My Empty World

Thursday, November 17, 2005

บินเดี่ยว (ซะงั้น)

วันนี้เดินทางอีกแล้ว
ด้วยความที่เครื่องออกแปดโมงครึ่ง กระเป๋าเดินทางที่กะว่าจะจัดเอาไว้เมื่อคืนก็เลยถูกผลัดมา(ตาลีตาเหลือก)จัดเอาในตอนเช้า รู้สึกว่าตัวเองเฉื่อย ๆ ลงเรื่อย ๆ

เพิ่งรู้ตัวอีกทีตอนกำลังจะออกจากบ้านว่าเมื่อวานซื้อได้แต่รองเท้า หาเข็มขัดไม่ได้
เลยต้องไปเสี่ยงดวงหาซื้อเอาที่สนามบิน โชคดีว่ามีขายพอดี

ติดเอาหนังสือ finance มาอ่านด้วย ไม่คิดว่าจะมีเวลามานั่งอ่านมากนัก แต่ก็เผื่อไว้ก่อน เผื่อว่ามีเวลา

วันนี้ต้องเดินทางไปกับ เดฟ (โดยคำเรียกร้องของลูกค้าที่อยากให้มีระดับซีเนียร์ขึ้นไปมามีตติ้งด้วยมั่ง QBR กี่ทีต่อกี่ที ก็มีแต่ผม – engineer ต๊อกต๋อยบินมาคนเดียว) แต่จนแล้วจนรอด จนเครื่องออกก็ยังไม่เห็นเดฟเลย

มารู้อีกทีตอนมาถึงสิงคโปร์แล้วเช็คอินเข้าโรงแรม เห็นข้อความที่ซิลเวียฝากไว้ที่เคาน์เตอร์โรงแรมว่า เดฟ ติดธุระอยู่ที่โรงงาน มาด้วยไม่ได้

ฉะนั้น คนที่เข้า QBR meeting พรุ่ง่นี้ก็ยังคงเป็นแก๊งเดิม คือ ซีซี ซิลเวีย แล้วก็ผม

วันนี้เดฟไม่มา ก็ไม่ต้องไปกินข้าวเย็นกับ ซีซี แถมซิลเวียก็หยุดงานวันนี้

ก็เลยได้เดินเตร็ดเตร่ไปเรื่อย ๆ แถวถนน Orchard อากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝนพอสมควร

ตลอดความยาวของถนน orchard มีการแสดงนิทรรศการภาพถ่ายประมาณอยู่ในธีมที่ว่า “มองจากมุมสูง” (จำชื่อของเค้าจริง ๆ ไม่ได้)

เป็นการรวบรวมภาพถ่ายที่ถ่ายจากมุมสูงของที่ต่าง ๆ ทั่วโลก (ย้ำว่าทั่วโลกจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นทะเลทราย ป่าแถวบราซิล ขั้วโลกเหนือ) เป็นภาพที่ดูสวยแบบแปลก ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาพคนงานในไร่กำลังตากพริก ภาพที่อยู่ของคนอินเดียที่ยังเป็นดินผสมน้ำปั้นอยู่ ภาพสามเหลี่ยมปากแม่น้ำ ที่กำลังจะออกสู่ทะเล ภาพนกฟลามิงโก้ ….

รู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ติดเอากล้องถ่ายรูปมา ไม่งั้นคงได้ไล่ถ่ายงานถ่ายของเค้ามาอีกที
แล้วอีกห้านาทีถัดมาก็รู้สึกดีใจที่ไม่ได้ติดเอากล้องถ่ายรูปมา เพราะกำลังเดิน ๆ ดู ๆ อยู่ก็เกิดฝนตกหนัก(มาก) ขึ้นมาทันที ถ้าเอากล้องมาด้วยคงเก็บไม่ทัน เพราะกว่าผมจะเดินหาที่หลบฝนได้ก็เปียกมะล่อกมะแล่ก

แล้วก็บังเอิญที่ที่เข้าไปหลบฝนเป็นร้านหนังสือที่ใหญ่มาก ชื่อร้าน Borders

เป็นที่หลบฝนที่ถูกใจจริง ๆ

ช่วงนี้ ใกล้ ๆ จะสิ้นปี เริ่มมีปฏิทินของปี 2006 มาวางขายแล้ว เป็นเหมือนทั้งโปสการ์ดและ ปฏิทิน สวยจนต้องหยิบขึ้นมาดูชัด ๆ แล้วก็ต้องรีบวางลงไปเมื่อเห็นราคาชัด ๆ อีกเช่นกัน

มีหนังสือสือที่อยากได้เล่มหนึ่งเป็น encyclopedia ของ STARWARS อยากได้มาก ๆ เอามาพลิก ๆ ดูหนังสือเล่มนี้เล่าตั้งแต่ต้นกำเนิดของจักรวาล จุดเริ่มต้นของอัศวินเจไดและพวก ซิธ มาจนถึงepisode ที่เอามาทำเป็นหนัง แล้วก็ภาคต่อจากหนังที่มี Dark Jedi มาอีก

เคลิ้ม ๆ จะซื้ออยู่แล้ว แต่ก็ต้องวางลง (เพราะราคาของมันอีกเช่นกัน)

ถ้าใครเป็นหนอนหนังสือมาที่นี่คงชุ่มฉ่ำ ชุ่มฉ่ำ

เพราะนอกจากจะมีหนังสือเยอะแยะมากมายมหาศาลแล้ว ยังมี เก้าอี้เอาไว้ให้คนเลือกซื้อหนังสือนั่งอ่านพักขาด้วย – แน่นอนว่าเก้าอี้พวกนั้นมันเต็มไม่เหลือที่ให้ผมนั่งหรอก – ยิ่งฝนตกแบบนี้คนยิ่งเยอะ

เดินไปเดินมาอยู่ในนั้นจนฝนซา (เกือบสองชั่วโมง) ค่อยออกมาหาของกิน - ไม่ได้หนังสืออะไรติดออกมาเลย

แม้จะไปสิงคโปร์บ่อย แต่ผมก็ไม่คุ้นเคยกับร้านอาหารแถว ๆนั้นเลย เพราะไปครั้งละแค่วันสองวัน แล้วก็มีคนคอยช่วยพาไปเสมอ ฉนั้นคราวนี้ ง่ายที่สุดคือไปกินร้านฟาสต์ฟู๊ด

เบอร์เกอร์คิง คือคำตอบ

นั่งกินแบบกร่อย ๆ อยู่คนเดียว แล้วก็กลับโรงแรม

อ่านหนังสือ (Finance) ได้อีกหน่อยก็ไม่ไหวซะแล้ว

ง่วงจัง

ง่วง....

Wednesday, November 16, 2005

ลอยกระทง(ก่อนกำหนด)

พรุ่งนี่ต้องไปสิงคโปร์อยู่แล้ว ยังไม่มีความรู้สึกว่าต้องเดินทางไกลเลย
คงเพราะปีหลัง ๆ มานี้เดินทางบ่อย แล้วก็เดินทางอยู่แค่ไม่กี่ประเทศ สิงคโปร์ ฮ่องกง จีน แค่นี้เอง
เมื่อสองปีก่อนยังต้องรวมเอาฟิลิปปินส์ไปด้วย แต่ตั้งแต่ที่เราไม่ได้ทำธุรกิจกับ Saturn - หรือพูดให้ถูกคือ Saturn ถูกซื้อไปโดยบริษัทอื่น - ผมก็ไม่ต้องไปฟิลิปปินส์อีก

ช่วงแรกของการทำงานที่นี่รู้สึกเห่อกับการเดินทางมาก แต่หลัง ๆ มาชักเบื่อกับการเดินทาง โดยเฉพาะคราวนี้เมื่อเหลืออีกไม่กี่วัน (จริง ๆ แล้วคือเก้าวัน) ก็จะต้องสอบมิดเทอมแล้ว

ดีกว่าคราวนี้สอบแค่ตัวเดียว – Financial Management – แต่มันก็เป็นตัวที่หินเหมือนกัน ตอนเรียนตัว introduction เคยรู้สึกชอบ ๆ เหมือนกัน แต่พอมาเรียนตัวจริงเข้า ก็เพิ่งรู้สึกถึงความยากของมันได้

วันนี้กะว่าจะรีบกลับบ้านมาเตรียมจัดกระเป๋า เตรียม presentation package ก็ยังไม่วายตามพวกไอ้ก่อไปลอยกระทงอีกจนได้

แต่วันนี้สมาชิกแก๊งลอยกระทงเหลือแค่ไอ้ก่อ กับแฟนมัน เจี๊ยบ แล้วก็ผม

พวกนั้นกะว่าเลิกงานแล้วมาลงรถตู้ที่กาดพยอมแล้วจะไปกินข้าวแล้วก็ลอยกระทงด้วยกันเลย

แต่ติดที่ผมต้องไปแวะหาซื้อ เข็มขัด (ที่ใส่มาจนสายมันขาดไป – เปื่อย) แล้วก็รองเท้า (ที่ก็ใส่มาซะจนมันอ้าปากหายใจได้แล้ว – สามปีพอดี) มาก่อน ภาพพจน์ของบริษัทที่ลูกค้าเห็นวันมะรืนจะได้ไม่ย่ำแย่เกินไปนัก

สรุปก็เลยให้พวกไอ้ก่อมันไปหาข้าวกินกันก่อน แล้วเราค่อยเจอกันที่วัดตอนสองทุ่ม

เราไปลอยกันที่วัดชัยมงคล จริง ๆ ก็อยู่ใกล้บ้านผมนั่นแหละ แต่ผมก็ไม่เคยไปลอยซักที ไอ้ก่อฝอยไว้เยอะว่ามันมาทุกปี คนน้อย บรรยากาศดี ไม่เสียงดัง

แล้วก็เป็นอย่างที่มันฝอยไว้ ค่อนข้างประทับใจที่ได้มาลอยกระทงที่นี่ คนน้อยอย่างที่ว่าไว้ (อาจจะเป็นเพราะวันนนี้ยังไม่ถึงวันลอยกระทงจริง ๆ ก็ได้) แถมยังไม่เสียงดัง เพราะไม่มีคนเล่นประทัด – ในเขตวัดเค้าคงไม่เล่นกันละมัง

เราซื้อกระทงกันแถว ๆ หน้าวัด แล้วก็พากันไปลอยกันที่บันไดท่าน้ำของวัด ค่ำ ๆ อย่างนี้ก็ยังอุตส่าห์มีคนเอานก เอาเต่ามาขาย(ให้คนเอาไปปล่อย) ไม่รู้ว่าปล่อยไปแล้ว นกมันจะพากันบินกลับมาเกาะกิ่งไม้หลับต่อหรือเปล่า

กระทงของผมต้องใช้ความพยายามผลักและดันพอสมควรมันถึงจะยอมออกจากท่า แถมยังลอยแบบเอียง ๆ จะจมมิจมแหล่ซะอีก แต่ก็ยังพอไปต่อไปได้ – เหมือนชีวิตผมตอนนี้ที่มันยังคงเอียง ๆ เพี้ยน ๆ อยู่

ลอยกระทงเสร็จแล้วเราก็มายืนดูเค้าปล่อยโคม ท่าทางคนแถวนี้มีความชำนาญในการปล่อยโคมมาก เพราะประคองโคมไว้แป๊บเดียวก็ขึ้นแล้ว แถมยังขึ้นเร็วอีกต่างหาก

เพิ่งรู้ว่าเคล็ดลับของมันคือ เราต้องเอาตัวโคมมาแกว่งไปแกว่งมาให้มันมีอากาศเข้าไปขังไว้ข้างในก่อน (ทำเหมือนช้อนปลา) พอเราเอามาอังไฟ อากาศมันจะได้ร้อนไว ๆ

เอาไว้ปีหน้ารับรองไม่พลาดแน่ ๆ ติดใจการมาลอยกระทงที่วัดนี้ซะแล้ว

วันนี้ของปีที่แล้วผมลอยกระทงที่ลำพูน ฝนตกพรำ ๆ กระทงหนึ่งใบแต่มีคนสองคนช่วยกันลอย
วันนี้ของปีนี้ ผมลอยที่เชียงใหม่ กระทงหนึ่งใบ แต่เหลือผมคนเดียว
วันนี้ของปีหน้า ไม่ว่าจะมาลอยเป็นหมู่ ลอยเป็นคู่ หรือว่าลอยเดี่ยว…ผมก็จะมาลอยที่วัดนี้อีกทีครับ

Tuesday, November 15, 2005

ไปปล่อยโคมลอยกันเถอะ....

เมื่อวานนี้รับรู้ข่าวร้าย่ของเพื่อนร่วมรุ่นคนหนึ่ง ถึงไม่สนิทนัก แต่เราก็เห็นหน้ากันบ่อย ๆ ตอนเรียน
เพื่อนคนนี้เธอป่วยเป็นโรคร้ายที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นกับคนอายุขนาดเธอ
วันนี้ผมกับเพื่อน ๆ แวะไปเยี่ยมเธอ ที่โรงพยาบาลมา
ถึงแม้ว่าคนที่ไปเยี่ยมเธอมาแล้วพยายามจะบอกว่าให้เผื่อใจเอาไว้บ้าง เพราะว่าสภาพที่ของเธอมันอาจจะแย่กว่าที่เราคาดเอาไว้
แต่พอมาเห็นเธอเข้าจริง ๆ ก็ถึงกับอึ้ง
เราเข้าไปเยี่ยมกันหลายคน แต่ไม่มีใครพูดอะไรออกซักคน
ยืนนิ่ง ๆ ยิ้มให้ และไม่ได้คุยอะไรกับเธอ ได้แต่บอกว่าให้พยายามต่อไปนะ
เธอพยายามขอบคุณ แต่แค่การพูดขอบคุณก็ดูจะเป็นเรื่องยากสำหรับเธอ เธอหอบ และดูเหนื่อยมาก

แม้ปาฏิหารย์จะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยากยิ่งกว่ายาก แต่ถ้ามันจะมีจริง ผมก็ขอให้มีปาฏิหารย์เกิดขึ้นกับเธอคนนี้

- - - - - - - - - - - - - - - -

เสร็จจากเยี่ยมเพื่อน ผมก็แวะไปเจอพวกไอ้ก่อ นัดกับพวกมันไว้ตั้งแต่เย็นว่าจะไปปล่อยโคมลอยด้วยกัน
พวกมันที่ว่าคือ ไอ้ก่อ แฟนมัน ไอ้กวางกับกับแฟนมัน แล้วก็เจี๊ยบ
มีผมแล้วก็แอน(ติดสอยห้อยตามมาตั้งแต่ตอนไปโรงพยาบาลด้วยกันเมื่อกี๊) ตามไปด้วย

เราไปปล่อยโคมลอยกันที่อ่างแก้ว อากาศยังไม่หนาวมาก ฟ้าใส พระจันทร์ส่องสว่าง ถึงแม้มันจะยังไม่เต็มดวงจริง ๆ ก็ตาม (เราสามารถเห็นบางส่วนที่แหว่ง ๆ ของมันได้อยู่)

ไอ้ก่อไปเหมาโคมลอยมาจากไอ้ตั้ม (ซึ่งก็ไปเหมามาจากคนรู้จักแล้วเอามาแบ่งขายอีกที)มาหกโคม

ที่อ่างแก้วมีคนมาปล่อยโคมลอยและเล่นประทัด จุดพลุกันอยู่ก่อนแล้ว บรรยากาศกำลังดี ไม่หนาว แต่ก็ไม่ถึงกับร้อนเกินไป – คงเพราะอยู่ใกล้น้ำ?

นี่เป็นการปล่อยโคมลอยครั้งแรกของผม เคยเห็นแต่เค้าปล่อย พอมาลองทำเองก็เลยตะกุกตะกัก

โคมลูกแรก ๆ เราค่อย ๆ ปล่อยอย่างระมัดระวัง แต่พอลูกหลัง ๆ เราก็เริ่มมีลูกเล่นโดยการเอาประทัดผูกขึ้นไปแล้วก็ปล่อยให้มันตกลงมา (เอาอย่างคนอื่น ๆ เค้าเล่นกัน)

ปล่อยโคมหมด ประทัดเหลือ เราก็เล่นประทัด

ประทัดหมด เงินเหลือ เราก็ไปซื้อประทัดมาเล่นกันใหม่

เล่นกันจนเกือบสี่ทุ่ม ประทัดหมด เงิน(ที่เอามารวม ๆ กัน)ก็หมด ถึงเวลาควรแก่การกลับบ้านได้ซักที

ติดใจ อยากไปเล่นประทัดอีกซักครั้งแฮะ

Wednesday, November 09, 2005

วันเกิด…แฟนเก่า

วันนี้วันเกิดของเธอ คนที่วันนี้กลายเป็นแฟนเก่า

จะมาลืมหรือจำได้เอาตอนนี้ก็คงไม่มีประโยชน์ เพราะ มันก็ผ่านไปแล้ว นานแล้ว

แต่ถึงสมองจะคิดได้อย่างนี้ – แต่หัวใจ (หรือร่างกาย) มันก็ไม่ยอมทำตามที่คิด

แล้วเมื่อคืนผมก็ยังโทรไป Happy Birth Day เธอเข้าจนได้ โทรไปก่อนวันเกิดจริงหนึ่งวัน เพราะยังไงซะ พอถึงวันเกิดเธอจริง ๆ เธอก็คงไม่ว่างมาคุยกะผมอยู่ดี

ดันโทรไปเอาตอนผมกำลังนั่งรถเมล์กลับบ้าน เสียงดัง ก็เลยต้องตะโกนเอานิดหน่อย ขลุกขลักพอสมควร

จากที่ตั้งใจว่าแต่โทรไปพูดสุขสันต์วันเกิดสองสามคำ สองสามนาที ก็กลายเป็นว่าต้องยืดยาวไปอีกเกือบครึ่งชั่วโมง โดยส่วนใหญ่จะเป็นฝ่ายฟังเธอ บ่นเรื่องงานให้ฟัง – หัวหน้าให้งานเยอะ ผู้ร่วมงานใหม่ก็ดูเหมือนจะเอาเปรียบ ….

ถ้าไม่คิดว่าตอนนี้เราไม่ได้เป็นแฟนกันแล้ว เธอก็ยังเหมือนเดิมทุกอย่าง ยังเป็นคนขี้บ่น และก็ยังคงบ่นง้องแง้ง ๆ งุบงิบๆ พร้อมกับใส่อารมณ์ประกอบตามสไตล์ของเธอไปอย่างนั้น

ความรู้สึกเดิม ๆ ที่ผมอยากทิ้งมันไปก็กลับมาอีกครั้ง อยากปลอบเธอ อยากเอื้อมมือไปขยี้หัวเธอ บอกให้เธอหยุดบ่น

ปัญหามีอยู่แค่สองอย่างคือ หนึ่ง เธอไม่ได้อยู่ใกล้ ๆ และ สอง ผมกับเธอตอนนี้เราไม่ได้เป็นแฟนกันแล้ว

รู้สึกเหงาขึ้นมาทันที – เหงาทั้ง ๆ ที่กำลังคุยอยู่กับคนที่คิดถึงที่สุดอยู่นั่นแหละ – เป็นความรู้สึกที่แย่ทีเดียว

รถเมล์จอด บทสนทนาก็จบ ไม่รู้ว่าเพราะหมดเรื่องคุยพอดี หรือว่าเธอแค่อยากคุยเป็นเพื่อนผมจนกว่าจะลงจากรถเมล์

เอ่ยปากลา บอก happy birth day เธออีกครั้ง

สุขสันต์วันเกิดนะครับ……

Tuesday, November 01, 2005

Flight Plan

เหตุผลที่ทำให้ใครคนนึงต้องไปดูหนังคนเดียว
- เขาไม่มีเพื่อนคบ
- เขามีเพื่อน แต่ เขากับเพื่อนชอบดูหนังคนละแนว
- เขามีเพื่อน แถมเพื่อนของเขาก็ยังชอบดูหนังแนวเดียวกัน แต่เขาก็ยังอยากจะดูคนเดียวอยู่ดี

คำตอบของผมคือข้อสาม บวกกับอารมณ์เรื่อยเปื่อยนิดหน่อย วันนี้เลิกงานแล้ว พวกขิมชวนกันไปกินฮะจิบังราเม็ง ที่โรบินสัน ผมก็ไปกับพวกเขาด้วย มีขิม เจี๊ยบ ไอ้ก่อ กระแตแฟนไอ้ก่อ แล้วก็ผม

ชื่นชอบราเม็งร้านนี้เป็นพิเศษ ไม่มีอะไรมาก เพราะว่าไม่ชอบโออิชิราเม็ง แค่นั้นเอง

กินกันอิ่มแล้ว ทุกคนก็กำลังจะกลับ แต่ด้วยอารมณ์ไหนของผมก็ไม่ทราบได้ สุดท้ายก็ตัดสินใจอยู่ต่อ เพื่อดูหนังคนเดียว มาตัดสินใจเอาปุบปับตอนนี้ก็เลยไม่ค่อยมีหนังให้เลือกเยอะ ซักเท่าไหร่

แต่ก็จ่ายเงินซื้อตั๋วเข้าไปดูรอบสองทุ่มครึ่ง

เป็นหนังเรื่อง Flight Plan นำแสดงโดย โจดี้ ฟอสเตอร์

ภาพของโจดี้ สมัยแสดงเรื่อง Silence of the lamb คงติดตาผมมานานเกินไป พอมาเห็นเจ้าตัวเข้าในหนังเรื่องนี้ ทำให้รู้สึกว่าเธอแก่ไปมาก ซึ่งจริง ๆ ก็ควรจะเป็นเช่นนั้น เพราะมันก็ผ่านมาตั้งสิบกว่าปีแล้ว (หรือถึงยี่สิบบีแล้ว?) – แต่แก่ก็ยังสวยนะครับ

เรื่องมีอยู่ว่า โจดี้ เป็นวิศวกร(หญิง)ออกแบบระบบเครื่องยนต์ของเครื่องบิน (และคงออกแบบเครื่องบินด้วย)ที่เพิ่งสูญเสียสามีไป และ กำลังพาลูกสาวกลับมาแผ่นดินเกิดอเมริกา ซึ่งก็เดินทางด้วยเครื่องบินลำที่เธอออกแบบมากับมือนั่นแหละ

ระหว่างทาง เมื่อเธอเผลอหลับไปด้วยความเหนื่อยจากการเดินทางแล้วตื่นขึ้นมาไม่พบลูกสาวตัวเอง ไม่ว่าจะค้นหาทั้งลำแล้วก็ตาม

ที่สำคัญคือไม่มีใครสักคนบนเครื่องที่บอกว่าเห็นเธอเดินทางมาพร้อมลูกสาว

สถานการณ์กลับกลายเป็นว่าทุกคนมองว่าเธอมีอาการทางจิตเนื่องมาจากการสูญเสียสามีไป - และในบางทีเธอเองก็กำลังคิดเช่นนั้นด้วย.....

หนังดำเนินไปอย่างน่าติดตาม โดยมีโจดี้เป็นศูนย์กลางของเรื่อง แต่เมื่อดูจบแล้ว ก็ให้ตงิด ๆ ถึงความอ่อนของเหตุผลในเนื้อเรื่อง

ข้าง ๆ ที่นั่งของผมเป็นแหม่มตัวกลมสองคนมาดูหนังด้วยกัน ออกอาการลุ้นอย่างมาก เช่นตอนที่นางเอกเอาถังดับเพลิงทุบหัวคนร้าย แหม่มสองคนนี้ก็ตะโกนออกมาว่า ...เยสสส....

ผมได้แต่นั่งเงียบและพยายามไม่ทำให้แหม่มสองคนนี้เค้าเคือง...

เกือบห้าทุ่ม....หนังจบแล้ว ออกมาข้างนอก ฝนตกปรอย ๆ แสงไฟข้างถนนทำให้เห็นเส้นฝนโปรยออกมาเป็นละออง เป็นความสวยไปอีกแบบ

คืนนี้คงหลับสบาย....