My Empty World

Tuesday, June 21, 2005

โปสการ์ดใบน้อย

ช่วงนี้รู้สึกตัวเองว่าเหลวไหลเกเรที่ไม่ได้มาเขียนบันทึกเสียหลายวัน

จะว่าขี้เกียจก็ไม่เชิง แต่คงเป็นเพราะว่ามีอะไรหลาย ๆ อย่างให้ทำในแต่ละวันมากกว่า พอกลับมาบ้าน อาบน้ำหัวถึงหมอนก็นอนหลับไปเลย กิจกรรมในแต่ละวันทำให้หมดพลังไปอย่างง่ายดาย

แต่ก็นั่นแหละ สิ่งที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน ทั้งดีและร้าย มันน่าเสียดายที่จะผ่านมันไปโดยไม่เหลืออะไรไว้ให้จดจำ

วันอาทิตย์ที่ผ่านมา พี่อู๋ – ตัวแทนประกันชีวิตของผม - เธอชวนไปช่วยจัดรายการวิทยุตอนกลางคืน อันที่จริงคืออยากนัดเจอกันมากว่า มาทบทวนกรมธรรพ์ เพราะต่างคนต่างยุ่ง ๆ อยู่ไม่ค่อยได้เจอกันนานแล้ว จำได้ว่านัดเจอพี่อู๋แกคราวก่อนก็คือช่วงปลาย ๆ ของปีที่แล้ว เป็นช่วงที่ผมกำลังมีความสุขกับทุก ๆ อย่างในชีวิต สนุกกับงาน มีคนรักอยู่เคียงข้าง เริ่มวางแผนเก็บเงินเก็บทองอย่างจริงจัง ก็ปรึกษาแกเรื่องเก็บเงินไปคราวที่แล้ว

มาเจอกันคราวนี้ สถานการณ์เปลี่ยนไป ผมล่องลอยพอสมควรเวลาพูดคุยกับแกเรื่องอนาคต แต่อย่างน้อย แกก็ช่วยย้ำคำพูดที่ว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมดีเสมอ” พี่อู๋ทิ้งท้ายเอาไว้ว่าแล้วจะเอาหนังสือ(ที่ชื่อเรื่องนี้)มาให้ยืม

ก่อนจาก พี่อู๋ทิ้งท้ายว่าผมหน้าตาสดใส (เกินกว่าจะเหมือนคนที่เพิ่งอกหัก) ดูดีขึ้น - ถ้าพี่อู๋จะสาวกว่านี้สักห้าหกปีผมคงดีใจกว่านี้ แต่ก็ขอบคุณครับ

เมื่อวานเลิกงานแล้ว มาลงรถตู้ที่ โรบินสันแอร์พอร์ตพลาซ่า แล้วก็แวะเข้าไปกินข้าว – ดูหนัง – คนเดียว

กลับสู่สภาพที่คุ้นเคย ในการที่ต้องทำอะไร ๆ คนเดียว อาจจะรู้สึกไม่คุ้นเพราะความเคยชิน แต่อีกสักหน่อย การทำอะไร ๆ คนเดียว มันก็คงจะกลับมาเป็นความเคยชินของผมอีกเหมือนกัน ถึงตอนนั้น การไปไหนเป็นคู่กับใครก็คงเป็นของไม่ชินกับผมก็ได้

แวะเข้าไปดูหนัง –แบทแมนบีกินส์- หนังแบทแมนภาคที่ห้า แต่เนื้อหากลับย้อนไปถึงกำเนิดและที่มาของแบทแมน

ตัวหนังดูเครียดเล็กน้อย - เพื่อสี่อถึงที่มา และ แรงกดดัน(หรือบันดาลใจ) ในการมาเป็นแบทแมน เจ้าชายแห่งรัตติกาล ของ บรูซ เวย์น ตัวหนังดูแตกต่างไปจากแบทแมนภาคก่อน ๆ เพราะออกจะ Realistic มากกว่าภาคก่อน ๆ ดูไม่แฟนตาซีเหมือนกับงานที่กำกับโดย ทิม เบอร์ตัน หรือ โจเอล ชูมัคเกอร์

แน่นอนว่าหนังจบแบบทิ้งปมต่อเอาไว้ทำภาคต่ออีกแน่นอนโดยกล่าวถึงตัวละครสำคัญที่ยังไม่ปรากฏ...

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
ฝนตกอีกแล้ววันนี้

มันมักจะเลือกตกตอนเวลาเราออกจากบ้าน หรือ เวลากำลังจะกลับเข้าบ้าน

เสียงฝนตกตอนเช้าดังเป็นจังหวะคลอตอนตอนนั่งบนรถตู้ตอนไปทำงานทำให้เราหลับต่ออย่างสบายอารมณ์แล้วก็เสียอารมณ์เพราะไม่อยากตื่นตอนรถมาถึงที่ทำงาน

แต่ฝนตกตอนเย็นมักจะให้อารมณ์ที่แปลกไป ฝนปรอย ๆ เหมือนมีม่านบาง ๆ กั้นมัว ๆ มันทำให้เราอยากรู้อยากมองออกไปข้างนอก โดยเฉพาะวันไหนที่พี่คนขับรถเลือกใช้ถนนเส้นที่ขนานทางรถไฟจากลำพูนมาเชียงใหม่ มันเป็นถนนลาดยางตัดใหม่เส้นเล็กพอสวนกันได้สองเลน ที่ฝั่งซ้ายเป็นรางรถไฟส่วนฝั่งขวาเป็นกอหญ้าเขียว ๆ มีบ้านคนอยู่ประปราย

ฝนปรอย ๆ บนพื้นถนนดำ ๆ ตัดกับสีต้นหญ้าเขียวสดชุ่มน้ำ มันทำให้การเดินทางกลับบ้านดูเหมือนเป็นการไปเที่ยว

เป็นถนนอีกสายที่ดูสวยในวันที่ฝนตก และ ผมไม่ต้องขับรถเอง

วันนี้กลับบ้านมาเจอ โปสการ์ดใบน้อย นอนยิ้มรออยู่ที่บ้าน

มันร่อนมาจากน้องสาวคนนึงที่คุยกันทาง msn แทบทุกวัน แต่ก็ยังอุตส่าห์ ส่งมาหาตามคำพูด(ที่เขียนเอาไว้) ดูจากเวลาทีเขียนลงในโปสการ์ด ห้าทุ่มกว่า ๆ คืนวันอาทิตย์ ผมยังคงนอนอ่านหนังสืออยู่ - สาส์นจากวารี - เป็นหนังสือที่ยืมน้องสาวคนนี้มาอีกเช่นกัน

จำไม่ได้แล้วว่าส่งจดหมาย(ที่เป็นจดหมายจริง ๆ แบบที่ต้องหย่อนลงในช่องที่ตู้ไปรษณีย์) ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ อาจจะตั้งแต่อีเมล์ เริ่มมามีอิทธิพล ต่อผมและคนรอบข้าง แล้วเราก็ลืมการเขียนข้อความดี ๆ ลงในกระดาษใบสวย บรรจงพับ หย่อนใส่ซอง ปิดแสตมป์ หย่อนที่ตู้ไปรษณีย์ ลงไปเลย

เกิดอยากส่งจดหมาย(จริง ๆ )ขึ้นมาบ้างแล้ว แต่กลางดึกอย่างนี้จะทำอย่างไรได้?

0 Comments:

Post a Comment

<< Home