ตาสว่าง (แล้วมั้ง)
เมื่อหัวค่ำนี้เอง น้องที่ทำงานคนหนึ่งโทรมาหา
ช่วงนี้มันโทรมาเล่าเรื่องของมันให้ผมฟังบ่อยมาก ส่วนนึงคงเป็นเพราะว่าพวกเพื่อน ๆ (ที่สนิท ๆ)ของมันลงไปทำงานแถว กทม หรือ ระยองกันหมดแล้ว
อีกส่วนคงเป็นเพราะว่ามันเป็นคนลามปามชอบเข้ามาเทียบรุ่นกับผม หรือไม่ก็เป็นเพราะผมที่ยังไม่เป็นผู้ใหญ่ซะที ลดตัวลงไปเฮฮา กับพวกมันอยู่เนือง ๆ
แต่วันนี้มันโทรมาเล่าเรื่องพ่อของมันให้ฟัง – หลังจากที่พาไปตรวจที่พิษณุโลกมาแล้วรอบนึง พามาตรวจที่สวนดอกอีกสองรอบ – ก็ได้ผลออกมาว่า พ่อของมันเป็นมะเร็งที่ต่อมน้ำเหลือง ระยะที่สอง....
ผมฟังแล้วอึ้ง เพราะจากที่มันเล่าให้มันฟังคราวก่อน หมอตรวจแล้วไม่เจออะไร แต่ก็ขอตรวจเพิ่ม – ตอนนั้นผมให้กำลังใจมันไปว่าคงไม่เป็นไร อาจจะไม่มีอะไรก็ได้ ที่พิษณุโลกอาจจะตรวจผิด
แต่ในเมื่อผลมันออกมาเป็นอย่างนี้ ก็ต้องยอมรับผลตรวจไป – แต่ระยะที่สองก็หมายความว่ายังพอรักษาได้ แต่ต้องมารักษาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาอย่างน้อยสี่เดือน นั่นคือสี่เดือนนับจากนี้ มันคงต้องคอยขับรถ ขึ้นลง เชียงใหม่ – อุตรดิตถ์ อาทิตย์ละครั้งเพื่อรับพ่อขึ้นมาตรวจที่สวนดอก
โชคดีที่พ่อมันเป็นข้าราชการ เลยแทบไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรในการรักษา แล้วก็ดูเหมือนว่าพ่อมันจะมีกำลังใจดีมาก
ตอนแรกมันปรึกษาผมว่าลาออกจากงานดีหรือเปล่า จะได้มาดูแลพ่อ
ผมไม่เห็นด้วย เพราะข้อแรก มันจะเอาเงินที่ไหนมาใช้ แล้วอีกข้อคือถ้าลาออกมันจะไม่ยิ่งทำให้พ่อมันกลุ้มใจเรื่องมันรึเปล่า ด้วยงานที่มันทำอยู่ตอนนี้ กับนิสัยของหัวหน้า ผมคิดว่าหัวหน้าของมันน่าจะเข้าใจ ถ้ามันจะต้องลาหยุดบ่อยขึ้นเพื่อไปรับพ่อมาตรวจ - อย่างแย่ที่สุดก็คือขอแลกวันหยุดโดยมาทำงานวันเสาร์เพิ่มอีกวัน
มันก็ได้แต่รำพึงให้ผมฟัง “ชีวิตตอนยี่สิบห้า (เบญเพส) นี่มันวุ่นอย่างนี้กันทุกคนเลยนะพี่….”
ผมฟังแล้วสะอีก...ไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้เอง ผมก็รำพึงรำพัน คล้าย ๆ อย่างนี้กับตัวเอง (และบันทึก) รำพึงรำพัน ด้วยเหตุผลที่ว่าผู้หญิงคนหนึ่งที่ผมรักได้เดินจากไป – แค่นั้นเอง – เรื่องของผมมันเป็นแค่ยิ่งกว่าก้อนขี้เล็บถ้าเอาไปเทียบกับไอ้น้องคนนี้ แค่ลองคิดว่าถ้าผมต้องตกอยู่ในสถานะเดียวกันกับมัน....รู้สึกอายตัวเอง....
เหมือนคลับคล้ายว่าจะตาสว่างขึ้นมาแว่บหนึ่ง – เรากำลังละเลยคนที่รักเรา(อย่างไม่มีวันหมด) ไปโศกเศร้ากับคนที่เค้าไม่ได้รักเรา ???
ก็เลยทดสอบตัวเอง...ด้วยการโทรไปหาเธอซะเลย
คราวนี้ได้คุย คุยด้วยเรื่องเรื่อยเปื่อยราว ๆ ยี่สิบนาที เธอก็ขอตัววางหู – ไม่มีน้ำเสียงอาลัยอาวรณ์ตอนวางหู
แต่พอวางหูแล้ว คราวนี้ผมกับรู้สึกฉย ๆ ไม่ได้เดือดร้อน เป็นทุกข์ ฟูมฟาย เหมือนครั้งก่อน ๆ
ชีวิตนี้มันสั้นนัก มีความสุขกับคนที่รักเราตอนที่ยังมีเวลาดีกว่าไปโหยหาความรักจากคนที่คงจะมอบให้เราได้แต่ความเศร้า...
ผมรู้ว่าผมยังตัดใจจากเธอไม่ได้ บางทีอีกสักสามสี่วัน หนึ่งอาทิตย์ หรือสักพักหลังจากนี้ ผมอาจจะมาฟูมฟายด้วยเรื่องของเธอกับบันทึกนี้อีกครั้ง
แต่ผมทำ book mark ของหน้านี้ไว้เรียบร้อยแล้ว ... แล้วถ้าวันไหนผมฟูมฟายกลับมาด้วยเรื่องนี้อีก ผมก็จะเข้ามาอ่านสิ่งที่ผมเขียนเอาไว้เองอีกครั้ง - และคราวนี้ อาการมันก็คงจะหายไปอย่างรวดเร็ว
ช่วงนี้มันโทรมาเล่าเรื่องของมันให้ผมฟังบ่อยมาก ส่วนนึงคงเป็นเพราะว่าพวกเพื่อน ๆ (ที่สนิท ๆ)ของมันลงไปทำงานแถว กทม หรือ ระยองกันหมดแล้ว
อีกส่วนคงเป็นเพราะว่ามันเป็นคนลามปามชอบเข้ามาเทียบรุ่นกับผม หรือไม่ก็เป็นเพราะผมที่ยังไม่เป็นผู้ใหญ่ซะที ลดตัวลงไปเฮฮา กับพวกมันอยู่เนือง ๆ
แต่วันนี้มันโทรมาเล่าเรื่องพ่อของมันให้ฟัง – หลังจากที่พาไปตรวจที่พิษณุโลกมาแล้วรอบนึง พามาตรวจที่สวนดอกอีกสองรอบ – ก็ได้ผลออกมาว่า พ่อของมันเป็นมะเร็งที่ต่อมน้ำเหลือง ระยะที่สอง....
ผมฟังแล้วอึ้ง เพราะจากที่มันเล่าให้มันฟังคราวก่อน หมอตรวจแล้วไม่เจออะไร แต่ก็ขอตรวจเพิ่ม – ตอนนั้นผมให้กำลังใจมันไปว่าคงไม่เป็นไร อาจจะไม่มีอะไรก็ได้ ที่พิษณุโลกอาจจะตรวจผิด
แต่ในเมื่อผลมันออกมาเป็นอย่างนี้ ก็ต้องยอมรับผลตรวจไป – แต่ระยะที่สองก็หมายความว่ายังพอรักษาได้ แต่ต้องมารักษาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาอย่างน้อยสี่เดือน นั่นคือสี่เดือนนับจากนี้ มันคงต้องคอยขับรถ ขึ้นลง เชียงใหม่ – อุตรดิตถ์ อาทิตย์ละครั้งเพื่อรับพ่อขึ้นมาตรวจที่สวนดอก
โชคดีที่พ่อมันเป็นข้าราชการ เลยแทบไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรในการรักษา แล้วก็ดูเหมือนว่าพ่อมันจะมีกำลังใจดีมาก
ตอนแรกมันปรึกษาผมว่าลาออกจากงานดีหรือเปล่า จะได้มาดูแลพ่อ
ผมไม่เห็นด้วย เพราะข้อแรก มันจะเอาเงินที่ไหนมาใช้ แล้วอีกข้อคือถ้าลาออกมันจะไม่ยิ่งทำให้พ่อมันกลุ้มใจเรื่องมันรึเปล่า ด้วยงานที่มันทำอยู่ตอนนี้ กับนิสัยของหัวหน้า ผมคิดว่าหัวหน้าของมันน่าจะเข้าใจ ถ้ามันจะต้องลาหยุดบ่อยขึ้นเพื่อไปรับพ่อมาตรวจ - อย่างแย่ที่สุดก็คือขอแลกวันหยุดโดยมาทำงานวันเสาร์เพิ่มอีกวัน
มันก็ได้แต่รำพึงให้ผมฟัง “ชีวิตตอนยี่สิบห้า (เบญเพส) นี่มันวุ่นอย่างนี้กันทุกคนเลยนะพี่….”
ผมฟังแล้วสะอีก...ไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้เอง ผมก็รำพึงรำพัน คล้าย ๆ อย่างนี้กับตัวเอง (และบันทึก) รำพึงรำพัน ด้วยเหตุผลที่ว่าผู้หญิงคนหนึ่งที่ผมรักได้เดินจากไป – แค่นั้นเอง – เรื่องของผมมันเป็นแค่ยิ่งกว่าก้อนขี้เล็บถ้าเอาไปเทียบกับไอ้น้องคนนี้ แค่ลองคิดว่าถ้าผมต้องตกอยู่ในสถานะเดียวกันกับมัน....รู้สึกอายตัวเอง....
เหมือนคลับคล้ายว่าจะตาสว่างขึ้นมาแว่บหนึ่ง – เรากำลังละเลยคนที่รักเรา(อย่างไม่มีวันหมด) ไปโศกเศร้ากับคนที่เค้าไม่ได้รักเรา ???
ก็เลยทดสอบตัวเอง...ด้วยการโทรไปหาเธอซะเลย
คราวนี้ได้คุย คุยด้วยเรื่องเรื่อยเปื่อยราว ๆ ยี่สิบนาที เธอก็ขอตัววางหู – ไม่มีน้ำเสียงอาลัยอาวรณ์ตอนวางหู
แต่พอวางหูแล้ว คราวนี้ผมกับรู้สึกฉย ๆ ไม่ได้เดือดร้อน เป็นทุกข์ ฟูมฟาย เหมือนครั้งก่อน ๆ
ชีวิตนี้มันสั้นนัก มีความสุขกับคนที่รักเราตอนที่ยังมีเวลาดีกว่าไปโหยหาความรักจากคนที่คงจะมอบให้เราได้แต่ความเศร้า...
ผมรู้ว่าผมยังตัดใจจากเธอไม่ได้ บางทีอีกสักสามสี่วัน หนึ่งอาทิตย์ หรือสักพักหลังจากนี้ ผมอาจจะมาฟูมฟายด้วยเรื่องของเธอกับบันทึกนี้อีกครั้ง
แต่ผมทำ book mark ของหน้านี้ไว้เรียบร้อยแล้ว ... แล้วถ้าวันไหนผมฟูมฟายกลับมาด้วยเรื่องนี้อีก ผมก็จะเข้ามาอ่านสิ่งที่ผมเขียนเอาไว้เองอีกครั้ง - และคราวนี้ อาการมันก็คงจะหายไปอย่างรวดเร็ว
1 Comments:
At 12:43 AM, AUY ^ ^ said…
อยากตาสว่างแล้วเหมือนกัน
ไม่อยากใช้ชีวิตที่จมปลักแบบนี้
เบื่อเนอะ
ไอ่เรื่องรักๆ ใคร่ๆเนี่ย
Post a Comment
<< Home