My Empty World

Saturday, April 30, 2005

Eternal sunshine of the spotless mind

วันนี้เป็นวันแรกของการเปิดเรียน ตื่นมาตั้งแต่หกโมงกว่า ทั้ง ๆ ที่เริ่มเรียนเก้าโมง มัวแต่เหม่อ อ้อยอิ่งทำนู่นทำนี่อยู่จนกว่าจะได้ออกจากบ้านก็แปดโมงครึ่ง
ตอนจะขับรถออกจากบ้าน เผลอเอาโทรศัพท์มือถือวางไว้ใน ที่จับประตูรถด้านใน มันทำเป็นร่องสำหรับให้เราเอามือเข้าไปจับ ดึงประตูปิด แต่ผมก็วางมือถือลงไป โชคร้ายที่ขนาดของมือถือกับขนาดของร่องนี้มันเท่ากันพอดี ผมเลยเอามือถือออกมาจากที่จับประตูไม่ได้ ต้องเดินเข้าบ้านไปรื้อหาไขควงอันเล็กมางัดออก ทำเอาโทรศัพท์เป็นรอยหมด รู้สึกวันนี้วุ่นวายแต่เช้า กว่าจะได้ออกจากบ้าน

มาถึงที่คณะบริหารก็เริ่มมีคนเข้ามาบ้างแล้ว เข้าไปลงชื่อเข้าเรียน แล้วก็ เอาเอกสารประกอบการเรียนมาเปิดดูพลาง ๆ ก่อน วันนี้เริ่มเรียนเป็นวันแรก ตามตารางสอนจะเรียนตัว เศรษฐศาสตร์จุลภาค เท่าที่ดูเหมือนจะเคยเรียนมาเหมือนกันตอน ECON100 สมัยปริญญาตรี แต่ก็อย่างที่หลักสูตรบอก อันนี้เหมือนเป็นการ refresh ความรู้เก่า ๆ ของคนที่มีพื้นฐานมาบ้างแล้ว

เท่าที่ดูบรรยากาศรอบๆ ห้องเรียน ดูเหมือนว่า ผมจะอยู่ในกลุ่มที่แก่เป็นอันดับต้นๆ ของห้องได้ทีเดียว ส่วนมากยังหน้าอ่อน ๆกันทั้งนั้น น้องบางคนเพิ่งเรียนจบตรี แล้วมาเรียนต่อโทเลยก็มี

อาจารย์ที่สอนเป็นดอกเตอร์จากคณะเศรษฐศาสตร์ ยังดูหนุ่มอยู่ สอนๆ ไปมียิงมุขมาเรื่อย ๆ ฮากันกลิ้ง พี่โชคยังบอกว่าอย่างนี้น่าจะชวนอาจารย์ไปกินเหล้า สงสัยได้ยิงมุขตกเก้าอี้กันไปข้าง การสอนของอาจารย์จะเป็นแบบอ้างอิงมาจากเอกสารการสอน แต่ว่าไม่ได้ follow ทุกสเต็ป ส่วนใหญ่จะอ้างอิงจากกรณีศึกษา ซื่งอันนี้ผมชอบมาก เพราะคิดว่าพวกเนื้อหานี่เราสามารถไปหาอ่านเอาเองได้ในเอกสารประกอบการเรียน หรือหนังสือเทกซ์บุ๊คต่าง ๆ แต่ พวกกรณีศึกษา พร้อมแนวความคิดวิเคราะห์นี่น่าสนใจกว่า ฟังแล้วไม่เบื่อ

ตอนกลางวันไปกินข้าวกันที่ อมช มีพี่โชค พี่เอ๋ พี่ป๋อม(มารับส่งพี่เอ๋) แล้วก็พี่ต้น ไปกินด้วยกัน (เพราะก็ไม่รู้จะไปกินกันที่ไหน) ไม่ได้กินข้าวที่ อมช มานานแล้ว(ในฐานะนักศึกษา) ขนาดวันนี้เป็นวันเสาร์คนยังเยอะมาก แทบไม่มีที่นั่ง พี่ป๋อมบอกว่า ถ้าเปิดเทอมจริง ๆ นี่คนจะเยอะกว่านี้ซะอีก เพราะว่ามีพวกโปรแกรมภาคพิเศษอื่น ๆ มาเรียนเยอะ ไม่ว่าจะเป็น เศรษฐศาสตร์ สังคม อื่น ๆๆๆ วันนี้รู้สึกกินข้าวกลางวันได้เยอะ คงเพราะเมื่อเช้าไม่ได้กินอะไรมาเลย อาการผมคงดีขึ้น กินได้ นอนหลับ

กลับมาเรียนต่อตอนบ่ายกับอาจารย์คนเดิม เกือบ ๆ ง่วง แต่อาจารย์แกก็ปล่อยมุขออกมาตลอดไม่เบื่อ พอสอนถึงสามโมงครึ่งอาจารย์ก็สอนหมดเนื้อหาแล้ว เลยปล่อยก่อน บอกว่าอีกหนึ่งชั่วโมงจะมาแถมให้ในวันพรุ่งนี้ มีอย่างนี้ด้วย

เนื่องจากห้องพวกผมเรียนกันเสร็จก่อนก็เลยลงมารอพวกพี่เอ๋อยู่ข้างล่าง กะว่าจะหาที่ไปกันต่อ เพราะว่าวันนี้พี่โชคก็ไม่ได้สอนหนังสือแล้ว ผมก็แค่อยากเกาะใครบางคนไปเรื่อย ๆ เพื่อจะได้ไม่ต้องอยู่คนเดียวแล้วจะคิดถึงเธออีก สักพักพี่ป๋อมก็ถามถึงเธอว่าวันนี้ไม่ไปไหนด้วยกันเหรอ ตอนนี้ฟรีอยู่ อีกหน่อยเปิดเทอมระวังจะโดนคุมแจนะ ผมก็ได้แต่สะอึกในใจ อยากบอกพี่แกไปเหมือนกันว่าตอนนี้ผมกับเธอเป็นอดีตไปแล้ว แต่ก็พูดไม่ออก กลัวว่าจะหลุดสะอื้นออกมาให้พวกพี่ ๆ เห็น ซึ่งมันคงเป็นภาพที่ไม่ค่อยน่าดูซักเท่าไหร่นัก

หมดอารมณ์ที่จะขอติดไปกับพวกพี่ ๆ ต่อ ผมเลยขับรถออกมาแล้วไปนั่งจมอยู่ที่ร้าน Kopi Gusto ใต้คณะวิศวะ ร้านเดิมๆ ที่ผมชอบมานั่งจิบกาแฟและโทรหาเธอในวันเสาร์ที่เธอทำงาน เบื่อตัวเองที่เป็นคนเซนซิทีฟไปหน่อยที่เห็นอะไร เจออะไร หรือใครพูดอะไรเกี่ยวกับเธอ แล้วก็สะอึก น้ำตาซึม

นั่งอ่านหนังสือไปสักพักฝนก็ตก เลยต้องย้ายตัวเข้ามาอยู่ในส่วนแห้ง (และเย็นฉ่ำ)ในห้องกระจกติดแอร์ วันนี้คนน้อย คงเป็นเพราะว่ายังเป็นช่วงซัมเมอร์อยู่

อ่านนิตยสาร มีบทสัมภาษณ์ น นพรัตน์ นักแปลนิยายกำลังภายในมือฉมัง และจากที่อ่านมาดูเหมือนว่าเหลือแกคนเดียวในตอนนี้ที่ยังนับเป็นมังกร แห่งยุทธจักรหนังสือกำลังภายในอยู่ จริง ๆ น นพรัตน์ นี้เป็นนามปากกาที่สองพี่น้องช่วยกันแปลคือ คุณ อานนท์ และ คุณอำนวย ซึ่งแปลนิยายกำลังภายในมาได้สามสิบเก้าปีแล้ว แต่ตอนนี้เหลือแต่คุณอำนวยคนเดียว เพราะคุณอานนท์ได้เสียชีวิตไปตั้งแต่ปีสี่สาม หรื่อ สี่หก (ไม่แน่ใจ) อ่าน ๆ ดู แกมีลิสต์นิยายที่รักอยู่ด้วยคือ แปดเทพอสูรมังกรฟ้า กระบี่เย้ยยุทธจักร ดาวตกผีเสื้อกระบี่ ฤทธิ์มีดสั้น และมังกรคู่สู้สิบทิศ ผมเคยอ่านแต่ มังกรคู่สู้สิบทิศ ในรูปของนิยาย และ แปดเทพอสูรมังกรฟ้าในรูปของ การ์ตูน ส่วนเรื่องที่เหลือ ตั้งใจว่าถ้ามีเวลาจะไปหามาลองอ่านดู

อ่านหนังสือไปได้สักพัก ไอ้เจมส์และไอ่นา ก็แวะเข้ามากินกาแฟที่ร้านเหมือนกัน ก็นั่งเป็นเพื่อนกันคุยอะไรไปเรื่อยเปื่อยเกี่ยวกับเรื่องเรียนปริญญาโท จนเกือบหกโมงก็ได้เวลาแยกย้ายกันกลับ ระหว่างเดินไปที่รถ ไอ่เจมส์ก็ถามคำถามเดียวกับพี่ป๋อมเมื่อบ่ายนี้ว่า ไม่นัดเจอเธอบ้างเหรอ ผมก็ได้แต่ยิ้ม แต่ก็ไม่ได้บอกอะไรมันไป มันยังบอกอีกว่า ระวังห่างเหินกันนะ นี่เป็นจุดเริ่มต้นของความห่างเหิน ผมก็อยากจะบอกมันไปว่ามันเลยจุดนั้นมาแล้ว มันมาถึงจุดที่แย่กว่านั้นไปซะแล้วเพื่อน แต่เอาไว้ก่อน รอให้ผมทำใจให้หายดี รอให้ผมหายเศร้ากว่านี้ก่อน ผมจะเดินไปตบไหล่มันแล้วบอกว่า เออ โทษที เราเลิกกันแล้วว่ะ

ปกติช่วงนี้เวลาขับรถ ผมจะพยายามไม่เปิดเพลง เพราะรู้สึกว่าฟังเพลงไหนมันก็โดนหมด เศร้าไปหมด เลยพยายามไม่เปิดเพลงฟังซะเลย ขับรถไป คิดอะไรไปคนเดียว แต่ก็นั่นแหละ อยู่คนเดียวเงียบ ๆ มันก็อดคิดถึงเรื่องผมกับเธอไม่ได้ ยิ่งมีคำพูดของเจมส์มันกระตุ้นเมื่อกี๊แล้ว มันอดสะอื้นน้ำตาคลอไม่ได้ จนขับรถไปได้สักพักฝนตก จนมันเริ่มตกหนักถึงเพิ่งรู้ตัวว่าไม่ได้เปิดที่ปัดน้ำฝนที่หน้ากระจกรถ ก็จอตาของผมมันมีน้ำมาคลอเหมือนกันนี่นา
เคยดูหนังเรื่อง Eternal Sunshine of the spotless mind เป็นเรื่องเกี่ยวกับหญิงชายคู่หนึ่งซึ่งเป็นแฟนกัน รักกัน แล้วก็ทะเลาะกัน จนผู้หญิงตัดสินใจว่าจะลืมเรื่องราวของผู้ชายคนนี้ออกให้หมด เธอจึงไปหาหมอที่คลินิกแห่งหนึ่งเพื่อทำการลบความทรงจำที่มีของผู้ชายคนนี้ออกไปให้หมด ซึ่งก็ได้ผล วันถัดมาเมื่อผู้ชายคนนี้ตามมาง้องอนเธอ เธอกลับจำอะไรเกี่ยวกับเขาไม่ได้เลย

ตอนนี้ผมก็คงรู้สึกอย่างนี้เหมือนกัน อยากจะลืมทุกอย่างที่เป็นเธอไปให้หมด กลับไปดูรูปที่เราเคยถ่ายไว้ด้วยกันตอนไปเที่ยว รูปที่ผมใช้ ปาล์มถ่ายเธอในวันแรกที่เรานัดพบกัน จำได้ว่าเสื้อที่ใส่มันคือเสื้อตัวเดียวกันกับที่เธอใส่มาเพื่อบอกเลิกผมอาทิตย์ก่อน

คิดแล้วก็เศร้า

บางทีการเป็นคนความจำดีเกินไป มันก็ไม่ดีอย่างนี้นี่เอง รายละเอียด เล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ยังเก็บเอามาจำแล้วมันก็ทำให้เราต้องมาเจ็บปวดเอง

สักวันผมคงดีขึ้น

Friday, April 29, 2005

พรุ่งนี้ก็วันหยุดแล้ว

วันนี้ตอนเช้า พอเข้ามาที่ออฟฟิศ สักพักก็ขอรถตู้ออกไปทำวีซ่า ที่สถานทูตจีน ออกไปตอนเก้าโมงเช้า กลับมาอีกทีตอนสิบเอ็ดโมงครึ่ง ที่กลับมาสายเพราะมัวไปนั่งรอน้องคนนึงซื้อของมาเตรียมงานอยู่ ระหว่างรอก็ออกมาเดินเล่นแถว ๆ ที่จอดรถ อีกแล้ว เวลาอยู่คนเดียวเมื่อไหร่ ก็ไม่วายที่จะคิดถึงเธอ ไม่รู้ป่านนี้เธอจะทำอะไรอยู่ งานยุ่งหรือเปล่า เธอจะแบ่งเวลามานึกถึงผมบ้างไหม รู้ว่าคิดถึงเธอแล้วทรมานอย่างนี้ ก็ยังไม่วายที่จะอยากอยู่คนเดียว แล้วปล่อยใจตัวเองไปหาเธออีก บางทีก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นพวกมาโซติกส์ ชอบความเจ็บปวด

กลับมาถึงออฟฟิศสักพักก็กินข้าว เห็นจ๋ามันจัดกระเป๋าเตรียมไปเที่ยวเรียบร้อยแล้ว กะว่าเลิกงานก็ไปขึ้นเครื่องเลย จ๋าเอากล้องถ่ายรูปที่ซื้อใหม่มาอวด fuji S5500 มีแต่คนเล็ง ๆ รุ่นนี้ไว้แฮะ ไอ้ก่ออีกคน เห็นว่าราคากำลังตก ไม่รู้จ๋าจะว่าไงถ้าหากกล้องที่เมื่อวานซื้อมาหมื่นสี่พันกว่าบาท จะเหลือหมื่นสองพันกว่าบาทในอีกเดือนสองเดือนหน้า แต่เอาเหอะ ซื้อมาเพื่อใช้ ไม่ได้เพื่อขายต่อ ผมเป็นกำลังใจให้

สรุปไอ้ก่อมาบอกว่าที่นัดจะไปกันวันอาทิตย์นี้ ไอ้โดมเพื่อนมันไปไม่ได้ ฉะนั้นแล้ว ผมต้องไปกะพวกมันด้วย (ต้องโดดเรียน) ด้วยเหตุผลสองข้อใหญ่คือ
1) มันไม่อยากเป็นผู้ชายคนเดียวในการเดินทาง (นอกจากมันแล้ว มีแฟนมัน น้องสาวแฟน และเพื่อนผู้หญิงที่โรงงานอีกสองคน)
2) พอไอ้โดมไม่ไป ก็ไม่มีกล้องถ่ายรูป เพราะหลังจากเห็นกล้องมีแนวโน้มว่าราคาจะตก มันก็เลย ยังไม่ซื้อ เพราะฉะนั้นก็ไม่มีกล้องถ่ายรูปไปถ่ายตอนไปเที่ยวกัน ผมจึงต้องไป(เพราะผมมีกล้องถ่ายรูป)

วันอาทิตย์ที่จะถึงนี้ พวกพี่เอกนัดกันไปเมาอีกแล้ว (เป็น follow up action จากคราวก่อน) ใจจริงแล้วไม่อยากไปด้วยเลย ไม่อยากเมาตอนเศร้า ๆ เรื่องของผมและเธอเป็นสิ่งที่มีค่า และผมไม่อยากเอาไประบายในวงเหล้าโดยไร้สติ ตั้งแต่วันที่เธอบอกเลิกกับผม ผมก็เข้าใจได้เลย ว่าทำไมคนที่อกหักถึงพากันไปกินเหล้า เพราะเวลาแห่งความเศร้ามันช่างเนิ่นนานเสียจนเราไม่รู้จะผ่านมันไปได้อย่างไร เหล้าจึงเป็นเครื่องมือย่นระยะเวลาของวันต่อวัน คืนต่อคืน

เพิ่งรู้ว่าเรื่องเศร้าของผมที่ระบายให้น้องคนหนึ่งรับรู้ มันทำให้ชีวิตของน้องคนนั้นว้าวุ่นไปด้วย (เธอเรียกว่าเวิ่นเว้อ) เธอเองก็ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับแฟนของผม คือเปิดใจรับคนใหม่ ในขณะที่คนเก่า เธอก็ยังไม่ลืม และยังรู้สึกดี ๆ กับเขาอยู่ กรณีของผมทำให้น้องเค้ารู้สึกไม่มั่นใจในความรู้สึกตัวเอง กลัวจะทำให้แฟนของเธอ(ในปัจจุบัน) มีอาการเหมือนผม ถ้าอะไรมันไม่เป็นไปตามที่คิด แต่บทสรุปของเธอก็คือ วันนี้คือวันนี้ จงมีความสุขกับวันนี้ให้มากที่สุดแล้วอะไรจะเกิดมันก็เกิด

ผมก็ขอเป็นกำลังใจให้น้องเค้าและแฟนของเค้าด้วย จริงทีเดียวว่าอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด กรณีของผม ผมพยายามทำทุกอย่างแล้วที่จะอ้อนวอนและเหนี่ยวรั้งให้เธอไปไม่ไป แต่สิ่งที่ผมพยายามเหนี่ยวรั้งมันคือจิตใจ ไม่ใช่สสารที่จับต้องได้ สุดท้ายก็คงต้องปล่อยมันไป โดยที่ยังไม่วายแอบมีความหวังว่าสิ่งนั้นจะกลับมาหาผมได้อีก

ถ้าถามว่าถ้ารู้อย่างนี้ตั้งแต่แรก แล้วผมยังจะเดินเข้ามาในชีวิตของเธออีกหรือเปล่า คำตอบคือใช่ ความปวดร้าวมันโหดร้าย แต่สิ่งที่มีค่ามากกว่านั้นคือการที่ผมได้เคยมีเธออยู่ในชีวิตช่วงหนึ่ง

วันนี้ก็ยังคงเป็นอีกวันที่ห้ามใจตัวเองให้โทรไปหาเธอไม่ได้ แต่วันนี้เธอไม่รับสาย….

Thursday, April 28, 2005

วันวุ่นวาย

วันนี้พยายามคิดว่าอาการน่าจะดีขึ้น
ตื่นมาตอนเช้าอากาศค่อนข้างเย็น ชื้น ทำให้อ้อยอิ่งไม่ค่อยอยากลุกจากที่นอน แต่ก็นั่นแหละ หน้าที่มีต้องทำ ลุกมาอาบน้ำ น้ำตาเช้าวันนี้มีน้อยกว่าเมื่อวาน ก็ได้แต่หวังว่าพรุ่งนี้มันจะน้อยลงกว่าวันนี้

งานวันนี้ค่อนข้างยุ่งแต่เช้า มีconference call กับทีมที่อเมริกา กลายเป็นว่าผมต้องทำ summary report เรื่องปัญหาที่เกิดกับงานส่งออกไปให้ทีมที่อเมริการิวิว ภายในวันนี้

ออกจากห้องประชุมมา มีเมล์มาจากลูกค้า ด้วยความที่ไม่พอใจที่เรามีการ response ในเรื่องปัญหาที่เกิดขึ้นช้าไปหน่อย ลูกค้าต้องการให้เราส่งทีม engineer ไปหาที่จีนในต้นเดือนหน้า (วันที่ 10) เพื่ออธิบายถึงปัญหาที่เกิดขึ้น

แน่นอนว่าทางเราก็ต้องส่งทีม engineer ไป ซึ่งทีมเอนจิเนียร์ที่ว่านี่คือ ผม , CQE จากไทย และ ซีซีโลว ซีเนียร์เซลล์เมเนเจอร์ จากสิงคโปร์ แค่สองคนเท่านั้นเอง ส่วนตัวหน้าผมต้องอยู่โยงเฝ้าโรงงานเนื่องจากมีปัญหาที่โปรดักส์อื่นด้วย (ดูท่าทางจะหนักหนากว่าโปรดักส์ของผมซะอีก)

เลื่อนลงมาอ่านอีกเมล์ ลูกค้า Maxtor บอกว่าจะมี QBR(การประชุมประเมินผลทางธุรกิจประจำไตรมาส) ในวันที่ 20 พค นั่นหมายความว่าผมก็ต้องเตรียมตัวไปสิงคโปร์ต่อในอาทิตย์ถัดมา

พรุ่งนี้คงต้องไปทำ วีซ่าแต่เช้า เพราะอาทิตย์หน้ากงสุลจีนอาจจะปิดเนื่องจาก วันหยุดวันแรงงานของจีน ปกติเมืองไทยหยุดแค่วันที่ 1 พค วันเดียว แต่ในจีนจะหยุดทั้งอาทิตย์ นั่นหมายถึงว่าผมจะได้ทำงานสบาย ๆ ขึ้นอีกหน่อย ไม่มีโทรศัพท์ หรือ อีเมล์จากลูกค้ามากวนใจ

ตอนบ่าย ๆ ไอ้ก่อ(อีกแล้ว) มาถามว่าวันนี้ผมมาทำงานยังไง พอบอกว่าขับรถมาเอง มันก็รีบมาชวนไปหาอะไรกินตอนเย็นด้วยกัน คำว่า อะไร ของมันนี่หมายถึง พิซซ่า ไม่รู้ว่ามันเหงาที่แฟนมันไปสัมมนาสองวัน หรือมันอยากหาเรื่องมาประกบตัวผมไม่ให้คิดมากเกี่ยวกับเธอ แต่ก็เอาเถอะ ไปก็ไป

แต่สุดท้ายเราก็เปลี่ยนแผนจาก พิซซ่า มาเป็น อาหารญี่ปุ่นที่ร้านฟูจิ แทน เนื่องด้วยผมยังไม่อยากเข้าร้านพิซซ่า ที่ผมกับเธอไปกินด้วยกัน มันตอกย้ำกับความหลังเกินไป อีกเหตุผลหนึ่งคือเราสองคนผมกับไอ่ก่อเริ่มรู้สึกว่าตัวเองอืด ๆ มากไปหน่อยแล้ว ลด ๆ อาหารจำพวกนี้บ้างก็ดี

ผมไม่ได้กินอาหารญี่ปุ่นมานานแล้ว ตั้งแต่คบกับเธอ เพราะเธอไม่ชอบกินอาหารญี่ปุ่น ผมเองก็ไม่ชอบอาหารญี่ปุ่นจำพวก ปลาดิบ ข้าวปั้น เหมือนกัน แต่ถ้าเป็นพวกข้าวหน้าไก่ หรือเนื้อผัด นี่กินได้ไม่มีปัญหา
วันนี้ ผมสั่งข้าวแกงกระหรี่กุ้งทอด
ระหว่างที่คุยกันระหว่างกินข้าว มันก็พยายามชวนคุยเรื่องอื่น ๆ แต่จะด้วยอะไรไม่รู้ ผมก็วกกลับเข้ามาเรื่องของผมกับเธอจนได้ บ่นไปจนมันคงเบื่อ

กลับมาบ้าน มาอ่านหนังสือที่ค้างไว้ต่อจนจบ อาบน้ำ แล้วก็ตามเคย อดใจไม่ได้ที่จะโทรไปหาเธอเหมือนเดิม เรายังคงคุยกันด้วยเรื่องเรื่อยเปื่อยเหมือนเมื่อวาน แต่บางทีผมคิดว่าทั้งผมและเธอก็คงรู้สึกได้ว่ามันเหมือนเสแสร้งแกล้งทำมากกว่า
เหมือนเมื่อวาน ผมเป็นคนขอวางหูก่อน จริง ๆ แล้วผมก็ไม่รู้ว่าผมทำถูกหรือเปล่า ที่ยังโทรไปหาเธออยู่ทุกวันอย่างนี้ เธออาจจะไม่ต้องการอย่างนั้น แต่อย่างน้อย ผมก็อยากให้เธอรู้ว่าผมยังวนเวียนอยู่แถวนี้ และยังรอเธออยู่

ขอยกประโยคจากหนังสือที่อ่านมาวันนี้มาไว้ในนี้สักหน่อย

“...ฟังเสียงหัวใจตัวเองให้ดีสิ แล้วเดินไปตามนั้น อย่ากลัวที่จะเจ็บปวด อย่ากลัวที่จะได้เรียนรู้ว่าความรักคืออะไร อย่างน้อยที่สุด ก่อนที่จะตายจากโลกนี้ไป ได้มีโอกาสเรียนรู้แม้เพียงครั้งว่าความรักแท้จริงคือสิ่งใดกัน ก็นับว่าไม่เสียชาติเกิดแล้ว จำไว้ว่าความรักนั้นเหมือนม้าพยศที่ไร้บังเหียน ถ้าเธออยากรู้ว่าคนไหน ใช่หรือไม่ใช่ คนๆ นั้นที่เธอเฝ้ารออยู่ ลองถามตัวเองให้ดีสิ ถึงเหตุผลที่ทำให้เธอรักเขา ถ้าเธอหาเหตุผลดีๆ ให้กับตัวเองได้สักสองสามข้อ นั่นก็ยังธรรมดาอยู่ แต่ถ้าเจอใครบางคนที่เธอไม่สามารถหาเหตุผลให้กับตัวเองได้สักข้อแล้วล่ะก็ รีบไขว่คว้าคนนั้นเอาไว้ให้ดีเชียวล่ะ เพราะเธออาจไม่มีโอกาสอีกเป็นหนที่สอง...”

เป็นข้อความที่ยกเอามาเข้าข้างตัวเองทีเดียว จนป่านนี้ ผมก็ยังไม่นึกโกรธเธอ แค่นึกเสียใจว่าผมยังไม่ดีพอที่ จะรั้งเธอเอาไว้ให้อยู่กับผมต่อไปได้

ได้เวลานอนแล้ว....

Wednesday, April 27, 2005

อีกวัน ที่โลกยังว่างอยู่

วันนี้ก็ยังเป็นวันที่ซึม ๆ อีกวัน น้ำตายังคงแฉะในตอนเช้าหลังตื่นนอน

ไปทำงาน เพื่อน ๆ ที่ออนไลน์ MSN เริ่มเข้ามาทักทายว่าเป็นอย่างไรบ้าง หนิง แอน อุ๋ย ทยอยกันมาทัก ทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนไม่มีเรื่องก็แทบจะไม่ได้คุยกันด้วยซ้ำไป รู้สึกดีที่มีคนเข้ามาให้กำลังใจ ให้ความเห็น (ที่น่าเห็นด้วย และไม่น่าเห็นด้วยบ้าง) อย่างน้อยก็ยังรู้สึกว่ามีคนเข้าข้าง ในเวลาที่ตัวเองเหมือนไม่มีค่าอย่างนี้

งานวันนี้ยุ่งกว่าเมื่อวาน ไม่รู้ว่าเพราะ เมื่อวานลาหยุดไปครึ่งวันหรือเปล่า แต่ยังไงการที่มีงานยุ่งก็ดีกว่าอยู่ว่าง ๆ แล้วฟุ้งซ่าน

จ๋าชวนไปเที่ยวหนองคายกะพวกโป้ง และแฟนโป้ง (ว่าแต่มันจะไปเป็น กขค เค้าทำไม) ในวันหยุดติดต่อกันสามวันนี้ (เสาร์-อาทิตย์-จันทร์) บอกว่าอาจจะข้ามไปลาวด้วย จริง ๆ อยากไปด้วย การไปเที่ยวไกล ๆ คงเหมือนไปปลดปล่อยอารมณ์ และ (อาจจะ) เรียกเอาความมีชีวิตกลับคืนมา อีกอย่างผมก็ยังไม่เคยไปลาวมาก่อน แต่ก็นั่นแหละ มาชวนกันตอนกะทันหัน (วันพุธ) อย่างนี้ คงเตรียมการอะไรไม่ทัน แล้วก็เหตุผลสำคัญกว่านั้น วันเสาร์นี้ผมเริ่มเรียน MBA วันแรกพอดี เป็นคอร์สปรับพื้น เกี่ยวกับการบริหารธุรกิจเบื้องต้น

อารมณ์นี้ชักไม่อยากเรียน เข้าซะแล้วสิ แต่เริ่มเดิมทีผมไปสมัครเรียนก็เพราะว่าเธอจะไปเรียนด้วย เราไปอ่านหนังสือด้วยกัน สอบด้วยกัน แต่ผมดันสอบติดคนเดียว เมื่อติดแล้ว ทางบ้าน(ของผม)ก็กดดันให้เรียนต่อไป(โดยจ่ายเงินค่าเทอมเองด้วย) เธอไม่เรียนด้วย นั่นหมายถึงเวลาที่เราจะได้พบกันในวันหยุดก็หมดไป แต่เธอบอกไม่เป็นไร เราก็มาเจอกันเพิ่มในวันธรรมดา แต่แล้ว สุดท้าย เหตุการณ์ก็มาลงเอย ที่เราต้องเลิกกัน(ด้วยความไม่เต็มใจของผม) ก่อนที่ผมจะเริ่มเรียนซะอีก

ไม่รู้ว่านี่คือสิ่งที่เค้าเรียกว่าชะตากรรมหรือเปล่า

แต่จนถึงตอนนี้ ลึก ๆ ในใจผมก็ยังไม่ยอมรับความจริง ผมยังคิดว่าเรายังมีโอกาสกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีก ถ้าผมอดทนพอ ถ้าถามตอนนี้ก็คงตอบได้คำเดียวว่าจะรอ รอ และรอ เธอต่อไป นี่คงเป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้วันนี้อาการผมสงบลงกว่าที่เคย

ไอ้ก่อมาชวนไปเที่ยววันอาทิตย์อีกแล้ว มันกะจะซื้อกล้องถ่ายรูปวันศุกร์นี้ แล้วเอาไปทดสอบ วันอาทิตย์ มันชวนไปไร่ชาป่าเมี่ยง ทางไปเชียงราย อยากไปด้วยอีกแล้ว แต่ก็ติดเรียนอีกเหมือนกัน แต่ก็ไม่เป็นไร ดูก่อน ถ้าวันเสาร์ไม่มีอะไรมาก ก็กะจะโดดเรียนวันอาทิตย์ไปเที่ยวกะมันเหมือนกัน

กลับบ้านมา แล้วก็เดินเอา วีซีดี ที่เช่ามาไปคืน เดินออกกำลังกายซะหน่อย ตอนแรกกะจะวิ่ง แต่มาคิดดูแล้ว วิ่งหอบวีซีดี (สามเรื่อง) ไป มันคงแปลก ๆ ก็เลยตัดสินใจเดินไปดีกว่า ได้เหงื่อพอเหนอะหนะเหมือนกันกว่าจะกลับมาถึงบ้าน

สี่ทุ่มกว่า ว่าจะพยายามไม่โทรไปแล้ว แต่ก็ห้ามใจตัวเองไม่ไหว โทรไปหาเธอจนได้ เราคุยทักทายกันเรื่องดินฟ้าอากาศทั่ว ๆ ไป ประมาณห้านาที ผมก็เอ่ยราตรีสวัสดิ์กับเธอ พยายามเป็นคนเอ่ยปากจบการสนทนาเอง มันทำให้รู้สึกดีกว่าเธอเป็นคนเอ่ยปากเอง คิดว่าวันนี้ทำได้ดีในการควบคุมความรู้สึกตัวเอง อย่างน้อยก็ไม่อยากให้เธอรู้สึกอึดอัดกับผม

Tuesday, April 26, 2005

โลกที่ว่างเปล่าวันต่อมา

คุณรู้หรือเปล่าว่าเวลาที่เจ็บปวดที่สุดของคนที่เพิ่งอกหักมันคือตอนไหน
สำหรับผม มันคือช่วงเวลาห้านาทีแรกที่ตื่นนอนในตอนเช้า เมื่อประสาทสัมผัสเริ่มส่งสัญญาณเข้ามายังสมองว่านี่คือตอนเช้าแล้ว และสมองส่วนเก็บความทรงจำจะเริ่มค้นหาข้อมูลก่อนหลับไปว่าทำอะไรอยู่ อยู่ที่ไหน

แต่ข้อมูลแรกที่สมองส่งกลับมาหาผมคือ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ไม่มีเธออีกแล้ว บางที…ผมคิดว่าข้อความนี้มันน่าจะส่งตรงมาจากหัวใจมากกว่า....

ผ่านมาแล้วสามวัน แต่ทุกอย่างมันก็ยังไม่ดีขึ้นเลย ผมยังตื่นมาร้องไห้ตอนเช้าทุกวัน ร้องไห้ให้กับความรักที่ผมคิดว่ามันคือรักแท้ ร้องไห้ให้กับสิ่งที่ผมคงไม่สามารถดึงให้มันกลับคืนมาได้อีก ก่อนนอนผมพยามอ่านหนังสือ ทำนู่นทำนี่จนดึกดื่นให้ง่วงนอน จนเมื่อล้มตัวลงนอนก็สามารถหลับได้ แต่พอตื่นเช้า ผมทำอะไรกับมันไม่ได้ ความเศร้าเสียใจกับผมยังนัดมาเจอกันทุกเช้า อย่างดีก็แค่ปล่อยให้น้ำฝักบัวช่วยไหลผ่านผิวหน้า แล้วพาเอาน้ำตาออกไปบ้างเท่านั้นเอง

อาบน้ำ แต่งตัว ขับรถไปทำงาน ช่วงนี้ผมรู้สึกเหมือนความทรงจำขาดหายไปเป็นช่วง ๆ คงเพราะคิดถึงเธอ ผมจำไม่ได้ว่าขับรถออกบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่ อย่างไร รู้สึกตัวอีกทีก็อยู่ที่ทำงานแล้ว

ทำงานไปอย่างแกน ๆ เดือนนี้ผมยอมรับว่าคงทำงานไม่คุ้มกับค่าจ้างที่บริษัทให้แน่ ๆ เพราะใจมันลอย เหม่อคิดไปต่าง ๆ นานา ตลอดเวลาทำงาน

มีไม่กี่คนที่รู้เรื่องนี้ ผมยังไม่เข้มแข็งพอที่จะบอกคนอื่นๆ เกี่ยวกับเรื่องของเราสองคนว่ามันจะไม่เหมือนเดิมแล้ว ไม่อยากจะได้ยินใคร ๆ คอยให้ความเห็นใจ หรือ ปลอบใจ มันยิ่งจะทำให้ผมรู้สึกถึงวันเวลาดี ๆ ที่เราเคยมีให้กัน คิดถึงอนาคตที่เราเคยคิดเอาไว้ด้วยกัน ความสุข ณ ช่วงเวลานั้นมันก็กลายเป็นอาวุธที่ย้อนกลับมาทิ่มแทงผมอย่างโหดร้ายในตอนนี้ ช่วงนี้ผมขอเลือกที่จะใช้เวลาอยู่คนเดียวเพื่อซึมซับเอาความเจ็บช้ำ ความเศร้า เอาไว้ก่อน พลังใจที่ดีที่สุดน่าจะเริ่มจากตัวเองก่อน

วันนี้ผมทำสิ่งที่บ้า ๆ ออกไป สิ่งที่ผมไม่คิดว่าตัวเองจะทำมาก่อน ผมลางานครึ่งวันบ่าย แวะไปหาซื้อดอกไม้เป็นช่อ ไม่คิดว่าการให้ดอกไม้กับเธอในเวลานี้มันจะช่วยอะไรได้ ผมไม่มีเหตุผลมาสนับสนุนการกระทำแบบนี้ของตัวเอง รู้แต่เพียงว่าอยากจะไปหาเธอและเอาดอกไม้ไปมอบให้เธอ

เมืองลำพูนมีร้านจัดดอกไม้ไม่มากนัก ผมแวะไปถามหาที่ร้านกาแฟที่เราเคยไปด้วยกัน (ผมอยากเรียกมันว่าร้านประจำของเรา – แต่ก็นั่นแหละ สำหรับชั่วโมงนี้ “เรา” กลายเป็นอดีตไปแล้ว) คุณป้าเจ้าของร้านแนะนำร้านจัดดอกไม้ให้ร้านหนึ่ง บอกทางมาให้เสร็จสรรพ แล้วก็ให้บอกไปด้วยว่าป้าแนะนำมา จะได้ราคาพิเศษ แกคงแนะนำเพราะเห็นท่าทางผม ตลก เด๋อ ๆ เปิ่น ๆ

ขับรถไปร้านดอกไม้ตามที่คุณป้าบอก ร้านหาไม่ยาก แต่ที่ร้านไม่มีดอกกุหลาบขาวอย่างที่เธอชอบ เด็กที่ร้านจัดดอกไม้พยายามแนะนำให้ผมเลือกสีชมพู(เพราะมันเป็นสีเดียวที่เหลืออยู่ที่ร้าน) และพยายามจะบอกว่า ที่ตลาดก็คงไม่มีสีขาวเหลือ เพราะนี่เป็นหน้าร้อน ไม่ค่อยมีกุหลาบขาวขายมากนัก เพราะสีมันช้ำง่าย ผมไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่าแต่ก็เลือกที่จะลองหาดูเองก่อน

ขับรถต่อไปที่ตลาดสด เพื่อหาดอกกุหลาบสีขาว ตอนบ่ายกว่า ๆ ที่ตลาดไม่มีดอกไม้ให้เลือกมากนัก เดินอยู่นานกว่าจะเจอกุหลาบขาวหนึ่งช่อ มีขายอยู่แค่ร้านเดียว แต่ร้านขาย ก็ขายอย่างเดียว ไม่ได้รับจัดด้วย ผมจึงต้องซื้อแต่ดอกกุหลาบมา แล้วขับรถย้อนกลับไปที่ร้านจัดดอกไม้เพื่อเอาไปฝากให้เค้าจัดให้ เด็กที่ร้านจัดดอกไม้ทำหน้าแปลก ๆ เค้าคงไม่คิดว่าผมจะหายไปแล้วกลับมาอีกพร้อมกับกุหลาบขาวได้จริง ๆ

ระหว่างรอร้านจัดดอกไม้ ผมก็ย้อนกลับไปที่ร้านกาแฟ ไปนั่งดื่มกาแฟและเขียนโน๊ดที่จะแนบไปกับดอกไม้ให้เธอ แต่กลายเป็นว่าโน้ตสั้น ๆ ที่ตั้งในเอาไว้ตอนแรก กลายเป็น กึ่ง ๆ จดหมายที่บอกสภาพอันน่าอดสูของผมตอนนี้ บอกว่าผมคิดกับเธออย่างไร บอกว่าเธอคือเหตุผล และ แรงผลักดันที่ทำให้ผมมีวันนี้ บอกว่าผมคิดว่าตอนนี้เธอเพียงแค่สับสนในใจ บอกว่าผมยังแอบคิดว่าเธอยังคงมีเยื่อใยให้ ผมก็ไม่รู้ว่าผมเขียนอะไรทำนองนี้ออกไปได้อย่างไร ถ้าเป็นใครคนอื่นมาเห็นคงหัวเราะแล้วบอกว่าน้ำเน่ามาก แต่ก็เอาเถอะ หัวใจผมตอนนี้มันก็คงเน่าพอ ๆ กัน

ผมอ่านโน้ตนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า คิดว่ามันคงรัดกุมเพียงพอที่จะถ่ายทอดความรู้สึกของผมที่มีต่อเธอแล้ว ผมออกจากร้าน แวะไปรับดอกไม้ที่ฝากจัดไว้ที่ร้าน เขาจัดให้ช่อใหญ่กว่าที่คิด ตอนเป็นแฟนกัน ผมยังไม่เคยมอบดอกไม้ให้เธอขนาดนี้ อย่ากมากก็เป็นช่อเล็ก ๆ หรือเป็นแค่ดอกเดี่ยว ๆ แต่แค่นั้นเธอก็ชอบมันมากแล้ว เธอเคยบอก

ออกจากร้านดอกไม้ ผมขับรถตรงไปที่บริษัทของเธอ คิดอะไรเรื่อยเปื่อย เธออาจจะไม่ว่าง ติดประชุม หรือเธออาจจะไม่อยากออกมาพบกับผม พอถึงหน้าบริษัท ผมจอดรถไว้ข้างทาง เดินไปที่ป้อมยามแล้วโทรเข้าไปหาเธอ เธออยู่ที่โต๊ะพอดี คงกำลังยุ่งอยู่ แต่ก็พอปลีกเวลาออกมาพบผมได้ ฟังจากน้ำเสียงคงสงสัยว่าผมออกมาทำอะไรในเวลาทำงานอย่างนี้

สิบหรือสิบห้านาทีผ่านไป เธอก็เดินออกมา สิบหรือสิบห้านาทีตอนนี้ดูเหมือนจะนานเป็นวัน ๆ สำหรับผม เมื่อเธอเดินออกมา ผมบอกให้เธอรอก่อน แล้วก็วิ่งกลับไปที่รถ หอบเอาดอกไม้ช่อโตวิ่งข้ามถนน เอามาให้ นี่คงเป็นนาทีที่น่าอับอายที่สุดในชีวิตของผมแล้วกระมัง

แต่เธอดูเหมือนจะไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก คำพูดแรกที่ออกมาคือ จะบ้ารึเปล่า ไม่รับได้ไม๊เนี่ย เอามาให้ทำไมตอนนี้ ผมรู้ตัวว่าการเอาดอกไม้มาให้เธอในเวลางานมันคงไม่ค่อยเหมาะสมกับกาลเทศะเท่าไหร่ แต่ทำอย่างไรได้ ผมห้ามใจตัวเองไม่ได้ ตอนนี้หัวใจมันย้ายตัวเองขึ้นมาอยู่บนหัวแทนสมองแล้วไล่ให้สมองหนีลงไปอยู่ที่ท้อง ผมรู้สึกท้องไส้ปั่นป่วนไปหมดเวลานั้น

ผมยื่นโน้ตให้เธอ ขอร้องให้เธออ่านมันให้จบต่อหน้าผม เธอเหลือบตาดูสองสามบรรทัด พอที่จะรู้ว่ามันเขียนถึงอะไรแล้วก็ปิด บอกว่าเธอยังอยู่ในเวลางาน อยากให้ผมเข้าใจด้วย ผมยังดึงดันที่จะให้เธออ่านให้จบ เธอจึงยอมอ่านต่อ ตัวอักษรนับสิบบรรทัด เธอใช้เวลาอ่านไม่ถึงสามสิบวินาที แล้วเธอก็บอกว่าจบแล้ว ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจากใบหน้าเธอ ผมรู้สึกตอนนี้ตัวเองหดลงไปเหลือแค่ขนาดเท่าเม็ดดิน ความอับอาย ความเสียใจ พุ่งขึ้นมาเป็นระลอก ผมมาทำอะไรอยู่ที่นี่ ไม่มีใครเชิญ ไม่มีใครต้องการ ผมขอโทษเธอ บอกลาเธอ แล้วเดินกลับมาที่รถ นึกขอบคุณที่เธอไม่ได้ว่ากล่าวอะไรผมไปมากกว่านี้

ผมขับรถออกมาอย่างเหงา ๆ แล้วก็ไปจมอยู่ร้านกาแฟร้านเดิมจนกระทั่งเย็น แล้วจึงขับรถกลับบ้าน

คืนนี้ก็ยังไม่วายโทรไปหาเธอ ขอโทษเรื่องดอกไม้ เธอขอบคุณสำหรับดอกไม้ ผมหวังว่าเธอคงเข้าใจความรู้สึกของผมบ้าง แต่ก็นั่นแหละ เธอจะยอมรับมันไปหรือเปล่า นั่นเป็นอีกเรื่อง.....

อย่างไรก็ตามสิ่งที่อยากทำก็ได้ทำไปแล้ว

Sunday, April 24, 2005

วันที่โลกว่างเปล่า

คงเป็นเพียงเธอ นั้นต้องการ
มีใครคนนึง เมื่อเธอกำลังไหวหวั่น
ฉันเดินเข้าไป
เราคิดว่าเรามีใจ

เธอเอง ก็คง ไม่ต้องการให้เป็นไป
เธอเองก็คง ไม่ต้องการทำลายใคร

และฉันไม่รู้ทุก ๆ อย่าง
ฉันไม่เคยรู้แม้สักอย่าง

ความบังเอิญ ที่เธอไม่ตั้งใจ ฉันเองที่คิดจริงจัง
ความบังเอิญ ที่ให้เราพบกัน เพื่อจากไป
ความบังเอิญ ทำให้ฉันเข้ามา เมื่อชีวิตเธอพัง
แต่ความเป็นจริง คือที่ให้ทุกอย่าง ฉันตั้งใจ

เพลงนี้อาจจะเหมาะกับบรรยากาศในตอนนี้ของผมที่สุดในชีวิต
คำขอโทษไม่เป็นผล เธอยังต้องการจะไป อยากให้ความสัมพันธ์ของเรากลับมาเป็นเพียงเพื่อนกันเหมือนเดิม

ผมขอโทษเธอ เธอขอโทษผม เขียนอย่างนี้ บทสรุปน่าจะออกมาเป็นว่าเราเข้าใจซึ่งกันและกัน แต่ มันไม่ง่ายดายอย่างนั้น

ผมขอโทษเธอ ที่ผมบางทีพูดก้าวร้าว และ ออกจะประชดเธอออกไป ในบางทีที่เธอละเลยเหมือนไม่ใส่ใจผม และก็พยายามอธิบายถึงบางครั้งที่เธอแสดงออกมากับผม เหมือนว่าผมเป็นอะไรก็ได้ เป็นความสำคัญลำดับสุดท้ายของชีวิต พยายามบอกออกไปให้ดูธรรมดา เหมือนเรากำลังพยามแก้ปัญหาด้วยกันอยู่ พยายามจะให้เราแก้ปัญหากันด้วยดี มีทางออก

เธอขอโทษ ที่เธอในบางครั้งเธอก็ดูละเลยผมอย่างที่ผมว่า บางทีที่เธอก็มีอย่างอื่นให้สนใจมากกว่าผม และสุดท้าย เธอขอโทษ ที่เธอไม่ได้รักผม

มาถึงตรงนี้ ทุกอย่างกลับตาลปัตรกันไปหมด ผมต้องการมาจับเข่าคุยกัน แก้ปัญหาเพื่อให้เราเข้าใจกันละกันมากกว่านี้ กลายเป็นว่าเธอบอกว่าเธอไม่สามารถทนคบอยู่กับคนที่เธอไม่ได้รักอีกต่อไป ความรักซึ่งไม่ได้มีมาตั้งแต่แรก ความรักที่ผมคิดว่ามันคงค่อย ๆ งอกเงยเติบโตขึ้นมาได้เอง เมื่อเวลาผ่านไป และเมื่อเรารู้จักกันมากขึ้น

และด้วยความคิดนี้ ทำให้ผมลำพองใจ ทำให้ผมคิดว่าเราเองคิดเหมือนกัน ผมรักเธอ เธอก็รักผม แล้วทุกอย่างก็จะลงเอยด้วยดี

แต่ไม่เคยรู้เลยว่าในขณะที่ผมกับเธอเริ่มระหองระแหงกัน ช่วงที่เธอไปเที่ยวทะเลกับเพื่อนตอนสงกรานต์ คนรักเก่าของเธอ คนที่เธอจนป่านนี้ก็ยังไม่ลืม ได้กลับมาขอคืนดี

ผมร้องไห้ เธอก็ร้องไห้

แล้วเธอก็บอกกับผม เธอยังรักเขา เธอขอโทษ

ผมเข้าใจ เข้าใจทุกอย่าง เข้าใจว่าถ้าเราลองรักใครแล้ว มันก็ยากที่จะเปลี่ยนใจ เหมือนที่เธอยังรู้สึกกับเขาคนนั้น และก็เหมือนกันกับที่ผมรู้สึกกับเธอ

แต่ที่ผมไม่เข้าใจก็คือ ทำไมเขาคนนั้นของเธอเพิ่งกลับมาเอาตอนนี้ ถ้ารักกันจริงก็น่าจะมาดูแลเธอตั้งหลายปีก่อนหน้านี้แล้ว ก่อนที่ผมจะก้าวเข้ามาในชีวิตของเธอ ก่อนที่ความรักของผมมันจะงอกเงยออกมาจนถอนออกไปไม่ได้ ทำไมเพิ่งมาเอาป่านนี้ มาทำให้คนเจ็บปวดพร้อมกันถึงสองคน

เท่านั้นเอง ที่ผมได้ตอบแทนกลับมา

เขียนไม่ออก มีแต่เพลงเศร้า ๆ ผุดออกมาตอนนี้

.........................................
.......................................
......................................

Tuesday, April 19, 2005

รู้สึกผิดกับการกระทำของตัวเอง

ตอนนี้กำลังนั่งนิ่งสำนึกผิดอยู่
ก่อนหน้านี้เริ่มรู้สึกว่าคนรักคนเดียวของเรากำลังทำตัวเหินห่างออกไป ไม่ค่อยอยากเจอหน้า ไม่ค่อยอยากคุยกันเหมือนเคย

สิ่งละอันพันละน้อยที่ค่อยๆ เก็บสะสมมาเรื่อย ๆ ทำให้เรารู้สึกไปอย่างนั้น แต่ก็ไม่รู้เหตุผลที่เธอเปลี่ยนไป

ลืมคิดไปว่า ตัวผมเอง หรือ อันที่จริงควรจะเรียกว่าคำพูดของผมเอง ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เธอเปลี่ยนไป คำพูดที่คอยประชดประชัน ตัดพ้อที่การกระทำ หรือคำพูดบางอย่างของเธอไม่ตรงกับใจผม

ลืมคิดไปว่าผมกำลังเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง เอาตัวเองเป็นหลักว่า ถ้าเป็นผม ผมจะทำอย่างนั้น ถ้าเป็นผม ผมจะทำอย่างนี้ ไม่ได้คิดไปว่า คนแต่ละคนย่อมมีความแตกต่าง การแสดงออกในแต่ละสิ่งย่อมไม่เหมือนกัน

คำพูดประชดประชันที่ออกจากปากผม มันคงไปสะเทือนใจของเธอ เช่นกัน มันค่อย ๆ สะสม จนในที่สุดเธอก็เริ่มเกิดความรู้สึกอยากทำตัวห่างเหินออกไป

หวังว่าตอนนี้คงยังไม่สายที่จะกลับไปขอโทษ และขอโอกาสแก้ตัวใหม่อีกครั้ง

หวังว่ามันคงยังไม่เกินจุดที่เธอจะอดทนกับผมไหว

ขอโทษนะครับ

เพราะวันนี้ได้คุยกับแอน เลยทำให้ได้รู้ถึงข้อคิดนี้ โดนแอนด่า ว่าทำไมเป็นคนอย่างนี้
“โอเคนะที่บางทีฮัทงอนเค้า มันก็มีเหตุผลเหมือนกัน แต่คำพูดที่ฮัทพูดออกไปนี่ บางทีมันทำให้อยากเลิกคุยเลยนะ” แอนบอก

ครับ ก็ทราบครับ ว่าผมเป็นคนปากร้าย และผมก็เสียใจทุกครั้งที่พูดคำบางคำที่มันทำร้ายจิตใจเค้าออกไป

“นี่ถือว่าเค้ายังอดทนนะเนี่ย ถึงทุกวันนี้ ถ้าเป็นแอน นี่เรียกมาคุยนานแล้ว” แอนมันยังไม่วายสำทับไปอีก แล้วก็พูดแกมขู่ว่าขอให้โชคดี (แต่ถ้าอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด)

ถ้าวันนี้ไม่ได้คุยกับแอนก็คงยังคิดว่าตัวเองเป็นคนถูกอยู่

แยกกับแอนที่ร้านกาแฟมาตอนสามทุ่มกว่า กลับมาบ้าน ใจมันร้อนรนอยากจะ โทรไปหาเธอท่าเดียว อาบน้ำแล้วก็ยังไม่หายร้อน ไม่รู้ว่าเป็นที่อากาศ หรือเป็นที่ใจมากกว่ากัน

สี่ทุ่มครึ่งโทรไป เธอยังไม่รับสาย
ห้าทุ่ม โทรไป เธอยังไม่รับสาย
ห้าทุ่มครึ่ง โทรไป เธอก็ยังไม่รับสาย

กว่าจะได้คุยก็เกือบเที่ยงคืน ก็อย่างที่ตั้งใจเอาไว้ขอโทษเธอ และอธิบายทุกอย่างที่เกิดขึ้น เธอบอกไม่เป็นไร ไม่ต้องขอโทษ เธอก็ผิดเหมือนกัน แต่ยังไงเราก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี

เอาเป็นว่า อย่างน้อยตอนนี้ก็สบายใจขึ้นมาหน่อยแล้ว มันคงยังไม่ถึงจุดวิกฤตของมัน
แต่กลายเป็นว่าที่นัดกับเธอไว้วันพรุ่งนี้ตอนเย็นต้องเลื่อนออกไป เพราะเธอต้องไปสังสรรค์กับเพื่อน ๆ เก่า ก่อนเพื่อนกลับไปทำงานที่ กทม

เย็นไว้ เย็นไว้ อย่างอน อย่างอน ถ้าอดทนไหว เวลาของผมกับเธอยังมีอีกเยอะ ทั้งชีวิตเชียวนะ

Thursday, April 14, 2005

วันเหงา ๆ กับเด็กกำพร้าวัดดอนจั่น

ตอนนี้รู้สึกเหงามาก วันนี้ไม่ต้องไปออฟฟิศ เลยอยู่บ้านคนเดียว ขนเอาหนังที่ยังไม่ได้ดูมาดูให้หมด วันเดียวดูไปสามเรื่อง ( The Incredible , National Treasures, Garfield ) นี่ยังไม่รวม เรื่องสายล่อฟ้า ที่ดูไปตั้งแต่เมื่อคืน เอาไว้จะมาเขียนวิจารณ์หนังทีหลัง (ตอนนี้อยากลองเป็นนักวิจารณ์ หนังกับเขาบ้างเหมือนกัน) ดูไป นอนกลิ้งไปกลิ้งมา เปิดพัดลมจ่อหน้า มีความสุขชะมัด

ดูหนังจบ ก็พอดีได้เวลาที่นัดกับพวกเพื่อน ๆ มอปลายเอาไว้ วันนี้นัดกันว่าจะไปเลี้ยงอาหารเด็กกำพร้าที่วัดดอนจั่น
ด้วยความที่วัดไม่ไกลจากบ้านมาก ก็เลยไปอาบน้ำก่อน แล้วก็ขับรถออกไปกดเงิน เวลาจอดรถต้อง จอดลึกๆ แล้วก็ดูซ้าย ดูขวา ดูทางให้ดี ๆ ก่อนออกมาจากรถเพราะไม่งั้นอาจเปียกปอนโดยไม่อยากก็ได้ จากนั้นก็ขับรถไปที่วัด

เนื่องด้วยขับรถผ่านวัดดอนจั่นนี้บ่อย ๆ ตอนไปทำงาน ทำให้มั่นใจในเส้นทางมาก แล้วในที่สุดก็ขับรถเลยทางเข้าไปจนได้ แล้วก็ต้องขับไปอ้อม ทางไปสันกำแพง จริง ๆ เกือบผ่านไปทาง 103 คอนโดมิเนียม ตรงดอนจั่นด้วย จริง ๆ อยากแวะเข้าไปดูเหมือนกันว่ามันนึกยังไงมาสร้างโด่อยู่ตึกเดียว แถว ๆ นี้ คนที่อยู่ไม่รู้จะกลัวผีหลอกมั่งรึเปล่า

นอกเรื่องไปเยอะ ในที่สุดก็ขับรถมาถูกทางและมาถึงวัดจนได้ จอดรถแล้ว มองซ้ายมองขวา ให้แน่ใจว่ามาถูกวัด เพราะมองไม่เห็นเพื่อน ๆ ซักคน โดยเฉพาะได้เจ้าเบียร์ม้าที่โทรมานัดเอาไว้ ก็ยังไม่เห็นมีใครโผล่ออกมาให้เห็นซักคน กำลังจะโทรหาเบียร์ม้า ก็พอดี หนุ่ม คงศักดิ์ตะโกนเรียกออกมาพอดี สรุปว่าที่มอกันตอนนี้ มีคงศักดิ์ แอนโดเรมอน และกระผมเอง

ขณะนั้น น้อง ๆ เด็กกำพร้าที่วัดก็เริ่มทยอย กันมาที่ลานใต้ตึก (กะว่าคงเป็นที่ประชุมพลรับประทานอาหารในทุกวัน) กันแล้ว กะว่าคงประมาณร้อยกว่าคน แต่ละคนอายุตั้งแต่หกเจ็ดขวบ ไปจนถึงสิบห้าสิบหกก็มี (ดูจากหน้าตานะ อายุจริงเท่าไหร่ไม่รู้) พวกน้องเด็ก ๆ จะค่อย ๆ ทยอยกันมาเป็นกลุ่ม แต่ละคนถือถาดใส่อาหารของตัวเองมาด้วย คนที่มาถึงก่อน ก็จะนั่งลง เอาถาดอาหารวางไว้ข้างหน้า แล้วก็นับเลข หนึ่ง สอง สาม สี่ …… เหมือนประหนึ่งจะส่งเสียงดังเรียกเจ้าพวกที่ยังมาไม่ถึงให้มาถึงเร็ว ๆ
แต่ขอโทษ ด้วยความที่ประมาณ เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ของน้องพวกนี้คงเป็นชาวเขา ก็เลยออกเสียงเป็น หนื่อ สอ สา สี่ …

พวกเด็ก มาถึงก็จัดแถว แล้วก็มีหัวหน้าหมู่ออกมานับจำนวนคนด้วย ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในค่าย รด จนน้องๆ มากันครบหมด นั่งเรียงแถวแล้ว ก็ยังไร้วี่แวว พวกไอ้ม้า มีแต่ใหม่(แฟนไอ้ม้า) ที่มาถึงก่อน แล้วมานั่งรวมกันกับพวกเราด้วย บอกว่าเมื่อกี่เพิ่งโทรหามันอยู่ ไอ้ม้าบอกว่ามาถึงแถว ๆ โรงบาลลานนาแล้ว เนื่องจากคุณชายม้ามัวมาเพื่อน ๆ ไปเล่นน้ำสงกรานต์อยู่ ก็เลยกว่าจะฝ่ารถในตัวเมืองออกมาได้

พวกเราที่อยู่ที่วัดแล้ว เลยตัดสินใจไม่รอมันแล้ว จะเริ่มตักข้าวเลย น้อง ๆ เค้าก็มีการนับจำนวนคน ออกมารายงาน (มีเด็กโต ๆ เป็นหัวหน้าหมู่) มีการบอกจำนวนจริงในแถว ป่วยกี่คน กลับบ้านกี่คน ซึ่งจริง ๆ แล้วมีรายละเอียดมากกว่านี้แต่ฟังไม่ค่อยออก ส่วนนึงก็คงเป็นเพราะน้อง ๆ พวกนี้เค้าพูดไทยกันไม่ชัดนั่นเอง

กำลังตักข้าว กับข้าว ให้น้อง ๆ เค้าอยู่ ก็พอดี พวกไอ้ม้ามาถึงพอดี มี อ๊อบ ขวัญ น้องสาวของอ๊อบ เป้ เมฆ น้องของเมฆ แล้วก็คงเพื่อนของน้องของเมฆ แล้วก็เพื่อนของน้องของอ๊อบ อีกที สรุปคือมากันประมาณสิบคน รู้จักประมาณครึ่งนึงเอง ข้าวที่พวกเราตักให้นี่ว่าเยอะแล้ว พูนออกมาบนถาดทีเดียว ( ถ้าเป็นผมกินคนเดียวก็คงไม่หมด) แต่นี่ซักพักน้องเค้าก็มาขอเติมข้าวอีก เด็กกำลังโตก็งี้แหละ เสียดายที่กับข้าวที่เตรียมไปไม่ได้เผื่อว่ามีการเบิ้ล ก็เลยไม่มีกับจะเติมให้ มีแต่ข้าว

จากข้าวแล้วก็เป็นของหวาน เป็นลอดช่องผสม สาคู มีน้ำกะทิ ใส่น้ำแข็งก้อนไปหน่อย แต่แค่นี้ก็ถูกใจน้อง ๆ เค้ามากแล้ว ถาดก็ถาดเดิมกับที่กินข้าวไปเมื่อกี๊นี้แหละ น้องๆ เค้าย้ายข้าว ที่เหลือไปไว้หลุมอื่น ให้เราเติมของหวานที่หลุมข้าว ซึ่งเป็นหลุมที่ใหญ่ทีสุด

เห็นน้อง ๆ เค้ากินแล้วก็สะท้อนใจนิดหน่อย ขับรถผ่านอยู่เกือบทุกวันแท้ ๆ แต่ไม่เคยรู้ว่ามีอะไรอยู่ในนี้ มีเด็กที่โอกาสน้อยกว่าคนอื่นที่อยู่แถวนี้ บางคนกางเกงขาด เสื้อปะ (ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกเสี้อที่แถมมากับน้ำมันเครื่องหรือปุ๋ย อะไรทำนองนี้)

พวก ไอ่จิ วิทย์ แล้วก็มน(ดำ) ก็ตามมาทีหลัง หอบเอาผลไม้มาด้วย แต่ดูแล้วเกรงว่าไอ้ผลไม้ที่มนหอบมามันอาจจะไม่พอกับจำนวนคนของน้อง ๆ เท่าไหร่ (อาจจะได้กินกันคนละคำ)

กินข้าวกันเสร็จแล้ว พวกน้อง ๆ เค้าก็ส่งตัวแทนออกมากล่าวคำขอบคุณ ( ในคำขอบคุณนี้เรียกพวกเราเป็น พ่อ เป็น แม่ ) และพร้อมใจกันร้องเพลงค่าน้ำนม โดย เป็นเวอร์ชั่นใหม่ ที่จะเน้นพยางค์ นึงนาน ๆ จนทำให้คนฟังเข้าใจว่า พวกเค้าลืมเน้อแน่ ๆ แล้วทันใดนั้นก็จะกระแทกเนื้อร้องท่อนไปออกมาก ประมาณว่า ตูไม่ลืมหรอกเฟ้ย

เสร็จธุระเรื่องเลี้ยงข้าวน้อง ๆ เด็กกำพร้าแล้ว ก็นัดแนะกันว่าจะไปกินข้าวกันต่อ แอนโดเร บอกว่าโทรไปจองโต๊ะไว้ที่ สโมสรวิทยุการบินเรียบร้อยแล้ว ทุ่มนึง กำลังกะว่าจะไปกับพวกนี้พอดี ก็พอดี มิ้มโทรมาบอกว่าที่บ้านตั่วโกว ทำสุกี้กินกัน ด้วยความที่เมื่อวานก็ไปไม่ทันกินข้าวกับพวกญาติ ๆ แล้ว วันนี้ก็เลยไปซะหน่อย

ขับรถไปบ้านตั่วโกว กินข้าว แล้วก็พาป๊า ม๊า มิ้ม และพวกลูกพี่ลูกน้อง กลับมาเชียงใหม่ สี่รายหลังอยากมาเดินไนท์บาซาร์กัน รวมมากันแปดคน รถเร่งไม่ขึ้นเลยอ่ะ แค่อ้น กับ อุ๋ม นี่ก็คงเกือบสองร้อยกิโลแล้ว

กลับมาบ้าน โทรหาเธอตอนห้าทุ่ม ยังไม่รับสายแฮะ ไม่รู้อาบน้ำอยู่ หรือไปเที่ยวมาเหนื่อยจนเผลอหลับไปแล้ว หรือทำอะไรเพลินอยู่ วันนี้คงไม่ได้คุย แค่ส่ง SMS ไปหาบอกว่าคิดถึงแค่นั้นเอง

เค้าบอกว่าภาพหนึ่งภาพแทนคำพูดได้นับพันคำ แต่ตอนนี้ผมก็ไม่รู้ว่าจะมีภาพอะไรเหมาะสมที่จะถ่ายความรู้สึกของผมในตอนนี้ออกมาดีนะ อาจจะเป็นแค่พื้นกระดาษขาวแล้วมีจุดหนึ่งจุด แทนความรู้สึกอ้างว้างว้าเหว่ แบบไร้ที่พึ่ง หรืออาจจะเป็นแค่สีดำล้วนระบายทั่วกระดาษ แทนความเหงาที่ซ่อนอยู่เบื้องลึกภายใน

พรุ่งนี้คงต้องเข้าไปที่ ออฟฟิศอีก เฮ้อ

Wednesday, April 13, 2005

ความว้าเหว่ วุ่นวาย ในวันวันของชีวิต

ก่อนที่ผมจะจมดิ่งลงไปในก้นบึ้งของความเหงา ผมจำเป็นต้องหาเพื่อนระบายความในใจ การเขียนบันทึกอาจจะเป็นอีกหนึ่งหนทางที่จะช่วยได้

หรือจริง ๆ แล้วผมอาจจะเป็นที่ติดอยู่(หรืออีกนัยหนึ่งคือชอบ) กับอารมณ์ นี้ ที่เรียกว่าความเหงา

ช่วงนี้ ช่วงเวลาที่ร้อนที่สุดของปี ช่วงที่ทุกๆ ออกมาไล่สาดน้ำกัน เพื่อป้องกันความร้อนไปทำให้บ้ามากกว่านี้ ผมต้องไปทำงาน งานที่ดำเนินมาด้วยดีตั้งแต่ต้นปี แต่ดันมามีปัญหาเอาเมื่อสองสามวันก่อนวันสงกรานต์ วันหยุดยาว ซึ่งลูกค้า ที่อยู่ต่างประเทศเค้าไม่ได้หยุดด้วย จึงจำเป็นต้องมีใครเข้าไปรับหน้า ใน conference call ที่บริษัท

จริง ๆ แล้วผมเองก็ไม่มีแผนจะไปไหนช่วงสงกรานต์ และการมาทำงานในออฟฟิศมันก็เย็นดีเหมือนกันอยู่หรอก แต่มันก็รู้สึกหดหู่ที่ต้องมาทำงานกันอยู่สองสามคน ในช่วงเวลาที่คนอื่นหยุดกันหมด
เมื่อวานกว่าผมจะคุยกับลูกค้าและส่งรายงานเสร็จ ก็สองทุ่มกว่าพอดี พวกไอ้เจมส์ อาร์ต และไอ้นนท์ มันยกขโยงไปนั่งรอกันที่ร้านกันตั้งแต่สองทุ่มแล้ว แต่ผมก็ต้องขับรถจากออฟฟิศ ไปรับป๊า ม๊า และ มิ้ม ( แถมอุ๋มมาด้วยอีกคน) กลับมาที่บ้านด้วยอีกคน ซึ่งกว่าจะถึงบ้านก็พอดีห้าทุ่มกว่า เกือบเที่ยงคืนเข้าไปแล้ว เลยไปอันไม่ได้ ไปแจมกับเพื่อน ๆ แต่เพื่อป้องกันเพื่อน ๆ มันโทรมารบกวนการนอนหลับ ผมก็ปิดมือถือซะเลย

ผมโทรไปหาเธอก่อนนอน แต่ดูเหมือนเธอยังเฮฮากับเพื่อน ๆ อยู่ เลยได้คุยกันไม่นาน คิดถึงจัง ทั้ง ๆ ที่เพิ่งเจอกันเมื่อวันศุกร์ ที่ผ่านมานี่เอง