My Empty World

Sunday, July 24, 2005

มันคือ "ปัญหา" หรือ "ความไม่สะดวก"?

แปลกที่คนเราทุ่มเทเวลาที่มีค่าทั้งวัน และทุกวันไปทำงานหาเงิน
แล้วก็เอาเงินที่ได้มาเสียไปในการฆ่าเวลาในวันว่างที่ไม่ต้องทำงาน

เหมือนวันศุกร์ที่ผ่านมา....

ผมเพิ่งมีวันว่างจริง ๆ ในรอบสามเดือนที่ผ่านมา วันที่ไม่ต้องทำงาน แล้วก็ไม่ต้องเรียนหนังสือ (รวมถึงอ่านหนังสือ)

สิ่งที่ผมทำในวันว่างอันสุดแสนจะหายากนี้คือการตะลอนไปกับไอ้ก่อ แล้วก็ไปจบลงด้วยการนั่งแช่อยู่ที่ร้านกาแฟทั้งวัน

เป็นร้านกาแฟของเพื่อนรุ่นเดียวกับเจี๊ยบ(เพื่อนก่อ) แล้วก็บังเอิญน้องเจ้าของร้านคนนี้มันก็เป็นลูกพี่ลูกน้องกับไอ้กานต์เพื่อนผม - ก็ร้านมันตั้งอยู่ตรงหน้าบ้านไอ้กานต์นั่นแหละ

ไม่รู้ว่าโลกมันกลม หรือ เชียงใหม่มันแคบ

ร้านตกแต่งแบบเรียบ ๆ แต่น่ารัก จนคนที่เกิดมาจน ๆ อย่างผมอดอิจฉาไม่ได้

สั่งกาแฟมาคนละแก้ว นั่งพลิก ๆ หนังสือ คุยกันด้วยเรื่องเรื่อยเปื่อย - เกี่ยวกับธุรกิจ

กำลังคบคิดแผนการใหญ่จะเปิดร้าน(อะไรซักอย่าง) มีหุ้นส่วนเป็น ผม ไอ้ก่อ ไอ้มุย พี่เอก .. ตอนนี้คิดได้แค่อยากเปิดร้านเช่าการ์ตูน เพราะพวกเราทุกคนเป็นพวกชอบอ่านการ์ตูน - อย่างน้อย ถึงไม่มีลูกค้า เราก็อ่านของเรากันเอง ไม่เน่าไม่เสีย


นับเป็นก้าวแรกของบริษัทชั้นนำของโลกในอนาคต "ชากรุ๊ป" (ชา - เอามาจากชื่อพี่เอก ชาดิต ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่) คิดไว้ว่าเรา “ชากรุ๊ป” - คงเทียบเคียงกับ "ชินคอร์ป" ได้ในไม่นาน

ปัญหามีอยู่เพียงสองข้อคือ ทำเลและเงินทุน (ซึ่งตอนนี้เราไม่มีซักอย่าง)

ก็เลยต้องมานั่งละเลียดกาแฟปรึกษากันไปพลาง ๆ แล้วก็เลยหมดเวลาไปอีกหนึ่งวัน

ช่วงนี้มีน้องที่ทำงานกำลังสับสนกับชีวิต – เกี่ยวกับหน้าที่การงาน
การมาทำงานประจำซ้ำ ๆ กัน เจอปัญหาเรื่องเดิม ๆ ปัญหาจากผู้ร่วมงานที่ดูเหมือนจะแก่แต่อายุ ลักษณะงานน่าเบื่อ ๆ อย่างนี้ ทำให้เกิดความคิดจะหางานใหม่ - ติดด้วยข้อแม้ที่ว่าแฟนมันก็อยู่ที่นี่ ถ้าหางานใหม่ที่อื่น ความสัมพันธ์ก็คงดำเนินไปลำบาก

ความคับข้องใจของมันกลับตอบได้ด้วยคำถามที่ว่า “นี่เป็นปัญหา หรือแค่ความไม่สะดวก?”

เป็นข้อเขียนของ โรเบิร์ต ฟูลกัม ที่มันบังเอิญไปอ่านเจอ แล้วเอามาเล่าให้ผม (ผู้ซึ่งก็เคยอ่านแล้ว แต่ก็ลืมไปแล้ว)ฟัง
ก็เลยต้องกลับมาคิดว่าสิ่งที่เรารู้สึกลำบากที่จะทนในทุก ๆ วันนี้ จริง ๆ แล้วมันเป็น “ปัญหา” หรือ แค่ “ความไม่สะดวก”

อย่างเรื่องของน้องคนนี้ ถือเป็นความไม่สะดวกที่มีผู้ร่วมงานที่ไม่ค่อยจะลงรอยกันเท่าไหร่ แต่ ถ้ามันตกงาน หรือได้รับอุบัติเหคุร้ายแรงต่างหากนี่คือปัญหา – คิดได้อย่างนี้ก็ทำให้มันสบายใจขึ้น(มาอีกหน่อย)

ย้อนกลับมาดูตัวเอง การที่ผมเลิกงานแล้วต้องนัดกับเพื่อนที่เรียนมาเจอกันแล้วทำรายงานกันต่อถึงห้าทุ่มเที่ยงคืน ไม่ค่อยมีเวลาไปไหนมาไหน จริง ๆ แล้วคงเป็นแค่ “ความไม่สะดวก”

การที่วันเสาร์-อาทิตย์ ก็ต้องออกไปเรียน แทนที่จะได้ไปเที่ยวไกลๆ ตามที่คนอื่น ๆ เค้ามาชวน มันก็คงเป็นแค่ “ความไม่สะดวก”

การที่จู่ ๆ ก็คิดถึงเธอ แต่โทรไปหาเธอไม่ได้ เพราะช่วงก่อนในทุกๆครั้งที่ผมโทรไปหาเธอ คุยกันเสร็จผมก็ต้องน้ำตาซึมทุกครั้ง หรืออย่างเลวร้ายที่สุดผมก็โทรไปร้องไห้ให้คนอื่นฟัง – อันนี้จริง ๆ แล้วก็คงเป็นแค่ “ความไม่สะดวก” (ที่จะลืมเธอ)

แล้ว “ปัญหา” มันคืออะไร? – จริง ๆ แล้วมันอาจจะไม่มีปัญหาอะไรเลยก็ได้

จะมีก็แค่ “ความไม่สะดวก” ที่ผมไม่รู้ว่าจะจัดการกับ “ความไม่สะดวก” ทั้งหลายเหล่านี้ยังไงดี......

Sunday, July 17, 2005

ปล่อยวาง

ปล่อยวาง

อยากทำอะไรก็เชิญ ก็เชิญได้เลยตามสบาย
ไม่คิดไม่ฝันว่าจะต้องยอมอะไรมากมาย
เท่ากับวันนี้ที่เธอต้องการมีอีกคน

เธอจะมีใคร ก็ช่างเธอ ฉันคงไม่เกี่ยวกับเธอแล้ว
ทุกวันที่ดีดีที่เรานั้นเคยมีก็คงจะจบลงแค่ในวันนี้

จบแล้ว... รักที่ให้เธอ เหนื่อยล้ามามากพอ
จนยอมต้องปล่อยไป
ถึงเธอดีเพียงใด ฉันคงไม่เข้าไปสนใจ
แม้อยากจะกอดเธอขนาดไหน
แต่ในวันนี้
ฉันคงต้องยอมปล่อยมือที่รั้งเธอออกมาเพื่อกอดตัวเอง
เมื่อเธอไม่สนใจ ฉันคงต้องรักตัวฉันเอง
และปล่อยให้เธอไปไกลจากตรงนี้ อย่างไม่มีวันกลับมา

ปล่อยวางทุกสิ่งจากเธอ เพื่อทำหัวใจให้มันลืม
ลืมวันเวลาที่มันไม่เข้าทีข่มใจให้ลืม
ไม่อยากจะจำวันเวลานั้นอีกแล้ว

เธอจะมีใคร ก็ช่างเธอ ฉันคงไม่เกี่ยวกับเธอแล้ว
ทุกวันที่ดีดีที่เรานั้นเคยมีก็คงจะจบลงแค่ในวันนี้

จบแล้ว... รักที่ให้เธอ เหนื่อยล้ามามากพอ
จนยอมต้องปล่อยไป
ถึงเธอดีเพียงใด ฉันคงไม่เข้าไปสนใจ
แม้อยากจะกอดเธอขนาดไหน
แต่ในวันนี้
ฉันคงต้องยอมปล่อยมือที่รั้งเธอออกมาเพื่อกอดตัวเอง
เมื่อเธอไม่สนใจ ฉันคงต้องรักตัวฉันเอง
และปล่อยให้เธอไปไกลจากตรงนี้ อย่างไม่มีวันกลับมา

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
มีคนส่งเพลงนี้มาให้ (โดยไม่ได้ตั้งใจ)

แต่ปรากฏว่ามันโดนใจผมอย่างมาก ช่วงสองสามวันนี้ก็เลยฟังมันแต่เพลงนี้

ฟังทุกครั้งที่มีเวลาว่าง ตอนพักเที่ยง ตอนนั่งรถตู้มาทำงานตอนเช้า และ ในขากลับ ตอนช่วงเบรกในวันที่เรียนหนังสือ เพลงจบแล้วก็ย้อนมาฟังอีก

“...แม้อยากจะกอดเธอขนาดไหน
แต่ในวันนี้
ฉันคงต้องยอมปล่อยมือที่รั้งเธอออกมาเพื่อกอดตัวเอง
เมื่อเธอไม่สนใจ ฉันคงต้องรักตัวฉันเอง….”

เคยตลกเวลาเห็นเพื่อนผู้หญิงคนนึง (จริง ๆ เป็นเพื่อนของเพื่อน) ตอนอกหัก (เมื่อนานมาแล้ว) เธอจะมีสมุดเล่มเล็ก ๆ คอยเอาไว้จดเนื้อเพลง (เศร้า ๆ) เอาไว้อ่าน – แล้วก็ร้องไห้

พอมาเจอกับตัวเอง ก็เลยเข้าใจ - แต่อธิบายไม่ได้

ได้แต่หวังว่าผมจะ ปล่อยวาง เหมือนอย่างชื่อเพลงได้ไว ไว สักที

Wednesday, July 13, 2005

ฝนตกที่หน้าต่าง

ฝนตกอีกแล้ววันนี้ มันตกมาตั้งแต่เมื่อคืน ต่อมาถึงตอนเช้าตอนผมไปทำงาน แล้วตอนเย็นกลับมาถึงบ้านมันก็ยังคงตกอยู่อีก

ฝนตกเรื่อย ๆ ตกปรอย ๆ เหมือนคนเหนื่อยๆ ที่ยังพยายามทำงานของมันต่อไป

ช่วงนี้รู้สึกเหมือนมีอะไรให้ทำเยอะมาก ในแต่ละวัน แต่กลายเป็นว่าพอมีอะไรให้ทำเยอะ ๆ เข้า ก็เริ่มจัดการตัวเองไม่ถูกว่าจะทำอะไรก่อน อะไรหลัง....ก็เลยกลายเป็นไม่ได้ทำอะไรซักอย่าง

เพิ่งทำรายงานของลูกค้าเสร็จไป ออกไป meeting เสร็จแล้วก็นึกได้ว่าจะต้องส่งรายงานที่เรียนด้วย ระหว่างนั่งเสิร์ชหาข้อมูล ก็ดันไปเจอ software (ฟรี) สำหรับ Palm

แล้วก็ down load มานั่งเล่น จนลืมทำรายงานไปซะได้

คิดแล้วก็อายฝน ถึงมันตกปรอย ๆ มันก็ยังตกของมันไปได้เรื่อย ๆ แต่กับผม เดี๋ยวทำ เดี๋ยวเลิก แล้วก็กลับมาทำอีก กลายเป็นคนสมาธิสั้นขึ้นมาซะอย่างนั้น ไม่รู้จะโทษที่ดินฟ้าอากาศ หรือ อาการหวัดของตัวเอง หรือใครบางคนดี

วันนี้กลับบ้านมา กินข้าว แล้วก็ออกไปข้างนอก เอา CD ที่เช่ามากลับไปคืน ที่ร้าน

ไม่รู้ตัวเลยว่าเช่ามาแล้วเก้าวัน เลยโดนค่าปรับไป 140 บาท (มากกว่าค่าเช่าที่เช่ามาซะอีก) พี่ที่ร้านดูเหมือนจะสงสาร เลยลดให้เหลือ 100 บาท พร้อมกับถามว่าผมไปต่างจังหวัดมาหรือเปล่า ผมก็ได้แต่ยิ้มไปอย่างนั้น

ขากลับแวะจ่ายค่าบัตรเครดิตที่ เซเว่น-อีเลฟเว่น ไปจ่ายช้าอีกตามเคย

ไม่รู้ว่าการที่ใครบางคนเดินจากไป เค้าได้เอาความมั่นใจ ความกระตือรือร้น ความมีชีวิตชีวาของเราไปด้วยรึเปล่า มีน้องที่เรียน MBA ด้วยกันบอกผมว่า ผมดูเป็นคนเครียด และ ฉุนเฉียวง่าย (เหมือนผู้ชายวัยทอง??) – เป็นข้อสังเกตที่ผมเองก็ไม่รู้ตัว (และก็ไม่ค่อยอยากยอมรับเท่าไหร่)

ฝนตกทำให้ผมคิดถึงเธอขึ้นมาอีกแล้ว – อย่างช่วยไม่ได้

การคิดถึงเธอสามารถอธิบายได้โดยใช้สมการแบบอนุกรมแบบเพนดูลัม(แบบกลับหลัง) มันค่อย ๆ แกว่งช้าขึ้น ๆ แต่หนักหน่วงขึ้นเรื่อย ๆ

อยากโทรไปหา ไปบอกเธอว่าคิดถึงเธออยู่ – แต่แล้วจะได้อะไรขึ้นมา?

มีเพื่อนสนิท(ที่มีประสบการณ์เดียวกัน) บอกกับผมว่า “ฮัท ..พยายามลองคิดอย่างนี้นะ..ลองคิดว่าในขณะที่เราคิดถึงเค้าอยู่ทุกวัน ๆ แต่เค้ากลับคิดถึงคนอื่น แล้วก็มีความสุขอยู่กับคนอื่น....ถ้าฮัทคิดอย่างนี้บ่อย ๆ ได้ ก็จะทำใจได้เร็วขึ้น”

ก็พยามคิดให้ได้อย่างนี้อยู่ แต่ผลที่ได้คือ มันปวดหัวใจจัง

Tuesday, July 12, 2005

ขี้เกียจ + โอ้เอ้

กลับมานั่งเขียนบันทึกอีกครั้ง หลังจากที่ขี้เกียจและโอ้เอ้ไปหลายวันจนมีเสียงบ่นมาจากหลายที่

แล้วก็เลยมานั่งนึกว่าผมมานั่งเขียนบันทึกนี่ทำไม เพื่อตัวเอง หรือ เพื่อใคร
คำตอบจริง ๆ เลยก็คือเพื่อตัวเอง ผมยังคงคิดว่าการเขียนบันทึกเป็นการบำบัดทางจิตให้ตัวเองอย่างหนึ่ง แล้วอย่างน้อย การเขียน(พิมพ์)หนังสือมันก็เป็นการจัดลำดับความคิดของตัวเอง (หรือเปล่า) ให้เป็นระบบระเบียบเรียบร้อยยิ่งขึ้น

รู้สึกว่าตัวเองเดี๋ยวนี้ชอบการสื่อสารด้วยการเขียน มากกว่าการพูดซะอีก บางทีการที่เราพูดอะไรออกไปออกไปโดยไม่ทันได้คิด – แล้วสิ่งที่ตามมาบางทีมันก็แย่กว่าที่เราคิดไว้มาก

อย่างน้อยการเขียน เราก็มีโอกาสอ่านสิ่งที่เรากำลังจะสื่อไปถึงอีกฝ่ายก่อน ได้คิดมากกว่า

ก็เลยกลายเป็นพูดน้อยลง แล้วเขียน(อีเมล์ + msn ) มากขึ้น – การสื่อสารยังคงเท่าเดิม เพียงแต่คงเปลี่ยนรูปแบบออกไป

รู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน เผลอแผล่บเดียว ก็ผ่านไป เกือบ ๆ สองอาทิตย์แล้วที่ไม่ได้มาเขียนบันทึก เกือบสองอาทิตย์ที่ผ่านมามีอะไรทำเยอะทีเดียว – เหนื่อยซะจนไม่มีแรงมาเขียน

เมื่อคืนนี้ไปดู FANTASTIC FOUR มา แต่คราวนี้ผมไม่ได้ไปดูคนเดียว มีพวกแก็งค์ โฟโต้เรนเจอร์ไปดูเป็นเพื่อนด้วย - แน่นอนว่าหนังแนว ๆ นี้ไปดูหลายคนย่อมสนุกมากกว่าไปดูคนเดียวอยู่แล้ว

หนังสนุกใช้ได้ เหมือนในการ์ตูนเปี๊ยบ ผิดแค่อลิเซีย ผู้หญิงตาบอด ในหนังเป็นผู้หญิงผิวดำ (ในการ์ตูนเป็นคนผิวขาว) – อย่างไรก็ตาม มันก็ถูกใจแฟนหนัง super hero อย่างผมอยู่แล้ว แต่สิ่งที่อาจจะบั่นทอนความสนุกไปอยู่บ้างคือ อาการหวัดที่เรื้อรังมาตั้งแต่วันศุกร์ ไปร้านขายยา ซื้อยามากินจนหมดแล้วก็ยังไม่ขายดี - เลยแอบไปไอแค่ก ๆ อยู่ในโรงหนังต่อ แพร่พันธ์เชื้อร้ายให้กับแก๊งค์โฟโต้เรนเจอร์ต่อไป

อาการหวัดดูเหมือนจะไม่ได้เกิดกับผมคนเดียว เมื่อวานเจี๊ยบก็ไม่สบาย ไอ้ก่อมีอาการหน่อย ๆ แล้วมันกืถือโอกาสลาเอาวันนี้ซะเลย

ช่วงนี้ไปแวะเวียนแถวพันธ์ทิพย์พลาซ่าบ่อยมาก เพราะมีจุดประสงค์สองอย่าง อย่างแรกคือการ์ดจอของคอมพิวเตอร์ที่บ้านผมตอนนี้มันกำลังเน่าถึงขั้นรุนแรง รุนแรงขนาดที่ไม่สามารถเล่นแผ่น VCD ที่เช่ามาได้แล้ว ภาพกระตุก ติด ๆ ดับ ๆ อย่างน่าอนาถ แล้วสุดท้ายก็มืดไปเลย มีแต่เสียง

ปัญหาคือคอมเครื่องนี้ซื้อมาเมื่อเกือบสี่ปีที่แล้ว เพราะฉะนั้น เมนบอร์ดก็เลยไม่ support การ์ดจอที่มีขายในขณะนี้ (mainboard AGP1X แต่การ์ดจอที่ขาย ๆ กันอยู่ตอนนี้มันอยู่ที่อย่างต่ำก็ AGP4X) - กำลังคิดอยู่ว่าจะต้องซื้อการ์ดจอ เมนบอร์ด กับ ซีพียู ใหม่เพียงเพราะว่าการ์ดจออันเก่ามันเน่ารึเปล่า

ไปเดิน ๆ ดูแถวพันธุ์ทิพย์ก็บังเอิญเจอการ์ดจอมือสอง เป็นรุ่นเดียวกับของผมที่เน่าอยู่ซะด้วย แต่เขาตั้งราคาไว้ที่ห้าร้อยบาท ซึ่งผมคิดว่าแพงเกินไป สำหรับของตกรุ่น(หลายปีแบบนี้) แถมเป็นมือสอง

พยายามต่อรองราคาให้เหลือสามร้อย แต่คนขายไม่ยอม บอกว่า การ์ดมันมีพัดลมด้วยนะ ขายสามร้อยไม่ได้หรอก

ผมบอกว่าไม่เอาพัดลมที่ติดมากับการ์ดก็ได้ (เพราะมีอยู่แล้วที่การ์ดอันเก่า) ลดเหลือสามร้อยได้หรือเปล่า - แต่เจ๊แกก็ยังไม่ยอมลดให้อีก

สุดท้ายก็ไม่ได้อะไรเลย

มีผู้รู้จากแดนไกลแนะนำว่า การ์ด AGP4X ก็น่าจะใช้ได้กับ AGP1X slot บนเมนบอร์ดของผม แต่ผู้รู้ท่านนี้ก็ไม่อยู่ใกล้พอที่จะ test ให้ แต่ก็ยังอุตส่าห์ทิ้งเบอร์(msn) ของผู้รู้อีกท่านไว้ให้ผมสอบถามต่อไป

วันนี้กลับจากทำงานแล้วกำลังจะออกไปแวะเวียนดูของแถวๆ พันธุ์ทิพย์อีก ก็พอดีกับข้าวเสร็จ

ถูกสะกดไว้ด้วยเกาเหลาเลือดหมู กับข้าวสวยร้อนๆ ฝีมือมาม้า มีข้าวโพดอ่อนกับเห็ดผัดน้ำมันหอยด้วย - เลยยังไม่ได้ออกไปซักที

กินข้าวเสร็จแล้ว ว่าจะออกไปพันธุ์ทิพย์อีก ก็มีข้าวเหนียวเปียกลำไย ที่เพิ่งทำเสร็จ ก็เลยจำเป็นต้องอยู่กินต่อ (ด้วยความเต็มใจ) อีกหน่อย

รู้ว่ากินของ มัน ๆ และ หวาน ๆ ตอนกำลังไม่สบายนี่มันไม่ดี แต่ทำไงได้ ของมันอร่อย (และนาน ๆ ทีก็จะได้กิน)

ว่าจะไปอ่านหนังสือต่อ แต่ฤทธิ์ข้าวเหนียวเปียกลำไยก็ทำให้ตาปรือซะแล้ว ใจหนึ่งบอกตัวเองว่าต้องอ่านหนังสือนะ ยังทำรายงานไม่ถึงไหนเลย

แต่อีกใจนึงก็ค้านมาว่า การพักผ่อนเป็นสิ่งที่สำคัญนะ ถ้าพักผ่อนไม่เพียงพอแล้วจะหายจากหวัดได้ยังไง

.....เอาไงดี......