My Empty World

Monday, August 22, 2005

โยกเยกเอย น้ำท่วมเมฆ กระต่ายลอยคอ

อีกหนึ่งอาทิตย์อันแสนยาวนานก็ผ่านพ้นไปได้สักที....
ตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา ดูเหมือนจะมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายเหลือเกิน

เริ่มต้นกันที่น้ำท่วมบ้านผม
เป็นครั้งแรกในรอบสามสิบปี(หรืออาจจะสี่สิบปี - แล้วแต่ที่ใครจะเกิดทัน) ที่น้ำท่วมเชียงใหม่ขนาด บ้านผมที่น้ำไม่เคยท่วมถึงไม่ว่าฝนจะตกหนัก หรือ ตกติดต่อกันนานขนาดไหน อย่างดีมันก็แค่มาปริ่ม ๆ หน้าบ้าน
แต่ในปีนี้ ในวันที่ฟ้าใส อากาศดี ๆ นี่แหละ - ก็มีน้ำท่วมเข้ามาถึงในห้องนอนลึกถึงเข่า

วันอาทิตย์ที่แล้ว วันฟ้าใสที่ผมขับรถออกไปเรียนหนังสือตอนเช้า อย่างปกติ แต่พอเกือบ ๆ สี่โมงเย็น น้องสาวก็โทรมาบอกว่าเลิกเรียนแล้วให้รีบกลับมาบ้าน ช่วยกันเก็บข้าวของหนีน้ำ ผมเงยหน้ามองฟ้า ท้องฟ้าใส ไม่มีอะไรผิดปกติ ไม่น่าที่น้ำจะท่วมได้ แต่ก็รีบขับรถกลับบ้าน

กลับมาเพื่อจะพบว่าถนนแถวบ้าน นองไปด้วยน้ำหมดแล้ว น้ำขึ้นสูงจนผมกลัวว่าเครื่องยนต์มันจะดับไปซะก่อนที่จะถึงบ้าน – แต่สภาพแถวบ้านน้ำก็สูงจนไม่กล้าจะจอดรถ ผมต้องขับเลยไปอีกหน่อยจนถึงที่ดินข้างหมู่บ้านที่เขาถมเอาไว้สูง ๆ – จอดรถ ถอดถุงเท้า รองเท้า พับขากางเกง แล้วก็เดินลุยน้ำกลับเข้ามาที่บ้าน

น้ำเริ่มเข้ามาในบ้านแล้วตอนนั้น แต่ยังอยู่ในระดับตื้น ๆ ไม่เกินตาตุ่ม แต่แค่นี้ก็ทำให้เราตกใจแล้ว เพราะอย่างที่เขียนไว้ข้างบน – น้ำไม่เคยเข้ามาในบ้านเราได้มาก่อนเลย ไม่ว่าจะกี่ปีกี่ปีที่ผ่านมา - แล้วมันก็ทำให้เราได้ใจ ไม่ได้เตรียมถุงทราย เอาไว้มากพอ

ระดับน้ำเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในขณะผมง่วนกับการขนกองหนังสือ (สมบัติอันมีค่า) ที่กองอยู่กับพื้น ไปไว้บนชั้นสูง ๆ แล้วก็วิ่งข้ามไปหน้าบ้านพยายามเรียงถุงทราย หันกลับมาดูอีกที ระดับน้ำก็เลยข้อเท้าขึ้นมาแล้ว

ระหว่างกำลังง่วนเก็บของ ก็มีโทรศัพท์ของเพื่อน ๆ ผม และเพื่อน ๆ พ่อ โทรเข้ามาถามไถ่เรื่องน้ำท่วมบ้าน (ข่าวไปเร็วมาก) น่าตื้นตันมาก แต่การวิ่งรับโทรศัพท์มันก็ทำให้เราเก็บของได้ช้าขึ้น

มีสายหนึ่งมาจากเจี๊ยบ (ยุพราช) โทรมาถามเรื่อง set up computer คุณเจี๊ยบเธอไม่ได้รู้เรื่องราวความเป็นไปของโลกเลย ได้แต่อธิบายเรื่อง set up ให้เจี๊ยบฟังคร่าว ๆ และบอกว่าจะโทรกลับ(หลังน้ำลดแล้ว)

น้ำเข้ามาในบ้านสูงจนจึงระดับปลั๊กไป เราเลยจำเป็นต้องสับคัตเอาท์ลง เพื่อความปลอดภัย เช็คดูแล้ว ในบ้านเหลือเทียนไขไม่มากเท่าไหร่ แล้วด้วยความยุ่ง ๆ ก็เลยหาไฟฉายไม่เจอ ฟ้าก็ครึ้ม ๆ มืด ๆ ลงทุกที

ผมก็เลยต้องเดินลุยน้ำออกจากบ้าน –พร้อมกับร่มอีกหนึ่งคัน เผื่อไว้- ไปหาซื้อเทียนไข ไฟฉาย (และอื่นๆ) เดินออกมา ยิ่งห่างออกจากบ้าน น้ำก็ยิ่งขึ้นสูงขึ้นทุกที จากน่อง เป็นหัวเข่า แล้วก็ถึงเอว เมื่อเดินมาถึงโรงพยาบาลแม่และเด็ก

น้ำไหลแรง และ ข้นเพราะมันหอบเอาเศษดินมาด้วยจนเป็นสีเหลืองนวล (คล้ายชาซีลอนเวลาเราใส่นมเข้าไปเยอะ ๆ) แต่น้ำสีชานมนี้มันไม่น่าพิสมัยเลย เพราะมันทำให้เราเดินไปข้างหน้าด้วยความยากลำบาก (มาก ๆ) ระยะทางไม่กี่ร้อยเมตรต้องใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงในการเดินฝ่าไป

รู้สึกตัวเองเหมือน ซาโตชิ ในการ์ตูนเรื่องผู้รอดตาย มีผู้ร่วมอุดมการณ์ เดินหอบข้าวหอบของลุยฝ่าน้ำ ประปราย

ระหว่าง เดิน ๆ อยู่ รู้สึกเหมือนมีอะไรลื่น ๆ ยาว ๆ ลอดผ่านขาผมไป พยายามปลอบใจตัวเองว่ามันคงเป็นแค่ถุงพลาสติก....

กว่าจะเดินลุยน้ำพ้นน้ำออกมาถึงที่สูงและแห้ง ฟ้าก็มืดแล้ว บรรยากาศที่เชิงสะพานข้ามแม่น้ำแม่ข่าตอนนั้นคล้าย ๆ เป็นกึ่ง ๆ ศูนย์อพยพผู้ลี้ภัย มีคนเข็นมอเตอร์ไซค์หลายคันไปจอดหลบน้ำข้างบนคอสะพาน มีการเปิดไฟสปอร์ตไลท์สีเหลือง ส่องไปทางถนนที่น้ำท่วม มีรถเข็นมาขายของจำพวก ซาลาเปา ไส้กรอกย่าง แล้วก็มีคนมามุงดูน้ำท่วม – รวมถึงมุงดูคนเดินลุยน้ำท่วมอย่างผมเดินออกมา

ได้แต่คิดว่า นี่เรากำลังอยู่ในอำเภอเมืองจังหวัดเชียงใหม่หรือเปล่า?

เดินเลยสะพานไปอีกหน่อย ที่น้ำแห้ง ผมแวะไปเปิดห้องไว้ที่โรงแรมแถวนั้นหนึ่งห้อง กะว่าถ้าน้ำมันยังขึ้นอีกก็จะชวนที่บ้านลุยน้ำออกมานอนที่โรงแรมนี่แหละ

จากนั้นก็แวะซื้อ เทียนไข ไฟแช็ค ไฟฉายพร้อมถ่าน น้ำดื่ม รวมถึงข้าวผัดอีกห้าห่อ (เผื่อไอ้กี้ หมาที่บ้านด้วย)

แล้วก็หอบของเหล่านี้พะรุงพะรัง เดินลุยน้ำกลับมาที่บ้านอีกรอบ ขากลับนี้ไม่ต้องเดินต้านน้ำ ทำให้เดินสะดวกกว่าเดิม แต่ก็เพราะ ข้าวของพี่พะรุงพะรังทำให้เดินลำบากเหมือนเดิม

กลับมาถึงบ้าน ถุงทรายที่มีมากั้นหน้าบ้านไม่ได้ช่วยอะไรเลย น้ำไหลเข้ามาในบ้าน ห้องนอน ห้องน้ำ และ ทุก ๆ ที่ที่มันจะสามารถเข้าไปได้ ตอนนี้ ระดับน้ำในบ้านสูงถึงเข่าแล้ว

เรานั่งที่โต๊ะหน้าหน้าบ้าน เอาไอ้กี้มาผูกไว้กับตั่งไม้ที่น้ำคงจะท่วมไม่ถึง จุดเทียน แล้วก็ล้อมวงกินข้าว นับเป็นมื้อที่โรแมนติกมาก กินข้าวใต้แสงเทียน มีเสียงน้ำไหลคลอมาด้วย และมันจะโรแมนติกยิ่งกว่านี้ถ้าเท้าของเราไม่ได้กำลังแช่น้ำอยู่ – ด้วยความเหนื่อยผมกินข้าวไม่ลง เลยยกให้ไอ้กี้ หมาแก่มันจัดการแทน (น้องสาวมาบอกทีหลังว่าข้าวผัดไม่อร่อยมากถึงมากที่สุด - แต่มันก็กินจนหมด)

ตรวจดูในบ้านจนเรียบร้อยว่าเก็บของไว้เรียบร้อยแล้ว ผมก็ชวน พ่อ น้องสาว และยาย เดินฝ่าน้ำออกไปนอนที่โรงแรมที่จองเอาไว้

ปัญหาคือยายไม่ยอมไปเพราะจะอยู่เฝ้าบ้าน และ เป็นห่วงหมา (อีกอย่างผมลืมนึกไปว่าแกอาจจะฝ่าน้ำท่วมออกไปไม่ไหว)

แต่โรงแรมก็จองไว้แล้ว ก็ได้แต่พาพ่อ กับน้องสาวลุยน้ำออกไปที่โรงแรม แล้วผมก็ย้อนกลับมาที่บ้านนอนเฝ้าบ้านเป็นเพื่อนยายอีกทีนึง

น้ำขึ้นมาปริ่ม ๆ ที่ขอบเตียง แต่ด้วยความเหนื่อยผมก็หลับไปได้ในตอนเกือบตีหนึ่ง

ตื่นมาตอนเช้าเกือบ ๆ หกโมง ก็ลุยน้ำออกไปที่โรงแรมเพื่อที่จะไปอาบน้ำ ระหว่างทางโทรไปหาหัวหน้าเพื่อลางาน – พยายามเดินให้มีเสียงน้ำดังลอดเข้าไปในโทรศัพท์ เป็น sound effect เพื่อยืนยันว่าน้ำท่วมบ้านผมจริง ๆ นะ หัวหน้ามีการถามว่าผมจะทำงานจากที่บ้านได้หรือเปล่า (ปีที่แล้วผมทำอย่างนี้ เพราะน้ำท่วมถนน แต่ไม่เข้าถึงบ้าน) ผมได้แต่บอกไปว่าปีมันแย่ของแย่ที่สุดแล้ว

มาถึงโรงแรมก็เปลี่ยนเวรกับพ่อ พ่อกลับไปดูที่บ้านต่อ ส่วนผมก็อาบน้ำแล้วก็นอนต่อจนเกือบสิบโมงจึงค่อยลงมาเช็คเอาท์แล้วซื้อข้าวกลับเข้าบ้าน

กลับมาถึงบ้านอีกที น้ำก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะลดลง ผมเริ่มเป็นกังวลเพราะจะมีลูกค้ามา audit โรงงานวันพฤหัสนี้แล้ว ยังไม่ได้เตรียมตัวอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย ถ้าพรุ่งนี้ผมยังไปทำงานไม่ได้ มีหวังแย่แน่ ๆ

แต่กังวลไปก็ใช่ที่ ระหว่างไม่มีอะไรทำ ผมก็ออกเดินลุยน้ำสำรวจไปอีกทางของถนน เผื่อจะมีทางไหนที่น้ำท่วมน้อยกว่า แล้วจะได้ลุยน้ำออกไปทำงานวันรุ่งขึ้นได้ (หรือพายายลุยน้ำที่ตื้นๆ ไปหาโรงแรมพักอีกคืนได้) แต่ปรากฏว่าอีกทางที่เหลือน้ำกลับยิ่งท่วมสูงกว่าทางที่ผมไปมาเมื่อคืนนี้ซะอีก คือสูงขึ้นมาถึงท้อง

ระหว่างเดินไปก็เจออะไรแปลก ๆ มีคนไปเอาเรือพาย (มาจากไหนก็ไม่รู้) ออกมาพายเล่น มีเด็ก ๆ นั่งเล่นวักน้ำกันอย่างสนุกสนาน บางคนก็ไปขนเอากะบะผสมปูน(ใหญ่ ๆ) มาทำแทนเรือ จุคนได้สามสี่คน พายออกมาเล่นเหมือนกัน

ที่เด็ดที่สุดก็เห็นจะเป็นเอาอ่างอาบน้ำไฟเบอร์กลาส มาทำเป็นเรือ – คนเราเวลาคับขันก็เอาอะไร ๆ มาประยุกต์ได้ดีเหมือนกัน

บางคนเอาเหล้าออกมาตั้งวงกินกัน เปิดเพลงเต้นประชดน้ำท่วมก็มี

บางคนก็เอากล้องวีดีโอ ออกมาถ่ายบันทึกเหตุการณ์(อันน่าจดจำ?) นี้เอาไว้ก็มี แถมยังมาถ่ายผมติดเอาไปอีกแน่ะ

เดินผ่านแถวบ้านขวัญ(ยุพราช) ก็เลยลองโทรเข้าไปถาม ปรากฏว่าบ้านขวัญก็ไม่รอดเหมือนกัน น้ำท่วม ตอนนี้กำลังเฝ้าเครื่องสูบน้ำอย่างเอาเป็นเอาตาย

กลับมาถึงบ้านเพื่อจะถามว่าคืนนี้ไปนอนที่ไหนกันหรือเปล่า ถ้าน้ำยังไม่ลด แต่ทุกคนลงความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่าคืนนี้จะนอนที่บ้าน แล้วทุกคนก็ลงความเห็นเป็นเอกฉันท์(อีกเช่นกัน) ให้ผมออกไปหาที่นอนข้างนอก (อาศัยบ้านเพื่อนนอน) เพราะว่า น้ำท่วมแล้วที่นอนไม่พอ และ ผมจะได้ขึ้นรถไปทำงานได้สะดวกในวันรุ่งขึ้น

ได้แต่เก็บข้าวของใส่กระเป๋าเป้ แบกร่มอีกหนึ่งคัน(เผื่อฝนตก) แล้วก็เดินลุยน้ำออกมาอีกรอบ

เดินออกมาถึงแถว ๆ คูเมืองด้านใน เหมือนโลกลำเอียง เพราะตรงนี้ถนนแห้ง เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมเดินต่อไปถึงแถว ๆ ดวงกมล โทรบอกไอ้เจมส์ให้มันช่วยขับรถมารับหน่อย แล้วก็โทรหาไอ้ก่อขอไปอาศัยมันนอนคืนนึง

ไอ้เจมส์แวะมารับพร้อมกับไอ้ดุ๊ก พวกมันดูสารรูปผมแล้วก็หัวเราะ บอกว่านี้แหละเครื่องแบบของมนุษย์บ้านน้ำท่วม (ผมใส่เสื้อเชิ้ตผ้าลินินยับ ๆ สีน้ำตาล- ที่แห้งไวมาก กางเกงผ้าสังเคราะห์ขาสั้นสีเดียวกับเสื้อ รองเท้าแตะ สะพายเป้ใบโตไว้ข้างหลัง แถมถือร่มอีกคันหนึ่ง หัวกระเซิง) ดูเผิน ๆ เหมือนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ผิดกันแค่ว่านักท่องเที่ยวเขาไม่ถือร่มแบบผมก็เท่านั้นเอง

ไปนั่งเล่นที่ออฟฟิศ(บูดๆ) ของไอ้เจมส์ทั้งบ่าย คอยโทรกลับไปเช็คสถานการณ์ที่บ้าน และเล่นเนตฆ่าเวลาจนถึงเย็น (เผลอหลับไปด้วย) ไอ้ก่อแวะมารับไปทิ้งไว้ที่หอมัน ให้ผมอาบน้ำ ระหว่างที่มันออกไปหาแฟน

โทรกลับไปถามสถานการณ์ที่บ้านอีกทีตอนสามทุ่ม น้ำลดเป็นปกติแล้ว ตอนนี้กำลังเก็บกวาดกันอยู่ โชคดีไป

เหตุการณ์ของวันน้ำท่วมก็จบลงเท่านี้

(มีเรื่องราวต้องบันทึกอีกเยอะ ... แต่วันนี้เหนื่อย + เมื่อยมือแล้ว)

0 Comments:

Post a Comment

<< Home