เรื่องเก่า ๆ
วันนี้ผมโทรไปหาเธอ
พยายามโทรไปหาด้วยข้ออ้างจากเมื่อหลายวันก่อน
พี่หน่อย พี่ซึ่งเคยอยู่แผนกเดียวกันกับเธอตอนที่เธอทำงานอยู่ที่นี่ เข้ามาถามผม(ทาง msn) ว่าตอนนี้เธอเปลี่ยนเบอร์มือถือหรือเปล่า เพราะพี่แกเคยโทรไปหาแล้วติดต่อกับเธอไม่ได้
ผมบอกว่าใช่ พี่หน่อยเลยขอเบอร์โทรของเธอจากผม
ยังไงดี ตอนนี้ผมไม่อยู่ในฐานะที่จะเที่ยวยกเบอร์โทรของเธอให้กับใครได้ ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกันมากไปกว่าว่าเราเป็นแค่เพื่อนกัน (ซึ่งผมเองก็ยังคาใจในความหมายของคำว่า “เพื่อนกัน” ของเธอ) แต่ไอ้การที่จะบอกพี่หน่อยไปว่าตอนนี้เราเลิกกันแล้ว และให้พี่หน่อยไปหาเบอร์โทรของเธอเอาเอง มันก็ดูจะยิ่งลำบากสำหรับผม รู้ว่าเราเลิกกัน แต่มันก็ไม่สนุกที่จะไปบอกใครต่อใคร รู้ว่าไม่มีสิทธิ์ แต่ลึก ๆ มันก็ยังไม่ยอมรับความจริงอยู่ดี
วันก่อนผมเลยเมล์หาเธอ ไปถามเธอ บอกเธอว่าพี่หน่อยขอเบอร์ของเธอ ให้ได้หรือเปล่า
เงียบ ไม่มีคำตอบจากเธอ มาเป็นเวลาสองวัน
วันนี้ผมเลยโทรไปหาเธอ โทรไปที่ทำงาน ใช้พี่หน่อยเป็นข้ออ้าง
เธอรับสาย
ไต่ถามสารทุกข์กันเล็กน้อย ผมถามเธอเรื่องเมล์ที่ส่งไป เธอบอกว่าเธอตอบกลับมาแล้วตั้งแต่วันที่ผมส่งไป งงเหมือนกันที่จนป่านนี้ผมก็ยังไม่ได้รับ
น้ำเสียงเธอยังเหมือนเดิม แต่สิ่งที่รับรู้ได้คือ สรรพนามที่เธอเรียกผมมันเปลี่ยนไป
เธอเรียกผมว่า “เธอ” ทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนเธอก็เรียกชื่อผมตรง ๆ “ก็ส่งเมล์กลับไปหาเธอตั้งแต่วันนั้นแล้วแหละ ยังไม่ได้อีกเหรอ? แปลกเนอะ…..”
สถานภาพเปลี่ยนไป คำที่ใช้เรียกก็เปลี่ยนไปด้วย….ไม่อยากถามเธอถึงเรื่องที่คาใจอย่างนี้
อยากทำตัวเป็นคนดี อยากเป็นเพื่อนที่ดีกับเธอ อยากหยุดคิดกับเธออย่างคนรักเสียที ปกติคนเราใช้เวลาเท่าไหร่ในการเลิกรักใครสักคน? หนึ่งเดือน สามเดือน หนึ่งปี สิบปี หรือ ตลอดชีวิต?
สักวันผมคงรู้คำตอบนี้
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
ตอนนี้มีข่าวรับน้องออกมาเยอะมาก ส่วนใหญ่แล้วจะออกมาในทางที่ไม่ดี
คิดถึงสมัยตอนเรียนปริญญาตรี ตอนถูกรับน้องปีหนึ่ง ช่วยดูแล(และแกล้ง)น้องตอนอยู่ปีสอง ไป(แอบ)ว๊ากน้องตอนอยู่ปีสามและปีสี่ เป็นชีวิตสี่ปีที่มีค่าที่สุดช่วงหนึ่งทีเดียว ถึงเราจะถูกรับน้องอย่างค่อนข้างเข้มงวด(และทารุณ) แต่ก็ตั้งอยู่บนหลักการ
ใครจะว่าอย่างไร อย่างน้อยก็มีผมคนนึงที่ดีใจ ที่ผ่านการรับน้องมาได้
เคยคิดกันกับกิ่งว่าจะเขียนหนังสือออกมาสักเล่ม อาจจะเป็นตอน ๆ สั้น ๆ จบในตอน เขียนถึงชีวิตสมัยเรียนวิศวะมอชอ กิ่งถึงกับคิดชื่อเรื่องเอาไว้แล้วด้วย
“เลือดหมูในรั้วม่วง” เป็นชื่อของมัน เท่ดี ผมคิดว่างั้น
คุยกันไว้ตั้งแต่ตอนใกล้ ๆ เรียนจบ จนป่านนี้กิ่งกำลังจะจบปอโท(นิด้า) และผมกำลังเรียนปอโท(มอชอ) แต่เราก็ยังไม่เขียนอะไรกันเป็นจริงเป็นจังสักที
กิ่งมันอาจจะเขียนเอาไว้แล้วแต่ไม่ยอมให้ผมอ่าน เอาไว้เจอกันใน msn จะลองถามอีกที ถ้ากิ่งยังไม่เขียนอะไรผมจะยืมชื่อเรื่องเอามาเขียนเองแล้วกัน
กลัวแต่ว่าถ้ากิ่งมันให้ยืมจริง ๆ ผมก็จะเอามาดอง และก็ยังไม่เขียนอะไรอีกอยู่ดี
แล้วก็คิดไปถึงหนังสือ “เหมืองแร่” ของคุณอาจินต์ ปัญจพรรค์ อีกที
ผมรู้สึกว่าแกคุ้มมาก คือเอาชีวิตวัยหนุ่มไปทิ้งในเหมืองแร่ที่ห่างไกลความเจริญ ห่างไกลแสงสี เสียสี่ปีเต็มๆ
แต่แกก็เอาสี่ปีนั้นมาเขียนเป็นหนังสือขายได้อีกตลอดสามสิบปีต่อมา พิมพ์รวมเล่มขายอีกหลายรอบ - ได้ตำแหน่งศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ แถมเรื่องยังได้ค่าลิขสิทธิ์ เมื่อเอามาทำเป็นหนังอีกต่างหาก
อย่างนี้เรียกว่าคุ้มหรือเปล่า ต้องแล้วแต่คนจะคิด
แล้วสี่ปี(กับอีกหนึ่งซัมเมอร์) ในวิศวะมอชอของผม จะเอามาเขียนเป็นอะไรได้บ้าง?
คำตอบก็คือ เยอะแยะ วีรกรรมการขโมยหลอดไฟข้างทางของผมกับไอ้เป็ดเอามา draft drawing ตอนเรียน drawing ตัวที่สาม
พฤติกรรมแปลกประหลาดของ กอล์ฟรันเนอร์ที่โด่งดังไปถึงหลายคณะ
เรื่องของพี่เสือ หมาประจำคณะที่มักจะสับสนวิ่งตามผิด ๆ ถูก ๆ ระหว่างคณะวิศวะกับคณะเกษตร
เรื่องของมิงค์จอมยุทธ ที่วิ่งจากลำปางมาเชียงใหม่แค่เพราะสงสัยว่ามันไกลแค่ไหน
เรื่องของไอ้มะที่เมาแล้วของขึ้น ผีเข้า วิ่งลงทะเลตอนไปดูงานปีสาม จนได้ฉายาว่าไอ้มะ คนผีทะเล
ความรักมาราธอนของไอ้กานที่ทำให้มันยังไม่กลับจากญี่ปุ่นจนป่านนี้
……………………….
ไม่ต้องเอารูปออกมาดู แค่หลับตานึกถึง ภาพเหล่านี้มันก็ออกมาวนเวียนให้ผมได้อมยิ้มทุกครั้งไป
พยายามโทรไปหาด้วยข้ออ้างจากเมื่อหลายวันก่อน
พี่หน่อย พี่ซึ่งเคยอยู่แผนกเดียวกันกับเธอตอนที่เธอทำงานอยู่ที่นี่ เข้ามาถามผม(ทาง msn) ว่าตอนนี้เธอเปลี่ยนเบอร์มือถือหรือเปล่า เพราะพี่แกเคยโทรไปหาแล้วติดต่อกับเธอไม่ได้
ผมบอกว่าใช่ พี่หน่อยเลยขอเบอร์โทรของเธอจากผม
ยังไงดี ตอนนี้ผมไม่อยู่ในฐานะที่จะเที่ยวยกเบอร์โทรของเธอให้กับใครได้ ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกันมากไปกว่าว่าเราเป็นแค่เพื่อนกัน (ซึ่งผมเองก็ยังคาใจในความหมายของคำว่า “เพื่อนกัน” ของเธอ) แต่ไอ้การที่จะบอกพี่หน่อยไปว่าตอนนี้เราเลิกกันแล้ว และให้พี่หน่อยไปหาเบอร์โทรของเธอเอาเอง มันก็ดูจะยิ่งลำบากสำหรับผม รู้ว่าเราเลิกกัน แต่มันก็ไม่สนุกที่จะไปบอกใครต่อใคร รู้ว่าไม่มีสิทธิ์ แต่ลึก ๆ มันก็ยังไม่ยอมรับความจริงอยู่ดี
วันก่อนผมเลยเมล์หาเธอ ไปถามเธอ บอกเธอว่าพี่หน่อยขอเบอร์ของเธอ ให้ได้หรือเปล่า
เงียบ ไม่มีคำตอบจากเธอ มาเป็นเวลาสองวัน
วันนี้ผมเลยโทรไปหาเธอ โทรไปที่ทำงาน ใช้พี่หน่อยเป็นข้ออ้าง
เธอรับสาย
ไต่ถามสารทุกข์กันเล็กน้อย ผมถามเธอเรื่องเมล์ที่ส่งไป เธอบอกว่าเธอตอบกลับมาแล้วตั้งแต่วันที่ผมส่งไป งงเหมือนกันที่จนป่านนี้ผมก็ยังไม่ได้รับ
น้ำเสียงเธอยังเหมือนเดิม แต่สิ่งที่รับรู้ได้คือ สรรพนามที่เธอเรียกผมมันเปลี่ยนไป
เธอเรียกผมว่า “เธอ” ทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนเธอก็เรียกชื่อผมตรง ๆ “ก็ส่งเมล์กลับไปหาเธอตั้งแต่วันนั้นแล้วแหละ ยังไม่ได้อีกเหรอ? แปลกเนอะ…..”
สถานภาพเปลี่ยนไป คำที่ใช้เรียกก็เปลี่ยนไปด้วย….ไม่อยากถามเธอถึงเรื่องที่คาใจอย่างนี้
อยากทำตัวเป็นคนดี อยากเป็นเพื่อนที่ดีกับเธอ อยากหยุดคิดกับเธออย่างคนรักเสียที ปกติคนเราใช้เวลาเท่าไหร่ในการเลิกรักใครสักคน? หนึ่งเดือน สามเดือน หนึ่งปี สิบปี หรือ ตลอดชีวิต?
สักวันผมคงรู้คำตอบนี้
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
ตอนนี้มีข่าวรับน้องออกมาเยอะมาก ส่วนใหญ่แล้วจะออกมาในทางที่ไม่ดี
คิดถึงสมัยตอนเรียนปริญญาตรี ตอนถูกรับน้องปีหนึ่ง ช่วยดูแล(และแกล้ง)น้องตอนอยู่ปีสอง ไป(แอบ)ว๊ากน้องตอนอยู่ปีสามและปีสี่ เป็นชีวิตสี่ปีที่มีค่าที่สุดช่วงหนึ่งทีเดียว ถึงเราจะถูกรับน้องอย่างค่อนข้างเข้มงวด(และทารุณ) แต่ก็ตั้งอยู่บนหลักการ
ใครจะว่าอย่างไร อย่างน้อยก็มีผมคนนึงที่ดีใจ ที่ผ่านการรับน้องมาได้
เคยคิดกันกับกิ่งว่าจะเขียนหนังสือออกมาสักเล่ม อาจจะเป็นตอน ๆ สั้น ๆ จบในตอน เขียนถึงชีวิตสมัยเรียนวิศวะมอชอ กิ่งถึงกับคิดชื่อเรื่องเอาไว้แล้วด้วย
“เลือดหมูในรั้วม่วง” เป็นชื่อของมัน เท่ดี ผมคิดว่างั้น
คุยกันไว้ตั้งแต่ตอนใกล้ ๆ เรียนจบ จนป่านนี้กิ่งกำลังจะจบปอโท(นิด้า) และผมกำลังเรียนปอโท(มอชอ) แต่เราก็ยังไม่เขียนอะไรกันเป็นจริงเป็นจังสักที
กิ่งมันอาจจะเขียนเอาไว้แล้วแต่ไม่ยอมให้ผมอ่าน เอาไว้เจอกันใน msn จะลองถามอีกที ถ้ากิ่งยังไม่เขียนอะไรผมจะยืมชื่อเรื่องเอามาเขียนเองแล้วกัน
กลัวแต่ว่าถ้ากิ่งมันให้ยืมจริง ๆ ผมก็จะเอามาดอง และก็ยังไม่เขียนอะไรอีกอยู่ดี
แล้วก็คิดไปถึงหนังสือ “เหมืองแร่” ของคุณอาจินต์ ปัญจพรรค์ อีกที
ผมรู้สึกว่าแกคุ้มมาก คือเอาชีวิตวัยหนุ่มไปทิ้งในเหมืองแร่ที่ห่างไกลความเจริญ ห่างไกลแสงสี เสียสี่ปีเต็มๆ
แต่แกก็เอาสี่ปีนั้นมาเขียนเป็นหนังสือขายได้อีกตลอดสามสิบปีต่อมา พิมพ์รวมเล่มขายอีกหลายรอบ - ได้ตำแหน่งศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ แถมเรื่องยังได้ค่าลิขสิทธิ์ เมื่อเอามาทำเป็นหนังอีกต่างหาก
อย่างนี้เรียกว่าคุ้มหรือเปล่า ต้องแล้วแต่คนจะคิด
แล้วสี่ปี(กับอีกหนึ่งซัมเมอร์) ในวิศวะมอชอของผม จะเอามาเขียนเป็นอะไรได้บ้าง?
คำตอบก็คือ เยอะแยะ วีรกรรมการขโมยหลอดไฟข้างทางของผมกับไอ้เป็ดเอามา draft drawing ตอนเรียน drawing ตัวที่สาม
พฤติกรรมแปลกประหลาดของ กอล์ฟรันเนอร์ที่โด่งดังไปถึงหลายคณะ
เรื่องของพี่เสือ หมาประจำคณะที่มักจะสับสนวิ่งตามผิด ๆ ถูก ๆ ระหว่างคณะวิศวะกับคณะเกษตร
เรื่องของมิงค์จอมยุทธ ที่วิ่งจากลำปางมาเชียงใหม่แค่เพราะสงสัยว่ามันไกลแค่ไหน
เรื่องของไอ้มะที่เมาแล้วของขึ้น ผีเข้า วิ่งลงทะเลตอนไปดูงานปีสาม จนได้ฉายาว่าไอ้มะ คนผีทะเล
ความรักมาราธอนของไอ้กานที่ทำให้มันยังไม่กลับจากญี่ปุ่นจนป่านนี้
……………………….
ไม่ต้องเอารูปออกมาดู แค่หลับตานึกถึง ภาพเหล่านี้มันก็ออกมาวนเวียนให้ผมได้อมยิ้มทุกครั้งไป
0 Comments:
Post a Comment
<< Home