My Empty World

Monday, August 08, 2005

วันหยุดอีกหนึ่งวัน

เผลอแผล่บเดียว ก็ผ่านไปอีกแล้วเกือบสองอาทิตย์

อะไร อะไรในช่วงสองอาทิตย์ที่ผ่านมาช่างเกิดขึ้นมากมายเหลือเกิน

อย่างแรก วิชาที่ต้องอาศัยทรัพยากรมากที่สุด (ทรัพยากรที่ว่าคือ เวลา เงินทอง ความคิดสร้างสรรค์ แล้วก็ “ความอดทนต่อแรงกดดันทางอารมณ์” – รึเปล่า) อย่าง ตัว Management & Organization Behavior ก็สิ้นสุดลงไปซะที

เราสอบกันไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว (ด้วยความทรุดโทรม) แล้วก็มาพรีเซนต์โปรเจค (งานกลุ่มกัน) ในอาทิตย์นี้
โปรเจคที่ว่าคืออาจารย์แบ่งกลุ่มให้ แล้วให้ไปสัมภาษณ์ลักษณะเด่นของในแต่ละองค์กร แล้วก็เอามาทำเป็นรายงานพร้อมนำเสนอ

โจทย์ง่าย ๆ อย่างนี้แหละ ที่มันกำกวมซะจนทำให้เราต้องทำงานกันรอบแล้ว รอบเล่า แก้กันแล้วแก้กันอีก เปลี่ยนหัวข้อเรื่อง นัดสัมภาษณ์ใหม่ กว่าจะมาลงเอยกันที่เรื่อง “วัฒนธรรมองค์กรของ เอ ไอ เอส” แม้จะได้คนสัมภาษณ์ที่เค้ายินดีให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ แต่ก็ต้องแก้เค้าโครงเรื่องกันใหม่ ให้เป็น สเต็ป ตามหลักการ อ่านแล้วไม่รู้สึกติด ๆ ขัด ๆ

ไม่น่าเชื่อว่าเรื่องแค่นี้ทำให้พวกเราต้องใช้เวลาตั้งแต่ทุ่มครึ่งถึงเกือบเที่ยงคืน อย่างน้อยสามวันต่อสัปดาห์ ติดต่อกันเป็นเวลาสามอาทิตย์ (หยุดแยกย้ายกันไปอ่านหนังสือสอบหนึ่งอาทิตย์) อะไร ๆ ถึงจะลงตัว สิ่งที่ยากอาจจะไม่ใช่แค่เนื้อหา แต่มันเป็นการที่ทำอย่างไรจะดึงเอาความสนใจของทุกคนในกลุ่มเข้ามาร่วมกัน ร่วมแชร์ไอเดียด้วยกันได้ – โดยเฉพาะเมื่อทุกคนมีฐานะเท่าเทียมกันคือ สมาชิก ไม่มีหัวหน้า และลูกน้อง เราไม่สามารถชี้นิ้วสั่งใครให้ทำอย่างนั้น อย่างนี้ได้ ช่วงแรกอึดอัดใจมากที่ต้องคอยเอาใจให้คนหลาย ๆ คน (รวมทั้งเอาใจตัวเองไม่ให้หลุดว๊าก อะไรออกมา – แต่แน่นอน บางทีมันก็มีหลุด ขอโทษนะครับ พี่ ๆ น้อง ๆ)

แต่สุดท้าย – ชิ้ง – เราก็เข้ากันได้ รายงานเสร็จ ส่งอาจารย์ ไปเมื่ออาทิตย์ก่อน (หนึ่งวันก่อนสอบ) แล้วอาทิตย์ที่ผ่านมาเราก็มาเตรียมพรีเซนเตชั่นกัน และแล้วเมื่อเสาร์ที่ผ่านมาทุกอย่างก็จบลงด้วยดี

เมื่อวานก็เลยเป็นวันหยุด(ที่หาได้ยาก) อีกหนึ่งวัน แล้วผมก็ใช้มันไปกับการนอนอเนกเขนกอ่านนิยายที่ซื้อมาคั่งค้างเอาไว้

Deception Point (แผนลวงสะท้านโลก) ของ แดน บราวน์ นิยายที่อ่านแล้วให้ความรู้สึกเหมือนหนังแอ๊คชั่น (เอาใจตลาด) เรื่องหนึ่ง ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองรึเปล่า แต่มันขาดความ “คลาสสิค” ที่มีอยู่ใน Davinci code หรือ Angels & Demons จังหวะมันลงตัวเกินไป อีกอย่างดูเหมือนว่าเค้าชอบเอาตัวร้าย(จริงๆ ของเรื่อง) มาโผล่ซะตั้งแต่แรก มันเลยทำให้ผมอ่านไป แล้วก็อดจะเอาว่าใครที่เป็นตัวร้าย(จริง ๆ ของเรื่อง) ได้อย่งาไม่ค่อยผิด – แต่ก็อย่างว่า ผมอาจคิดไปเอง – อาจจะคุ้นเคย(และชื่นชอบ) กับสำนวนการแต่งของเขาในนิยายที่มีองค์ประกอบของอะไรที่มันโบราณ ๆ มากกว่าจะชอบการเขียนที่อิงทางเทคโนโลยี

หรือว่าเพราะเราเรียนมาทางสายเทคโนโลยีก็เลยไม่ค่อยรู้สึกตื่นเต้นเท่าไหร่?

อีกเรื่องหนึ่งที่พยายามเอามาอ่านให้จบ ๆ ไปคือเรื่อง แบรนด์ (Brand) นิยายโดยคนไทย นามว่า วิสิทธิ์ โพธิวัฒน์ เป็นเรื่องเกี่ยวกับ องค์กรเกี่ยวกับร่างทรงที่ดูเหมือนว่าจะมีอำนาจเหนือจิตใจของประชาชนในเมืองหนึ่ง (ที่สมมติว่าอยู่ในประเทศไทย) มากขึ้นทุกที ๆ มีการติดป้ายโฆษณาทั่วทุกมุมเมือง จ้างบริษัทโฆษณามาทำโฆษณาออกทีวี จนประมาณกันว่ามีสาวกกันเป็นล้าน ๆ คน ซึ่งจริงๆ แล้วสิ่งที่หนังสือพยายามบอกมาคงจะเป็นเรื่องที่ว่าทุกวันนี้คนเราใช้อะไรในการพิจารณาซื้อของ “ตัวสินค้า” หรือ “แบรนด์”

ตอนจบของหนังสือไม่ได้จบในเชิงวิทยาศาสตร์ (อย่างที่ผมคิดว่ามันน่าจะจบแบบนั้น) มีหักมุมแบบแปลก ๆ แต่โดยรวมก็เป็นหนังสือที่ดี (หรือเพราะช่วงนี้ผมไม่ค่อยได้อ่านนิยายไทย ) ปูทางมาดี กระชับ มาเนิบ ๆ ตอนค่อนเรื่องหลัง แล้วก็เหมือนกับจะเร่งให้จบตอนท้าย ๆ

ดูเหมือนว่าเขา(คนเขียน)จะเป็นคนทำโฆษณามาก่อน ก็เลยคุ้นเคยทฤษฎีด้านนี้ (การทำโฆษณา)

แต่แปลกที่เขามักจะเอาชื่อ “แบรนด์” เข้ามาต่อท้ายสินค้าที่โผล่มาในหนังสือของเขาเสมอ เช่น ถ้าบอกว่านางเอกกำลังสระผมก็ต้องเป็น คลินิก หรือ นางเอกเปิดคอมพิวเตอร์ แอปเปิล อะไรทำนองนั้น - เข้าใจว่าเป็นนโยบายของคนเขียนที่จะเน้นถึงความสำคัญของ “แบรนด์” ต่อคนอ่าน มากกว่าจะเป็นโฆษณาแอบแฝง (แบบปัญญาอ่อน) มาในหนังสือของเขา

อ่านหนังสือเสร็จแล้ว ก็ออกไปเช่าหนังมาดู อีกสองสามเรื่อง ช่วงนี้อยากดูหนังแอ๊คชั่น บู๊ล้างผลาญ ก็เลยได้ Desperado ไอ้ปืนโตทะลักเดือด กับ Kill Bill Volume 1 มา

แอบขำตัวเองนิดหน่อยที่ดู ๆ เรื่อง Kill Bill อยู่แล้วแผ่นก็กระตุก – ต้องบอกตัวเองว่าใช้ CD Drive ยี่ห้อ acer ไม่ใช่ Soken – อ่านได้ทุกแผ่น

เหลือเรื่อง Lawrence of Arabia ที่ยังไม่ได้ดู หนังยาวสี่แผ่น คิดว่าต้องรีบดูให้จบในเร็ววัน เพราะผมชักจะเข็ดกับการจ่ายค่าปรับแพง ๆ ซะแล้วสิ


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


ไม่ได้มาเขียนบันทึกซะนาน ดูเหมือนจะมีเรื่องมาเขียนเยอะซะเหลือเกิน – เผื่อเอาไว้วันหน้า – เรื่องอะไรที่บ่น ๆ เอาไว้วันนี้มันอาจจะเป็นแค่ “สิ่งที่เคยไม่สะดวก” สำหรับผมในวันนั้นก็ได้

เพิ่งนึกถึงเหตุผลที่ไม่ได้มาเขียนบันทึกซะนานอีกข้อหนึ่งได้ก็คือ เนื่องมาจากการ์ดจอที่ออกอาการกระเสาะกระแสะ อ่อนแอมานาน (แต่ผมก็ยังทู่ซี้ใช้มันอยู่ แล้วแก้ปัญหาด้วยการ รีสตาร์ท) มันได้เวลาลาจากโลกไปซะที อย่างเป็นทางการ ส่งผลให้คอมของผมไม่สามารถเปิดใช้งานได้ เปิดเครื่องมามีโลโก้วินโดวส์ แล้วก็ค้างไว้อย่างนั้น

ด้วยความที่ยุ่ง ๆ กับเรื่องรายงาน เรื่องสอบ (และแน่นอนเรื่องงานที่ทำงาน) ผมก็เลยไม่ได้ทำอะไรกับมัน ปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้นเป็นอาทิตย์ จนสอบเสร็จค่อยมีเวลาไปเดินตระเวนหาการ์ด ตัวใหม่มา

อย่างที่เคยบันทึกไปในวันก่อน ๆ ว่ามีผู้รู้ แนะนำว่า การ์ด AGP4x ก็สามารถนำมาใส่ที่ slot AGP1X (บูด ๆ) ของผมได้เหมือนกัน

แต่ก็มีผู้รู้(อีกท่าน)แถวร้านคอมบอกว่าเดี๋ยวนี้การ์ดจอรุ่นที่ขาย ๆ กันอยู่ส่วนใหญ่จะเป็น AGP8X หมดแล้ว ซึ่งมันก็ใช้กับ เมนบอร์ดของผมไม่ได้อีก

ทางเลือกสุดท้ายคือต้องไปเดินหาการ์ดจอมือสอง (ที่เค้าเอามาแยกขาย) – บังเอิญไปเจอการ์ดมือสองรุ่นราวคราวเดียวกับตัวเก่าของผม (ปีเดียวกัน)

เพียงแต่ว่ามันมี RAM ติดมาให้เพียง 16 MB เทียบกับตัวเก่าของผมที่มี 32 MB – แต่เมื่อเทียบกับราคา 250 บาท และความต้องการใช้คอมพิวเตอร์ของผมอย่างเร่งด่วนแล้ว คุ้มค่า คุ้มค่า (ยิ่งผมเป็นคนไม่ค่อยเล่นเกมคอมด้วยแล้ว ช่วงนี้)

เอากลับมาบ้าน ถอดการ์ดตัวเก่าออก ใส่ตัวใหม่(ที่จริง ๆ เป็นตัวเก่ามาจากร้าน)เข้าไป แล้วเปิดเครื่อง - ปาฏิหาริย์ก็บังเกิด – เครื่องกลับมาใช้งานได้ดีดังเดิม ไม่ต้องแม้กระทั่งลงไดรเวอร์

คอมพิวเตอร์ตัวเก่งฟื้นคืนชีพ แล้วก็เลยได้มานั่งเขียน(พิมพ์)บันทึก (พร้อมกับฟังเพลง) อย่างมีความสุขอยู่อย่างนี้

0 Comments:

Post a Comment

<< Home