My Empty World

Thursday, June 16, 2005

เรื่องเก่า ๆ

วันนี้ผมโทรไปหาเธอ

พยายามโทรไปหาด้วยข้ออ้างจากเมื่อหลายวันก่อน

พี่หน่อย พี่ซึ่งเคยอยู่แผนกเดียวกันกับเธอตอนที่เธอทำงานอยู่ที่นี่ เข้ามาถามผม(ทาง msn) ว่าตอนนี้เธอเปลี่ยนเบอร์มือถือหรือเปล่า เพราะพี่แกเคยโทรไปหาแล้วติดต่อกับเธอไม่ได้

ผมบอกว่าใช่ พี่หน่อยเลยขอเบอร์โทรของเธอจากผม

ยังไงดี ตอนนี้ผมไม่อยู่ในฐานะที่จะเที่ยวยกเบอร์โทรของเธอให้กับใครได้ ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกันมากไปกว่าว่าเราเป็นแค่เพื่อนกัน (ซึ่งผมเองก็ยังคาใจในความหมายของคำว่า “เพื่อนกัน” ของเธอ) แต่ไอ้การที่จะบอกพี่หน่อยไปว่าตอนนี้เราเลิกกันแล้ว และให้พี่หน่อยไปหาเบอร์โทรของเธอเอาเอง มันก็ดูจะยิ่งลำบากสำหรับผม รู้ว่าเราเลิกกัน แต่มันก็ไม่สนุกที่จะไปบอกใครต่อใคร รู้ว่าไม่มีสิทธิ์ แต่ลึก ๆ มันก็ยังไม่ยอมรับความจริงอยู่ดี

วันก่อนผมเลยเมล์หาเธอ ไปถามเธอ บอกเธอว่าพี่หน่อยขอเบอร์ของเธอ ให้ได้หรือเปล่า

เงียบ ไม่มีคำตอบจากเธอ มาเป็นเวลาสองวัน

วันนี้ผมเลยโทรไปหาเธอ โทรไปที่ทำงาน ใช้พี่หน่อยเป็นข้ออ้าง

เธอรับสาย

ไต่ถามสารทุกข์กันเล็กน้อย ผมถามเธอเรื่องเมล์ที่ส่งไป เธอบอกว่าเธอตอบกลับมาแล้วตั้งแต่วันที่ผมส่งไป งงเหมือนกันที่จนป่านนี้ผมก็ยังไม่ได้รับ

น้ำเสียงเธอยังเหมือนเดิม แต่สิ่งที่รับรู้ได้คือ สรรพนามที่เธอเรียกผมมันเปลี่ยนไป

เธอเรียกผมว่า “เธอ” ทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนเธอก็เรียกชื่อผมตรง ๆ “ก็ส่งเมล์กลับไปหาเธอตั้งแต่วันนั้นแล้วแหละ ยังไม่ได้อีกเหรอ? แปลกเนอะ…..”

สถานภาพเปลี่ยนไป คำที่ใช้เรียกก็เปลี่ยนไปด้วย….ไม่อยากถามเธอถึงเรื่องที่คาใจอย่างนี้

อยากทำตัวเป็นคนดี อยากเป็นเพื่อนที่ดีกับเธอ อยากหยุดคิดกับเธออย่างคนรักเสียที ปกติคนเราใช้เวลาเท่าไหร่ในการเลิกรักใครสักคน? หนึ่งเดือน สามเดือน หนึ่งปี สิบปี หรือ ตลอดชีวิต?

สักวันผมคงรู้คำตอบนี้

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

ตอนนี้มีข่าวรับน้องออกมาเยอะมาก ส่วนใหญ่แล้วจะออกมาในทางที่ไม่ดี

คิดถึงสมัยตอนเรียนปริญญาตรี ตอนถูกรับน้องปีหนึ่ง ช่วยดูแล(และแกล้ง)น้องตอนอยู่ปีสอง ไป(แอบ)ว๊ากน้องตอนอยู่ปีสามและปีสี่ เป็นชีวิตสี่ปีที่มีค่าที่สุดช่วงหนึ่งทีเดียว ถึงเราจะถูกรับน้องอย่างค่อนข้างเข้มงวด(และทารุณ) แต่ก็ตั้งอยู่บนหลักการ

ใครจะว่าอย่างไร อย่างน้อยก็มีผมคนนึงที่ดีใจ ที่ผ่านการรับน้องมาได้

เคยคิดกันกับกิ่งว่าจะเขียนหนังสือออกมาสักเล่ม อาจจะเป็นตอน ๆ สั้น ๆ จบในตอน เขียนถึงชีวิตสมัยเรียนวิศวะมอชอ กิ่งถึงกับคิดชื่อเรื่องเอาไว้แล้วด้วย

“เลือดหมูในรั้วม่วง” เป็นชื่อของมัน เท่ดี ผมคิดว่างั้น

คุยกันไว้ตั้งแต่ตอนใกล้ ๆ เรียนจบ จนป่านนี้กิ่งกำลังจะจบปอโท(นิด้า) และผมกำลังเรียนปอโท(มอชอ) แต่เราก็ยังไม่เขียนอะไรกันเป็นจริงเป็นจังสักที

กิ่งมันอาจจะเขียนเอาไว้แล้วแต่ไม่ยอมให้ผมอ่าน เอาไว้เจอกันใน msn จะลองถามอีกที ถ้ากิ่งยังไม่เขียนอะไรผมจะยืมชื่อเรื่องเอามาเขียนเองแล้วกัน

กลัวแต่ว่าถ้ากิ่งมันให้ยืมจริง ๆ ผมก็จะเอามาดอง และก็ยังไม่เขียนอะไรอีกอยู่ดี

แล้วก็คิดไปถึงหนังสือ “เหมืองแร่” ของคุณอาจินต์ ปัญจพรรค์ อีกที

ผมรู้สึกว่าแกคุ้มมาก คือเอาชีวิตวัยหนุ่มไปทิ้งในเหมืองแร่ที่ห่างไกลความเจริญ ห่างไกลแสงสี เสียสี่ปีเต็มๆ

แต่แกก็เอาสี่ปีนั้นมาเขียนเป็นหนังสือขายได้อีกตลอดสามสิบปีต่อมา พิมพ์รวมเล่มขายอีกหลายรอบ - ได้ตำแหน่งศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ แถมเรื่องยังได้ค่าลิขสิทธิ์ เมื่อเอามาทำเป็นหนังอีกต่างหาก

อย่างนี้เรียกว่าคุ้มหรือเปล่า ต้องแล้วแต่คนจะคิด

แล้วสี่ปี(กับอีกหนึ่งซัมเมอร์) ในวิศวะมอชอของผม จะเอามาเขียนเป็นอะไรได้บ้าง?

คำตอบก็คือ เยอะแยะ วีรกรรมการขโมยหลอดไฟข้างทางของผมกับไอ้เป็ดเอามา draft drawing ตอนเรียน drawing ตัวที่สาม

พฤติกรรมแปลกประหลาดของ กอล์ฟรันเนอร์ที่โด่งดังไปถึงหลายคณะ

เรื่องของพี่เสือ หมาประจำคณะที่มักจะสับสนวิ่งตามผิด ๆ ถูก ๆ ระหว่างคณะวิศวะกับคณะเกษตร

เรื่องของมิงค์จอมยุทธ ที่วิ่งจากลำปางมาเชียงใหม่แค่เพราะสงสัยว่ามันไกลแค่ไหน

เรื่องของไอ้มะที่เมาแล้วของขึ้น ผีเข้า วิ่งลงทะเลตอนไปดูงานปีสาม จนได้ฉายาว่าไอ้มะ คนผีทะเล

ความรักมาราธอนของไอ้กานที่ทำให้มันยังไม่กลับจากญี่ปุ่นจนป่านนี้

……………………….

ไม่ต้องเอารูปออกมาดู แค่หลับตานึกถึง ภาพเหล่านี้มันก็ออกมาวนเวียนให้ผมได้อมยิ้มทุกครั้งไป

0 Comments:

Post a Comment

<< Home