวข้อเรื่อง นัดสัมภาษณ์ใหม่ กว่าจะมาลงเอยกันที่เรื่อง “วัฒนธรรมองค์กรของ เอ ไอ เอส” แม้จะได้คนสัมภาษณ์ที่เค้ายินดีให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ แต่ก็ต้องแก้เค้าโครงเรื่องกันใหม่ ให้เป็น สเต็ป ตามหลักการ อ่านแล้วไม่รู้สึกติด ๆ ขัด ๆ

ไม่น่าเชื่อว่าเรื่องแค่นี้ทำให้พวกเราต้องใช้เวลาตั้งแต่ทุ่มครึ่งถึงเกือบเที่ยงคืน อย่างน้อยสามวันต่อสัปดาห์ ติดต่อกันเป็นเวลาสามอาทิตย์ (หยุดแยกย้ายกันไปอ่านหนังสือสอบหนึ่งอาทิตย์) อะไร ๆ ถึงจะลงตัว สิ่งที่ยากอาจจะไม่ใช่แค่เนื้อหา แต่มันเป็นการที่ทำอย่างไรจะดึงเอาความสนใจของทุกคนในกลุ่มเข้ามาร่วมกัน ร่วมแชร์ไอเดียด้วยกันได้ – โดยเฉพาะเมื่อทุกคนมีฐานะเท่าเทียมกันคือ สมาชิก ไม่มีหัวหน้า และลูกน้อง เราไม่สามารถชี้นิ้วสั่งใครให้ทำอย่างนั้น อย่างนี้ได้ ช่วงแรกอึดอัดใจมากที่ต้องคอยเอาใจให้คนหลาย ๆ คน (รวมทั้งเอาใจตัวเองไม่ให้หลุดว๊าก อะไรออกมา – แต่แน่นอน บางทีมันก็มีหลุด ขอโทษนะครับ พี่ ๆ น้อง ๆ)

แต่สุดท้าย – ชิ้ง – เราก็เข้ากันได้ รายงานเสร็จ ส่งอาจารย์ ไปเมื่ออาทิตย์ก่อน (หนึ่งวันก่อนสอบ) แล้วอาทิตย์ที่ผ่านมาเราก็มาเตรียมพรีเซนเตชั่นกัน และแล้วเมื่อเสาร์ที่ผ่านมาทุกอย่างก็จบลงด้วยดี

เมื่อวานก็เลยเป็นวันหยุด(ที่หาได้ยาก) อีกหนึ่งวัน แล้วผมก็ใช้มันไปกับการนอนอเนกเขนกอ่านนิยายที่ซื้อมาคั่งค้างเอาไว้

Deception Point (แผนลวงสะท้านโลก) ของ แดน บราวน์ นิยายที่อ่านแล้วให้ความรู้สึกเหมือนหนังแอ๊คชั่น (เอาใจตลาด) เรื่องหนึ่ง ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองรึเปล่า แต่มันขาดความ “คลาสสิค” ที่มีอยู่ใน Davinci code หรือ Angels & Demons จังหวะมันลงตัวเกินไป อีกอย่างดูเหมือนว่าเค้าชอบเอาตัวร้าย(จริงๆ ของเรื่อง) มาโผล่ซะตั้งแต่แรก มันเลยทำให้ผมอ่านไป แล้วก็อดจะเอาว่าใครที่เป็นตัวร้าย(จริง ๆ ของเรื่อง) ได้อย่งาไม่ค่อยผิด – แต่ก็อย่างว่า ผมอาจคิดไปเอง – อาจจะคุ้นเคย(และชื่นชอบ) กับสำนวนการแต่งของเขาในนิยายที่มีองค์ประกอบของอะไรที่มันโบราณ ๆ มากกว่าจะชอบการเขียนที่อิงทางเทคโนโลยี

หรือว่าเพราะเราเรียนมาทางสายเทคโนโลยีก็เลยไม่ค่อยรู้สึกตื่นเต้นเท่าไหร่?

อีกเรื่องหนึ่งที่พยายามเอามาอ่านให้จบ ๆ ไปคือเรื่อง แบรนด์ (Brand) นิยายโดยคนไทย นามว่า วิสิทธิ์ โพธิวัฒน์ เป็นเรื่องเกี่ยวกับ องค์กรเกี่ยวกับร่างทรงที่ดูเหมือนว่าจะมีอำนาจเหนือจิตใจของประชาชนในเมืองหนึ่ง (ที่สมมติว่าอยู่ในประเทศไทย) มากขึ้นทุกที ๆ มีการติดป้ายโฆษณาทั่วทุกมุมเมือง จ้างบริษัทโฆษณามาทำโฆษณาออกทีวี จนประมาณกันว่ามีสาวกกันเป็นล้าน ๆ คน ซึ่งจริงๆ แล้วสิ่งที่หนังสือพยายามบอกมาคงจะเป็นเรื่องที่ว่าทุกวันนี้คนเราใช้อะไรในการพิจารณาซื้อของ “ตัวสินค้า” หรือ “แบรนด์”

ตอนจบของหนังสือไม่ได้จบในเชิงวิทยาศาสตร์ (อย่างที่ผมคิดว่ามันน่าจะจบแบบนั้น) มีหักมุมแบบแปลก ๆ แต่โดยรวมก็เป็นหนังสือที่ดี (หรือเพราะช่วงนี้ผมไม่ค่อยได้อ่านนิยายไทย ) ปูทางมาดี กระชับ มาเนิบ ๆ ตอนค่อนเรื่องหลัง แล้วก็เหมือนกับจะเร่งให้จบตอนท้าย ๆ

ดูเหมือนว่าเขา(คนเขียน)จะเป็นคนทำโฆษณามาก่อน ก็เลยคุ้นเคยทฤษฎีด้านนี้ (การทำโฆษณา)

แต่แปลกที่เขามักจะเอาชื่อ “แบรนด์” เข้ามาต่อท้ายสินค้าที่โผล่มาในหนังสือของเขาเสมอ เช่น ถ้าบอกว่านางเอกกำลังสระผมก็ต้องเป็น คลินิก หรือ นางเอกเปิดคอมพิวเตอร์ แอปเปิล อะไรทำนองนั้น - เข้าใจว่าเป็นนโยบายของคนเขียนที่จะเน้นถึงความสำคัญของ “แบรนด์” ต่อคนอ่าน มากกว่าจะเป็นโฆษณาแอบแฝง (แบบปัญญาอ่อน) มาในหนังสือของเขา

อ่านหนังสือเสร็จแล้ว ก็ออกไปเช่าหนังมาดู อีกสองสามเรื่อง ช่วงนี้อยากดูหนังแอ๊คชั่น บู๊ล้างผลาญ ก็เลยได้ Desperado ไอ้ปืนโตทะลักเดือด กับ Kill Bill Volume 1 มา

แอบขำตัวเองนิดหน่อยที่ดู ๆ เรื่อง Kill Bill อยู่แล้วแผ่นก็กระตุก – ต้องบอกตัวเองว่าใช้ CD Drive ยี่ห้อ acer ไม่ใช่ Soken – อ่านได้ทุกแผ่น

เหลือเรื่อง Lawrence of Arabia ที่ยังไม่ได้ดู หนังยาวสี่แผ่น คิดว่าต้องรีบดูให้จบในเร็ววัน เพราะผมชักจะเข็ดกับการจ่ายค่าปรับแพง ๆ ซะแล้วสิ


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


ไม่ได้มาเขียนบันทึกซะนาน ดูเหมือนจะมีเรื่องมาเขียนเยอะซะเหลือเกิน – เผื่อเอาไว้วันหน้า – เรื่องอะไรที่บ่น ๆ เอาไว้วันนี้มันอาจจะเป็นแค่ “สิ่งที่เคยไม่สะดวก” สำหรับผมในวันนั้นก็ได้

เพิ่งนึกถึงเหตุผลที่ไม่ได้มาเขียนบันทึกซะนานอีกข้อหนึ่งได้ก็คือ เนื่องมาจากการ์ดจอที่ออกอาการกระเสาะกระแสะ อ่อนแอมานาน (แต่ผมก็ยังทู่ซี้ใช้มันอยู่ แล้วแก้ปัญหาด้วยการ รีสตาร์ท) มันได้เวลาลาจากโลกไปซะที อย่างเป็นทางการ ส่งผลให้คอมของผมไม่สามารถเปิดใช้งานได้ เปิดเครื่องมามีโลโก้วินโดวส์ แล้วก็ค้างไว้อย่างนั้น

ด้วยความที่ยุ่ง ๆ กับเรื่องรายงาน เรื่องสอบ (และแน่นอนเรื่องงานที่ทำงาน) ผมก็เลยไม่ได้ทำอะไรกับมัน ปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้นเป็นอาทิตย์ จนสอบเสร็จค่อยมีเวลาไปเดินตระเวนหาการ์ด ตัวใหม่มา

อย่างที่เคยบันทึกไปในวันก่อน ๆ ว่ามีผู้รู้ แนะนำว่า การ์ด AGP4x ก็สามารถนำมาใส่ที่ slot AGP1X (บูด ๆ) ของผมได้เหมือนกัน

แต่ก็มีผู้รู้(อีกท่าน)แถวร้านคอมบอกว่าเดี๋ยวนี้การ์ดจอรุ่นที่ขาย ๆ กันอยู่ส่วนใหญ่จะเป็น AGP8X หมดแล้ว ซึ่งมันก็ใช้กับ เมนบอร์ดของผมไม่ได้อีก

ทางเลือกสุดท้ายคือต้องไปเดินหาการ์ดจอมือสอง (ที่เค้าเอามาแยกขาย) – บังเอิญไปเจอการ์ดมือสองรุ่นราวคราวเดียวกับตัวเก่าของผม (ปีเดียวกัน)

เพียงแต่ว่ามันมี RAM ติดมาให้เพียง 16 MB เทียบกับตัวเก่าของผมที่มี 32 MB – แต่เมื่อเทียบกับราคา 250 บาท และความต้องการใช้คอมพิวเตอร์ของผมอย่างเร่งด่วนแล้ว คุ้มค่า คุ้มค่า (ยิ่งผมเป็นคนไม่ค่อยเล่นเกมคอมด้วยแล้ว ช่วงนี้)

เอากลับมาบ้าน ถอดการ์ดตัวเก่าออก ใส่ตัวใหม่(ที่จริง ๆ เป็นตัวเก่ามาจากร้าน)เข้าไป แล้วเปิดเครื่อง - ปาฏิหาริย์ก็บังเกิด – เครื่องกลับมาใช้งานได้ดีดังเดิม ไม่ต้องแม้กระทั่งลงไดรเวอร์

คอมพิวเตอร์ตัวเก่งฟื้นคืนชีพ แล้วก็เลยได้มานั่งเขียน(พิมพ์)บันทึก (พร้อมกับฟังเพลง) อย่างมีความสุขอยู่อย่างนี้